ชีวิตผู้ชายไม่ได้ง่ายและสบายกว่าผู้หญิงอย่างที่คนส่วนมากในสังคมคิดกัน

ซ้ำยังยากกว่าด้วย

เริ่มจากการที่เรามักได้ยินมาตลอดว่าผู้หญิงมักมีประเด็นเรื่องความก้าวหน้าทางการงาน ความปลอดภัยทางร่างกาย
ความยุ่งยากของสรีระ ความลำบากระหว่างการตั้งครรภ์ และรวมถึงผลกระทบจากการตั้งครรภ์ ต่างๆ
ซึ่งทำให้มีแนวคิดอย่างแพร่หลายในสังคมขึ้นมาว่า โอ้ ดีจังนะ เป็นผู้ชายไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้
ซึ่งจริงไหม จริง ไม่ได้ปฏิเสธว่าผู้ชายได้เปรียบในประเด็นต่างๆที่ว่ามา และไม่ได้ปฏิเสธความยากลำบากที่ผู้หญิงต้องเจอ

แต่ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็ต้องเจอกับงแรงกดดันบางอย่างที่ผู้หญิงแทบไม่เจอ-เจอน้อยกว่ามากโดยเปรียบเทียบ
และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันในสังคม และมีการตีความกับเรื่องดังกล่าวว่า มันก็เป็นแบบนั้นแหละ ปกติ
แทบไม่มีใครพูดถึงความยากลำบากส่วนนี้ที่ผู้ชายพบเจอเลย แต่กลับมองว่า มันเป็นเรื่องที่ผู้ชายต้องเจอเป็นปกติ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ
แต่พอกลับกัน เป็นพออะไรที่เรื่องผู้หญิง สังคมกลับไม่เพิกเฉยแบบผู้ชาย อาจมัวอ้างความลำบากของผู้หญิงต่างๆ จนไม่ได้สนใจฝั่งผู้ชาย


แล้วเรื่องที่ว่านี้คืออะไร เพื่อกระชับที่สุด สิ่งที่ว่าคือภาวะที่ต้องประสบความสำเร็จ ผู้ชายถึงจะมีคุณค่า
และเมื่อมองร่วมกับทิศทางการเติบโตไปของโลกและสังคม แรงกดดันนี้หนักขึ้นเรื่อยๆ
คุณค่าในที่นี้เราไม่ต้องเล่นคำทางปรัชญาหรือทางธรรมะอะไร ไม่ต้องเล่นคำหาความหมายดัดจริตแต่งโลกสวย
ไม่ต้องอ้างไปถึงแนวคิดสมัยใหม่พวกคุณค่าในตนเองต่างๆนาๆอะไรแบบนั้น พวกกลุ่มวิชาที่ไม่อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

แต่เราพูดถึงคุณค่าทางสังคม ที่เป็นสิ่งที่จริงกว่า รู้สึกได้ เป็น social fact และไม่มโนจาก coping mechanism
นั่นคือคุณค่าจากศักยภาพในการสร้างครอบครัว ศักยภาพในการสร้างความเป็นอยู่
นี่เป็นสิ่งที่เราทุกคนรับรู้ได้มาตลอดอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันเป็นคุณค่าที่มีมาจากสิ่งที่จับต้องได้และแน่นอนที่สุด
คำที่ตรงข้ามกับความมีคุณค่านี้คือ ไม่มีน้ำยา ห่วยแตก ไม่เอาอ่าว ไม่มีอนาคต และลูซเซอร์
ซึ่งคำทั้งหมดนี้แทบร้อยทั้งร้อย เป็นคำด่าผู้ชาย

คิดเอาง่ายๆ ระหว่างสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จหรือการเป็นพนักงานประจำชั้นยอด กับการไปทำสวย อะไรมันยากกว่ากัน
แน่นอนของผู้ชายยากกว่าแบบเทียบไม่ได้

เพราะการแต่งตัว ทำหน้าทำสวยต่างๆมันไม่ยากเลย ปัจจัยมันมีแค่กำเงินไปทำ
ซึ่งต่อปีก็แค่หลักล้าน รวมของใช้ที่เป็น daily routine แล้วนะ อันนี้คือประเมิณอย่างมากให้แล้ว
เผื่อมีคนมาอ้างว่าชั้นทำเป็นล้าน ต่างๆนาๆ 
แถมไอหลักล้านที่ว่านี้ ถ้าจะมีสัก 0.01% ในสังคมของผู้หญิงได้มั้ง ที่เสียเงินถึงหลักล้านกับเรื่องนี้

