
: Operation Finale (2018) : หนังดีที่อาจจะถูกมองข้าม แต่โคตรน่าดูสำหรับคนชอบประวัติศาสตร์และทริลเลอร์!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ที่ชอบเสพหนังดีๆ แนวประวัติศาสตร์ผสมทริลเลอร์กันนะครับ วันนี้ผมมีหนังเรื่องนึงที่อยากจะมาแนะนำให้ลองหาดูกันครับ ชื่อเรื่อง Operation Finale (2018) ครับ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดังเปรี้ยงปร้าง หรือมีดาราแม่เหล็กมาประชันกันเยอะแยะ แต่บอกเลยว่าเนื้อหาเข้มข้น ลุ้นระทึก และให้ข้อคิดที่ดีมากๆ เลยครับ
เรื่อง Operation Finale เนี่ย มันเกี่ยวกับปฏิบัติการลับสุดยอดของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล Mossad ในการตามล่าตัว Adolf Eichmann นายพลนาซีคนสำคัญ ผู้มีบทบาทหลักในการจัดระเบียบการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนไปยังค่ายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากสงครามจบ Eichmann ก็หนีหัวซุกหัวซุนไปซ่อนตัวอยู่ที่อาร์เจนตินา จนกระทั่ง Mossad ได้เบาะแสและวางแผนที่จะจับกุมตัวเขาเพื่อนำตัวกลับไปขึ้นศาลที่อิสราเอลครับ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่เน้นไปที่ความสมจริงครับ การทำงานของ Mossad ไม่ได้ดูหวือหวาเหมือนหนังสายลับฮอลลีวูดทั่วไปนะครับ แต่จะเน้นไปที่ความละเอียดรอบคอบ การวางแผนอย่างรัดกุม การสืบหาข้อมูลที่ต้องใช้ความอดทน และการทำงานภายใต้ความกดดันมหาศาล เราจะได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของทีมที่ต้องประนีประนอมกับความเสี่ยงต่างๆ นานา การแฝงตัว การเฝ้าสังเกตการณ์ และการวางแผนจับกุมที่ต้องแม่นยำทุกขั้นตอน เป็นอะไรที่ดูแล้วลุ้นตามไปด้วยจริงๆ ครับ
นักแสดงก็เล่นได้ดีครับ โดยเฉพาะ Oscar Isaac ที่รับบท Peter Malkin หัวหน้าทีมปฏิบัติการ เขาถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ทั้งความเด็ดเดี่ยว ความกดดัน และความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตอันโหดร้ายของ Eichmann ส่วน Ben Kingsley ที่รับบท Eichmann ก็ไม่ธรรมดาครับ เขาทำให้เราเห็นภาพของคนที่พยายามจะลบล้างความผิด หรือแม้กระทั่งเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง เป็นการแสดงที่น่าขนลุกและชวนให้คิดตามมากๆ ครับ
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นตูมตาม หรือการไล่ล่าแบบสุดระห่ำนะครับ แต่ความระทึกของมันจะมาจากการลุ้นว่าแผนการจะสำเร็จหรือไม่ การเผชิญหน้ากันระหว่าง Malkin กับ Eichmann ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางจิตใจ การที่ทีมต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกจับได้ และการต้องจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มันค่อยๆ บิลด์อารมณ์ให้เราลุ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดไคลแม็กซ์เลยครับ
อีกมุมที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องนี้ทำให้เราฉุกคิดถึงผลกระทบของสงคราม ความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกัน และความสำคัญของการนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม การที่ Malkin ต้องเผชิญหน้ากับ Eichmann โดยตรง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดของเหยื่อ และความพยายามที่จะหาความยุติธรรม มันเป็นอะไรที่กินใจมากๆ ครับ
บรรยากาศของหนังก็ทำได้ดีครับ การใช้โทนสี การจัดแสง ทำให้เรารู้สึกถึงความอึมครึม ความกดดัน และความอันตรายที่แฝงตัวอยู่ แม้ว่าฉากส่วนใหญ่จะอยู่ในอาร์เจนตินา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่าโลกนี้มันแคบลงเรื่อยๆ เมื่อ Mossad เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายครับ
สำหรับใครที่ชอบหนังแนวประวัติศาสตร์ ที่มีกลิ่นอายของสงครามโลกครั้งที่สอง หรือหนังที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน การวางแผนปฏิบัติการลับ ผมอยากจะแนะนำ Operation Finale เป็นพิเศษเลยครับ มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดูแล้วสนุกสนานเฮฮา แต่เป็นหนังที่ดูแล้วได้อะไรกลับไปเยอะ ทั้งความรู้ ข้อคิด และความรู้สึกที่ต้องขบคิดตาม
ผมมองว่า Operation Finale เป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ในแง่ของการเล่าเรื่อง การแสดง และการนำเสนอประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่พูดถึงมากเท่าหนังฟอร์มยักษ์อื่นๆ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาหนังที่ดูแล้วได้ใช้สมอง ได้ลุ้นระทึก และได้แง่คิดดีๆ ลองหาเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอให้คะแนน Operation Finale ไปเลย 8/10 ครับ เป็นหนังที่ผมประทับใจและอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปดูกันครับ ใครที่เคยดูก็มาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ หรือใครที่ดูแล้วชอบ/ไม่ชอบยังไง ก็บอกกันได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความเห็นครับผม.
Operation Finale (2018) : หนังดีที่อาจจะถูกมองข้าม แต่โคตรน่าดูสำหรับคนชอบประวัติศาสตร์และทริลเลอร์!
