การเงินถูกสอน
ให้เป็นเหมือนวิทยาศาสตร์
แต่ความจริงแล้วมันคือ "จิตวิทยา"
.
เมื่อ Rajat Gupta อดีต CEO ของ McKinsey ต้องเข้าคุกข้อหาซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน ทั้งที่เขามีทรัพย์สินนับล้านดอลลาร์ แต่ยังรู้สึกว่าไม่พอ ความโลภนี้ทำให้เขาต้องล่มสลาย เรื่องราวนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การจัดการเงินไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของจิตวิทยา
.
Morgan Housel นักเขียนหนังสือ "The Psychology of Money" เล่าว่า "คนเราไม่สามารถจัดการเงินได้ดี เพราะการเงินถูกสอนให้เป็นเหมือนวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงแล้วมันคือจิตวิทยา"
.
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ล้มเหลวทางการเงิน ไม่ใช่เพราะไม่รู้วิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้น หรือไม่เข้าใจหลักการลงทุน แต่เป็นเพราะพฤติกรรมและจิตใจที่ไม่เอื้อต่อความร่ำรวย โดยมีหลักคิดสำคัญที่ทำให้รวยได้จริงดังนี้
.
1.ประสบการณ์กำหนดทุกอย่าง ไม่มีใครบ้า แต่ทุกคนมีประสบการณ์ต่างกัน
.
คนที่เติบโตในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นจะมองหุ้นในแง่บวก ส่วนคนที่เติบโตในช่วงวิกฤตการเงินจะกลัวการลงทุน การตัดสินใจทางการเงินของเราขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เราผ่านมา ไม่ใช่ข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์ ดังนั้นอย่าตัดสินคนอื่นว่าโง่หรือบ้า เพราะพวกเขาอาจแค่มีประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา สิ่งที่ควรทำคือเข้าใจว่าประสบการณ์ของเราเองอาจมีอคติ และพยายามมองภาพรวมให้ได้มากกว่านี้
.
2.โชคและความเสี่ยงแยกไม่ออก Bill Gates โชคดี แต่ไม่ได้โชคดีคนเดียว
.
Bill Gates สามารถสร้าง Microsoft ได้เพราะเขาเข้าถึงคอมพิวเตอร์ตอนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวในโลกที่มีเครื่องแบบนั้น นอกจากความเก่งและความขยันแล้ว เขายังโชคดีมาก ปัญหาของโชคในความสำเร็จคือมันวัดไม่ได้ สื่อจะแสดงให้เห็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เอาคนที่พยายามแล้วล้มเหลวมาแสดง เมื่อจะศึกษาความสำเร็จ ให้มองแพทเทิร์นใหญ่ๆ มากกว่าศึกษาบุคคล เช่น การสังเกตว่าคนร่ำรวยส่วนใหญ่ถือหุ้นบริษัท มากกว่าศึกษาแค่ Warren Buffett คนเดียว
.
3.เลิกต้องการให้มากกว่า "พอ" เพราะความโลภทำลายทุกอย่าง
.
ข้อผิดพลาดที่ยากที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งคือการไม่หยุดหาเงินเมื่อได้เท่าที่ต้องการแล้ว อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รู้จักคำว่า "พอ" อย่าเสี่ยงสิ่งที่มีเพื่อสิ่งที่ไม่จำเป็น การโลภมักจะทำให้คนที่มีเงินเยอะกลับมาล้มละลาย เพราะพวกเขาไม่เคยรู้สึกพอ
.
4.พลังแห่งการทบต้นอย่างต่อเนื่อง Buffett ร่ำรวยเพราะเริ่มตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
.
Warren Buffett มีทรัพย์สินแค่ 99 ล้านบาท เมื่ออายุ 65 ปี ส่วนที่เหลือเป็นผลมาจากการลงทุนหลังจากนั้น เขาสามารถสะสมความมั่งคั่งได้เพราะเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เวลาอยู่ข้างเขา คนส่วนใหญ่ลืมสิ่งนี้ไป การทบต้นที่แท้จริงต้องใช้เวลายาวนาน ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ
.