ก็คือถ้าจะพูดให้อยู่กับความจริงมากหน่อย ก็แค่ไม่กี่แสนเท่านั้นล่ะ แสนต้นๆด้วย
เฉลี่ยออกมาก็แค่เดือนละแค่ไม่กี่หมื่น มันก็ได้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย ในบริบทชนชั้นกลาง - กลางบน
ยิ่งเคสที่ไม่ถึงแสน หรือไม่กี่หมื่น แทบไม่ต้องพูดถึง

แต่พอกลับไปดูกรณีผู้ชาย มันไม่ได้มีเรื่องแค่ตัวเงิน มันใข้เวลา มันใช้พลังใจ มันกินระยะเวลาเป็นปีๆ แถมไม่มีอะไรประกันความสำเร็จ
มีเรื่องของโชคดีโชคร้าย แถมถ้าไม่สำเร็จก็ถอยหลังไปยิ่งกว่าจุดเริ่มต้นด้วยซ้ำไม่ว่าจะเรื่องเงินทุน ความสัมพัน ค่าเสียโอกาส
พูดง่ายๆคือ magnitude ตรงนี้มันต่างกันจนเห็นได้ชัดเกินไป มันไม่ใช่เรื่องเงิน จ่าย จบ แล้วได้มาทันที

ผู้ชายขับพอร์ช ผู้หญิงขับรถญี่ปุ่น ได้ ไม่เป็นไร แต่พอกรณีกลับกัน ผู้หญิงขับพอร์ช ผู้ชายขับรถญี่ปุ่น ก็ตามนั้น มันมีเอ๊ะเลยทันที มีคำถาม มีการพยายามหาคำอธิบายแล้ว มองหน้ากัน เลิกลั่กเงียบๆ อย่างน้อยก็จากคนรอบๆของสองคนนั้น โดยเฉพาะจากฝ่ายหญิง โดยเฉพาะในสังคมที่กลางบน-บน  (และกลายเป็นว่ามีความจำเป็นในสืบหาเหตุผลว่าผู้ชายทำไมถึงขับแค่รถญี่ปุ่น ถ้ามีเเหตุผลรองรับที่ไม่กระทบต่อความรวย ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเพียงแค่ว่า ไม่มีเงินถึง ก็จบ)


 
อาจมีคนอ้างว่า ก็ช่างเค้า มันเป็นเรื่องของสองคนนั้นแค่นั้น ถ้าผู้หญิงไม่คิดอะไร ผู้ชายไม่คิดอะไร ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ยังพยายามอ้างเหตุผลเถียงแบบนี้ แสดงว่าคุณอาจไม่เข้าใจประเด็นแต่แรก เพราะประเด็นไม่ใช่ว่าสองคนนั้นจะคิดยังไง แต่ประเด็นของการเขียนนี้ก็คือ social fact ของสังคมที่มีการดำรงอยู่ซึ่งความเอ้ะนั้น มันมาจากความที่ผู้ชายต้องประสบความสำเร็จที่จะสื่อไง มันมีอยู่แน่นอน

- สิ่งต่างๆที่ผู้ชายต้องจ่ายเพื่อแสดงสัญญาณ capability ของการสืบพันมีราคาแพงกว่าผู้หญิงมาก ได้มายากกว่า 
- โลกทุกวันนี้ยากกับผู้ชายยากขึ้นทุกวัน ขณะที่สำหรับผู้หญิงไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก การแข่งขันความสวยและการทำให้ตัวเองสวย แทบไม่มีความแตกต่างไปจากเดิม แม้อาศัยการใช้เงินมากขึ้น แต่ก็ไม่มีความแตกต่างไปจากเดิมมากนักเมื่อเทียบกับผู้ชาย ที่ต้องประสบความสำเร็จ
- ห้ามขับรถญี่ปุ่นรุ่นล่าง ต้องมีบ้านของตัวเอง ต้องรวย ต้องรายได้เยอะๆ ห้ามเป็น little man ต้อง ต้อง ต้อง ต่างๆที่ได้อธิบายไป
ที่ซึ่งส่งความกดดันต่อผู้หญิงน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จขึ้นมา หรือขึ้นเป็นยอดบนๆใน corporate มันยากกว่ากำเนินไปเสริมสวยอยู่แล้ว ไม่สามารถเถียงได้เลย

เข้าใจดีว่าโลกมันเป็นแบบนี้ นี่คือวิถีที่มันเป็น ไม่ได้มาเรียกร้องแทนผู้ชายเพื่อต้องการอะไร แต่เพื่อต้องการแค่สื่อว่ามันมีความยากกว่าที่ยากกว่าจริงๆอยู่สำหรับผู้ชาย สิ่งที่พูดไม่ใช่ความยากในแง่ของความเห็นส่วนบุคคล ต่างคนต่างคิด ไม่ใช่ เพราะมันยากกว่าโดยธรรมชาติ โดยไม่สนว่าคุณจะมีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร

คุณอาจจะเถียงว่า เห้ย นี่มันธรรมชาตินี่ ผู้ชายต้องเป็นเพศที่ deliver และ provide อยู่แล้ว ก็ไม่ผิด แต่ทำไมทีเรื่องอื่นๆคุณถึงพยายามแก้ไขให้ผู้หญิงเท่าเทียมผู้ชายล่ะ อ้างธรรมชาติขึ้นมาเฉยเลยทีงี้ ในเมื่อการเชื่อว่าการ deliver เป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย ก็คืออยู่ให้ความสำคัญกับทางชีวะ และก็บอกเองว่ามันเป็นหน้าที่ผู้ชาย (ซึ่งบอกเป็นนัยว่าความไม่เท่าเทียมโดยปริยาย) เหมือนคุณเลือกเรียกร้องสิ่งที่คุณเสียเปรียบ แต่พออันไหนคุณได้เปรียบ ก็เงียบไว้ โดยเฉพาะพวกเฟมินิส เสียงดังใหญ่เลย พอมีประเด็นเรื่องตั้งท้องหรือ hierachy ทางสังคม ต่างๆนาๆขึ้นมา

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นสินสอดหรืออะไรต่างๆทำนองนี้ด้วยซ้ำ

อย่างที่บอก สิ่งที่เขียนไม่ได้เลอะเลือนหรือปฏิเสธความลำบากต่างๆของเพศหญิง แต่เป็นการชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมในเชิงสวนกระแส
ที่เข้าใจกันโดยส่วนมากและเห็นกันดาดดื่นว่า เกิดเป็นผู้ชายนั้นสบาย ทั้งที่ผู้ชายไม่ได้สบายกว่า

ผู้หญิงบางคนอาจบอกว่า เออ ทางเค้าเอง ถ้าไม่สวย ก็จบเห่เเหมือนกัน ผู้ชายไม่มองเลย  ไม่ ผู้ชายบางคนก็ไม่ได้มองผู้หญิงที่หน้าตาเป็นหลักโดยทั้งส่วนเดียวไปขนาดนั้น ยังมีเรื่องของการศึกษา ต่างๆคุณอาจจะแย้งต่ออีกว่า อ่าว ก็เหมือนกันนี่ เราผู้หญิงก็ไม่ได้เลือกผู้ชายแต่เฉพาะความรวยเหมือนกัน การศึกษา ภูมิฐานต่างๆของผู้ชายก็มีส่วน แต่คุณอาจลืมมองไปว่าประเด็นที่เขียนมา ไม่ได้เกี่ยวกับ checklist การเลือกคนมาเป็นแฟนเป็นหลัก

แต่พูดถึงแรงกดดันทางสังคมที่มันเกิดขึ้นกับผัชาย (และถ้าผู้ชายคนไหนไม่ถึง ไม่ใกล้เคียง สังคมก็จะ label คุณทันที ในแบบที่ ละไว้ในแบบที่เข้าใจกัน เป็นไอขี้แพ้ ไม่เอาอ่าว กาก) ผู้หญิงไม่ต้อง in need ที่จะ "ประสบความสำเร็จ" ขนาดนั้น ผู้หญิงตอน 30 กับผู้ชายตอน 30 มุมมองต่ออนาคตโดยพื้นฐาน ต่างกันมากในแง่ของการสร้างครอบครัว เรื่องนี่มีวิจัยจาก consulting ดังๆรองรับทั้งหมด