: Operation Finale (2018) : หนังดีที่อาจจะถูกมองข้าม แต่โคตรน่าดูสำหรับคนชอบประวัติศาสตร์และทริลเลอร์!
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ที่ชอบเสพหนังดีๆ แนวประวัติศาสตร์ผสมทริลเลอร์กันนะครับ วันนี้ผมมีหนังเรื่องนึงที่อยากจะมาแนะนำให้ลองหาดูกันครับ ชื่อเรื่อง Operation Finale (2018) ครับ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดังเปรี้ยงปร้าง หรือมีดาราแม่เหล็กมาประชันกันเยอะแยะ แต่บอกเลยว่าเนื้อหาเข้มข้น ลุ้นระทึก และให้ข้อคิดที่ดีมากๆ เลยครับ
เรื่อง Operation Finale เนี่ย มันเกี่ยวกับปฏิบัติการลับสุดยอดของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล Mossad ในการตามล่าตัว Adolf Eichmann นายพลนาซีคนสำคัญ ผู้มีบทบาทหลักในการจัดระเบียบการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนไปยังค่ายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากสงครามจบ Eichmann ก็หนีหัวซุกหัวซุนไปซ่อนตัวอยู่ที่อาร์เจนตินา จนกระทั่ง Mossad ได้เบาะแสและวางแผนที่จะจับกุมตัวเขาเพื่อนำตัวกลับไปขึ้นศาลที่อิสราเอลครับ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่เน้นไปที่ความสมจริงครับ การทำงานของ Mossad ไม่ได้ดูหวือหวาเหมือนหนังสายลับฮอลลีวูดทั่วไปนะครับ แต่จะเน้นไปที่ความละเอียดรอบคอบ การวางแผนอย่างรัดกุม การสืบหาข้อมูลที่ต้องใช้ความอดทน และการทำงานภายใต้ความกดดันมหาศาล เราจะได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของทีมที่ต้องประนีประนอมกับความเสี่ยงต่างๆ นานา การแฝงตัว การเฝ้าสังเกตการณ์ และการวางแผนจับกุมที่ต้องแม่นยำทุกขั้นตอน เป็นอะไรที่ดูแล้วลุ้นตามไปด้วยจริงๆ ครับ
นักแสดงก็เล่นได้ดีครับ โดยเฉพาะ Oscar Isaac ที่รับบท Peter Malkin หัวหน้าทีมปฏิบัติการ เขาถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ทั้งความเด็ดเดี่ยว ความกดดัน และความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตอันโหดร้ายของ Eichmann ส่วน Ben Kingsley ที่รับบท Eichmann ก็ไม่ธรรมดาครับ เขาทำให้เราเห็นภาพของคนที่พยายามจะลบล้างความผิด หรือแม้กระทั่งเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง เป็นการแสดงที่น่าขนลุกและชวนให้คิดตามมากๆ ครับ
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นตูมตาม หรือการไล่ล่าแบบสุดระห่ำนะครับ แต่ความระทึกของมันจะมาจากการลุ้นว่าแผนการจะสำเร็จหรือไม่ การเผชิญหน้ากันระหว่าง Malkin กับ Eichmann ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางจิตใจ การที่ทีมต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกจับได้ และการต้องจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มันค่อยๆ บิลด์อารมณ์ให้เราลุ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดไคลแม็กซ์เลยครับ
อีกมุมที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องนี้ทำให้เราฉุกคิดถึงผลกระทบของสงคราม ความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกัน และความสำคัญของการนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม การที่ Malkin ต้องเผชิญหน้ากับ Eichmann โดยตรง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดของเหยื่อ และความพยายามที่จะหาความยุติธรรม มันเป็นอะไรที่กินใจมากๆ ครับ
บรรยากาศของหนังก็ทำได้ดีครับ การใช้โทนสี การจัดแสง ทำให้เรารู้สึกถึงความอึมครึม ความกดดัน และความอันตรายที่แฝงตัวอยู่ แม้ว่าฉากส่วนใหญ่จะอยู่ในอาร์เจนตินา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่าโลกนี้มันแคบลงเรื่อยๆ เมื่อ Mossad เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายครับ
สำหรับใครที่ชอบหนังแนวประวัติศาสตร์ ที่มีกลิ่นอายของสงครามโลกครั้งที่สอง หรือหนังที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน การวางแผนปฏิบัติการลับ ผมอยากจะแนะนำ Operation Finale เป็นพิเศษเลยครับ มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดูแล้วสนุกสนานเฮฮา แต่เป็นหนังที่ดูแล้วได้อะไรกลับไปเยอะ ทั้งความรู้ ข้อคิด และความรู้สึกที่ต้องขบคิดตาม
ผมมองว่า Operation Finale เป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ในแง่ของการเล่าเรื่อง การแสดง และการนำเสนอประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่พูดถึงมากเท่าหนังฟอร์มยักษ์อื่นๆ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาหนังที่ดูแล้วได้ใช้สมอง ได้ลุ้นระทึก และได้แง่คิดดีๆ ลองหาเรื่องนี้มาดูกันนะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอให้คะแนน Operation Finale ไปเลย 8/10 ครับ เป็นหนังที่ผมประทับใจและอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปดูกันครับ ใครที่เคยดูก็มาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ หรือใครที่ดูแล้วชอบ/ไม่ชอบยังไง ก็บอกกันได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความเห็นครับผม.