5.การสร้างเงิน vs การเก็บเงิน สองทักษะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
การสร้างเงินต้องใช้ความเสี่ยง ความมองโลกในแง่ดี และการออกไปทำสิ่งใหม่ๆ การเก็บเงินต้องใช้ความถ่อมตน ความระมัดระวัง และความขี้วิตกพอประมาณ Buffett กลายเป็นคนร่ำรวยไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักลงทุนที่เก่ง แต่เพราะเขารอดมาได้ เขาไม่เคยเข้าคุก ไม่เคยขายตอนราคาต่ำ ไม่เคยซื้อตอนราคาสูงสุด การรอดชีวิตในตลาดการเงินสำคัญกว่าการชนะ
.
6.ผลตอบแทนแบบอสมมาตร เสียบ่อย ได้น้อย แต่ชนะครั้งเดียวชดเชยทุกอย่าง
.
ในตลาดหุ้น คุณสามารถขาดทุนจากการลงทุน 9 ใน 10 ครั้ง แต่ยังคงมีผลกำไรโดยรวมได้ ยกตัวอย่าง หากคุณลงทุน 3,300 บาท ใน 10 สตาร์ทอัพ 9 แห่งล้มละลาย แต่อีก 1 แห่งให้ผลตอบแทน 100 เท่า คุณจะได้กำไร 297,000 บาท ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณไม่น่าจะขาดทุน 90% แต่หลักการนี้แสดงให้เห็นว่า การลงทุนเป็นเกม ที่ชัยชนะครั้งใหญ่ครั้งเดียวสามารถชดเชยความพ่ายแพ้หลายครั้งได้
.
7.ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือเวลาและอิสรภาพ ไม่ใช่เงินในบัญชี
.
ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือเวลาและความเป็นอิสระ ไม่ใช่เงิน การมีเงินเพียงพอทำให้คุณใช้เวลาทั้งหมดเพื่อตัวเอง คุณไม่ต้อง "เป็นของใคร" เหมือนลูกจ้างที่เป็นของบริษัท ความเป็นอิสระคือสิ่งที่ทำนายความสุขได้ดีที่สุด เงินสามารถซื้อความเป็นอิสระนี้ได้
.
8.ความมั่งคั่งคือสิ่งที่มองไม่เห็น คนขับเฟอร์รารีอาจไม่มีเงินในบัญชี
.
ไม่ใช่เพราะใครมีรถหรู เขาจึงมีเงินเยอะในบัญชี บ่อยครั้งเป็นตรงข้าม คนที่ซื้อของแพงต้องแลกกับเงินของพวกเขา ทำให้พวกเขาจนลง ความมั่งคั่งคือเงินที่ไม่ได้ใช้ เงินที่ไม่ได้ใช้จะถูกซ่อนอยู่ในบัญชี เงินที่ใช้ไปแล้วคือสาเหตุที่คนร่ำรวยกลับจน พวกเขามีเงิน แต่ไม่มีความมั่งคั่ง
.
9.การออมสำคัญกว่าอัตราผลตอบแทน คนเก็บเงินได้เก่ง รวยกว่าคนหาเงินเก่ง
.
การสร้างความมั่งคั่งเกี่ยวข้องกับอัตราการออมมากกว่าสิ่งอื่น คนที่หารายได้ 330,000 บาทต่อปีและออม 264,000 บาท จะร่ำรวยกว่าคนที่หารายได้ 660,000 บาทแต่ออมแค่ 66,000 บาท อัตราการออมขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการเพื่อความอยู่รอด ยิ่งต้องการน้อย ยิ่งออมได้เยอะ ยิ่งมีเงินเยอะ ยิ่งมีความยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นช่วยให้คุณซื้อเวลา รอโอกาสที่เหมาะสม
.
การเข้าใจจิตวิทยาเงินจะช่วยให้เราตัดสินใจทางการเงินได้ดีขึ้น เพราะเงินไม่ใช่เกมของตัวเลข แต่เป็นเกมของจิตใจและพฤติกรรม และนี่คือเหตุผลที่คนฉลาดหลายคนยังคงล้มเหลวทางการเงิน ขณะที่คนธรรมดาหลายคนกลับประสบความสำเร็จได้
.
"ความร่ำรวยที่แท้จริงไม่ได้วัดจากสิ่งที่คุณมี แต่วัดจากสิ่งที่คุณไม่ต้องกังวล"
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
อ้างอิง
The Psychology of Money by Morgan House
CR
https://www.facebook.com/share/1F7nAR5eTU/?mibextid=wwXIfr
”ความร่ำรวยที่แท้จริงไม่ได้วัดจากสิ่งที่คุณมี แต่วัดจากสิ่งที่คุณไม่ต้องกังวล“
ให้เป็นเหมือนวิทยาศาสตร์
แต่ความจริงแล้วมันคือ "จิตวิทยา"
.