- บางคนอาจบอกต่อว่า "ไม่จริงสำหรับชั้นหรอก ชั้นน่ะส่วนน้อย ชั้นไม่สนเรื่องความสำเร็จ รถที่ขับ หรือความรวยเลย แต่สนหน้าที่การงานและ character ของผู้ชายคนนั้นมากกว่า' แต่หากสังเกตุดีๆ คำว่าหน้าที่การงานสุดท้ายแล้วก็ tie อยู่กับความสำเร็จอยู่มาก ความ resourceful
(คุณอาจบอกว่า 'เอ่า ช่วยไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นแคร์เองนี่' การพูดแบบนี้คือการปฏิเสธว่ามนุษย์เราสามารถแยกขาดจากสังคมได้ในทุกมิติ ซึ่งไม่ว่าจะงานทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ก็ชี้เช่นเดียวกันหมดว่ามันเป็นไปไม่ได้ กล่าวคือผู้ชายส่วนมากย่อมรับรู้และถูก influenced ถึง social fact ตรงนี้แน่นอนไม่ว่าจะใน degree ไหนก็ตาม
- สิ่งที่จะอยู่ในความคิดของผู้อ่านค่อนข้างแน่นอนคือชุดความคิดที่ว่าการตีความว่าอะไรยาก ง่ายกว่า ลำบากมาก น้อยกว่า นั้นเป็นเรื่องปัจเจก ซึ่งไม่ปฏิเสธ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เข้าใจไหม การบอกว่ามันเป็นเรื่องแล้วแต่คน มันก็คือการคิดชุ่ยๆ ตอบไปง่ายๆโดยละเลยความละเอียดสิ่งที่มันเป็นจริงๆ
- ขณะเดียวกันคิดว่าประเด็นในสื่งที่กำลังจะเขียนต่อไปนี้มีความ self evident สูง เราทุกคนในสังคมรับรู้ได้ แต่เป็นอะไรที่ไม่พูดกันเท่าไหร่ (open secret) จริงที่มันอาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่คือส่วนมาก และสิ่งที่สะท้อนประเด็นนี้ก็มีมากมายในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาของสื่อบันเทิง เนื้อหา ประเภทของข่าวที่คนเสพ 
- คุณคือมนุษย์ และมนุษย์คือสัตว์สังคม คุณไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงส่วนนี้ได้ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงในแบบของคุณเอง ไม่มีใครแยกขาดจากสังคมได้อย่างสมบูรณ์ เพราะสิ่งเหล่านี้คือการทำงานวิวัฒนาการจากยีนเป็นล้านปีและของเคมีในสมอง ชุดความคิดของคุณจะเกิดขึ้นในโลกจริงๆอย่างที่คุณอยากให้มันเป็นได้ ก็ต่อเมื่อคุณควบคุมสารเคมีในสมองตัวเองได้ตามใจนึกเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง

แต่สิ่งนี้จะยังคงอยู่เป็นกฏทางสังคมโดยปริยายอยู่ดี การที่คุณไม่อยากมีลูก หรือไม่อยากมีแฟน อยากอยู่คนเดียว ไม่เคยเหงา ไม่เคยสะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ความหมายว่าข้อเท็จจริงตรงนี้จะหายไป ไม่ได้ความหมายมันไม่เกิดกับคนอื่นส่วนมาก มันก็อยู่ตรงนั้นที่เดิม สังคมคมก็จะตั้งคำถามกับคุณอยู่ดี ไม่ว่าจะคุณจะคิดยังไงหรือ immune แค่ไหนก็ได้ตาม

และ ต่อให้มันไม่กระทบเรื่อง mating แต่มันก็จะส่งผลอ้อมๆกับเรื่องอื่นอยู่ดี เพราะสมองของผู้คนในสังคมที่ interact กับคุณในเรื่องอื่นๆใดๆ ก็คือสมองเดียวกับที่เค้าใช้เป็นต้นตอมองผ่านเลนส์ในการตัดสินคุณเรื่องประสบความสำเร็จและเรื่องที่เกี่ยวข้องต่างๆกับประเด็นที่พูดถึง ความเข้มข้นของการส่งผลนี้จะชัดหรือลางจนคุณมองไม่ออกก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมอื่นๆต่างๆ (หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ แนะนำอ่านดูดีๆ)

หรือกรณีที่บางคนเป็นแบบนี้เพราะพวกเขาอาจไม่มีโอกาสได้อยู่ในสภาวะที่ธรรมชาติตรงนี้ถูกเรียกมาใช้งาน จากเงื่อนไขทางร่างกายแต่เกิด หรือภายหลัง ไม่ว่าจะสมองหรือพันธุกรรม (อย่าลืม อย่างที่บอก เป็นเคสหายาก ซึ่งไม่เกิดขึ้นกับ 99% ของคนในสังคมแน่นอน แต่ต้องเอามาพูดไว้ เพราะจะต้องมีคนเห็นประเด็นตรงนี้ แล้วเอามาเถียง ดังนั้นเลยตอบไว้ให้เลย)

*หวังว่าจะไม่มีคนอ้างกรณีกลุ่มบ้านรวย มีทรัพยากร หรือ top privilege ใดๆก็ตามที่พยายามเอา 0.001% ของสังคมมาอธิบายสิ่งเกิดขึ้น 50%+ หรือ 99% ในสังคม
*รู้เลยว่าหลายคนจั่วหัวไว้แล้วว่านีเป็นบทความของ loser หรือผู้ชายสักคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขียนคือความจริง เราจะล้มเหลวแค่ไหน หรือจะสำเร็จแค่ไหน จะผ่านความสัมพันธ์มากี่สิบ หรือไม่เคยเลย ไม่มีหรือมีครอบครัวแล้วยังไง ก็ไม่เกี่ยวกันกับประเด็นนี้อยู่ดี (แต่คิดว่าหลายคนคงแยกไม่ออกอยู่ดี)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่