เมื่อ Rajat Gupta อดีต CEO ของ McKinsey ต้องเข้าคุกข้อหาซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน ทั้งที่เขามีทรัพย์สินนับล้านดอลลาร์ แต่ยังรู้สึกว่าไม่พอ ความโลภนี้ทำให้เขาต้องล่มสลาย เรื่องราวนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การจัดการเงินไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของจิตวิทยา
.
Morgan Housel นักเขียนหนังสือ "The Psychology of Money" เล่าว่า "คนเราไม่สามารถจัดการเงินได้ดี เพราะการเงินถูกสอนให้เป็นเหมือนวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงแล้วมันคือจิตวิทยา"
.
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ล้มเหลวทางการเงิน ไม่ใช่เพราะไม่รู้วิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้น หรือไม่เข้าใจหลักการลงทุน แต่เป็นเพราะพฤติกรรมและจิตใจที่ไม่เอื้อต่อความร่ำรวย โดยมีหลักคิดสำคัญที่ทำให้รวยได้จริงดังนี้
.
1.ประสบการณ์กำหนดทุกอย่าง ไม่มีใครบ้า แต่ทุกคนมีประสบการณ์ต่างกัน
.
คนที่เติบโตในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นจะมองหุ้นในแง่บวก ส่วนคนที่เติบโตในช่วงวิกฤตการเงินจะกลัวการลงทุน การตัดสินใจทางการเงินของเราขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เราผ่านมา ไม่ใช่ข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์ ดังนั้นอย่าตัดสินคนอื่นว่าโง่หรือบ้า เพราะพวกเขาอาจแค่มีประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา สิ่งที่ควรทำคือเข้าใจว่าประสบการณ์ของเราเองอาจมีอคติ และพยายามมองภาพรวมให้ได้มากกว่านี้
.
2.โชคและความเสี่ยงแยกไม่ออก Bill Gates โชคดี แต่ไม่ได้โชคดีคนเดียว
.
Bill Gates สามารถสร้าง Microsoft ได้เพราะเขาเข้าถึงคอมพิวเตอร์ตอนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวในโลกที่มีเครื่องแบบนั้น นอกจากความเก่งและความขยันแล้ว เขายังโชคดีมาก ปัญหาของโชคในความสำเร็จคือมันวัดไม่ได้ สื่อจะแสดงให้เห็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เอาคนที่พยายามแล้วล้มเหลวมาแสดง เมื่อจะศึกษาความสำเร็จ ให้มองแพทเทิร์นใหญ่ๆ มากกว่าศึกษาบุคคล เช่น การสังเกตว่าคนร่ำรวยส่วนใหญ่ถือหุ้นบริษัท มากกว่าศึกษาแค่ Warren Buffett คนเดียว
.
3.เลิกต้องการให้มากกว่า "พอ" เพราะความโลภทำลายทุกอย่าง
.
ข้อผิดพลาดที่ยากที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งคือการไม่หยุดหาเงินเมื่อได้เท่าที่ต้องการแล้ว อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รู้จักคำว่า "พอ" อย่าเสี่ยงสิ่งที่มีเพื่อสิ่งที่ไม่จำเป็น การโลภมักจะทำให้คนที่มีเงินเยอะกลับมาล้มละลาย เพราะพวกเขาไม่เคยรู้สึกพอ
.
4.พลังแห่งการทบต้นอย่างต่อเนื่อง Buffett ร่ำรวยเพราะเริ่มตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
.
Warren Buffett มีทรัพย์สินแค่ 99 ล้านบาท เมื่ออายุ 65 ปี ส่วนที่เหลือเป็นผลมาจากการลงทุนหลังจากนั้น เขาสามารถสะสมความมั่งคั่งได้เพราะเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เวลาอยู่ข้างเขา คนส่วนใหญ่ลืมสิ่งนี้ไป การทบต้นที่แท้จริงต้องใช้เวลายาวนาน ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ
.
5.การสร้างเงิน vs การเก็บเงิน สองทักษะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
การสร้างเงินต้องใช้ความเสี่ยง ความมองโลกในแง่ดี และการออกไปทำสิ่งใหม่ๆ การเก็บเงินต้องใช้ความถ่อมตน ความระมัดระวัง และความขี้วิตกพอประมาณ Buffett กลายเป็นคนร่ำรวยไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักลงทุนที่เก่ง แต่เพราะเขารอดมาได้ เขาไม่เคยเข้าคุก ไม่เคยขายตอนราคาต่ำ ไม่เคยซื้อตอนราคาสูงสุด การรอดชีวิตในตลาดการเงินสำคัญกว่าการชนะ
.
6.ผลตอบแทนแบบอสมมาตร เสียบ่อย ได้น้อย แต่ชนะครั้งเดียวชดเชยทุกอย่าง
.
ในตลาดหุ้น คุณสามารถขาดทุนจากการลงทุน 9 ใน 10 ครั้ง แต่ยังคงมีผลกำไรโดยรวมได้ ยกตัวอย่าง หากคุณลงทุน 3,300 บาท ใน 10 สตาร์ทอัพ 9 แห่งล้มละลาย แต่อีก 1 แห่งให้ผลตอบแทน 100 เท่า คุณจะได้กำไร 297,000 บาท ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณไม่น่าจะขาดทุน 90% แต่หลักการนี้แสดงให้เห็นว่า การลงทุนเป็นเกม ที่ชัยชนะครั้งใหญ่ครั้งเดียวสามารถชดเชยความพ่ายแพ้หลายครั้งได้
.
7.ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือเวลาและอิสรภาพ ไม่ใช่เงินในบัญชี
.
ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือเวลาและความเป็นอิสระ ไม่ใช่เงิน การมีเงินเพียงพอทำให้คุณใช้เวลาทั้งหมดเพื่อตัวเอง คุณไม่ต้อง "เป็นของใคร" เหมือนลูกจ้างที่เป็นของบริษัท ความเป็นอิสระคือสิ่งที่ทำนายความสุขได้ดีที่สุด เงินสามารถซื้อความเป็นอิสระนี้ได้
.
8.ความมั่งคั่งคือสิ่งที่มองไม่เห็น คนขับเฟอร์รารีอาจไม่มีเงินในบัญชี
.
ไม่ใช่เพราะใครมีรถหรู เขาจึงมีเงินเยอะในบัญชี บ่อยครั้งเป็นตรงข้าม คนที่ซื้อของแพงต้องแลกกับเงินของพวกเขา ทำให้พวกเขาจนลง ความมั่งคั่งคือเงินที่ไม่ได้ใช้ เงินที่ไม่ได้ใช้จะถูกซ่อนอยู่ในบัญชี เงินที่ใช้ไปแล้วคือสาเหตุที่คนร่ำรวยกลับจน พวกเขามีเงิน แต่ไม่มีความมั่งคั่ง
.
9.การออมสำคัญกว่าอัตราผลตอบแทน คนเก็บเงินได้เก่ง รวยกว่าคนหาเงินเก่ง
.
การสร้างความมั่งคั่งเกี่ยวข้องกับอัตราการออมมากกว่าสิ่งอื่น คนที่หารายได้ 330,000 บาทต่อปีและออม 264,000 บาท จะร่ำรวยกว่าคนที่หารายได้ 660,000 บาทแต่ออมแค่ 66,000 บาท อัตราการออมขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการเพื่อความอยู่รอด ยิ่งต้องการน้อย ยิ่งออมได้เยอะ ยิ่งมีเงินเยอะ ยิ่งมีความยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นช่วยให้คุณซื้อเวลา รอโอกาสที่เหมาะสม
.
การเข้าใจจิตวิทยาเงินจะช่วยให้เราตัดสินใจทางการเงินได้ดีขึ้น เพราะเงินไม่ใช่เกมของตัวเลข แต่เป็นเกมของจิตใจและพฤติกรรม และนี่คือเหตุผลที่คนฉลาดหลายคนยังคงล้มเหลวทางการเงิน ขณะที่คนธรรมดาหลายคนกลับประสบความสำเร็จได้
.
"ความร่ำรวยที่แท้จริงไม่ได้วัดจากสิ่งที่คุณมี แต่วัดจากสิ่งที่คุณไม่ต้องกังวล"
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
อ้างอิง
The Psychology of Money by Morgan House
CR https://www.facebook.com/share/1F7nAR5eTU/?mibextid=wwXIfr