อันนี้ผมจะเล่าย้อนไกลมาก
ย้อนไปถึงสมัยพี่หรั่งเจอปัญหา sub prime
แล้วพี่หรั่งเค้ามาบอกเรา (ตอนนั้นน่าจะยุคพี่มาร์คเป็นนาย ก มั้ง) ให้เรากระตุ้นการบริโภคนะ
ต้องช่วยกันเมื่องั้นลำบากกันแน่ๆเลย
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่บัตรเครดิตยังไม่ค่อยมีกันเท่าไร คือ มีนะ แต่ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ที่มีกันคนละหลายๆใบได้
จะเปรียบก็เหมือนสมัยก่อนที่คนถือมือถือรุ่นกระติกน้ำอะ ไม่ได้มีกันง่ายๆเท่าไร เพราะทั้งราคา และค่าบริการยังสูงมาก
ไม่ได้ทำธุรกิจจริงๆจังๆ ไม่ค่อยจะมีใช้กันหรอก จะเอามาโทรหากันคุยเล่นนี่ลืมไปได้เลย
ในยุคตั้งแต่ตอนนั้นมา เราก็เริ่มบริโภคกันหนักขึ้นตามนโยบายตามคำแนะนำของพี่หรั่ง
มีการกระตุ้นการบริโภคกันเยอะ จะเห็นได้ว่า ตอนช่วงนั้นคือยุคทองของหุ้นกลุ่มบริโภคเลยก็ว่าได้
เหตุผลก็เพราะตอนนั้นคนไทยเรายังมีนิสัยการใช้จ่ายแบบเน้นประหยัดอยู่ เดินถนน ซื้อของตามตลาด กินอะไรง่าย ไม่ได้เน้นหรูหราหมาเห่า
มันคือพฤติกรรมที่ถูกหล่อหลอมมาจากช่วงที่เจ็บมาจากตยก. วินัยทางการเงินดี เก็บออมเก่ง
ใช้จ่ายระมัดระวัง และความสะดวกในการใช้จ่ายมันไม่เหมือนปัจจุบันที่ทุกวันนี้เราสามารถซื้อของได้ 24 ชม.
ขริงๆการบริโภคก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วดี
แต่ปัญหาคือเราทำให้มันไม่ยั่งยืน เหตุผลเพราะ เราเอาแต่บริโภคของที่เราไม่ได้ผลิต ของที่ไม่ใช่แบรนด์ภายในประเทศ
กระตุ้นเท่าไร เงินไหลออกหมด เงินเดือนเพิ่ม ค่าแรงเพิ่มจริง แต่เพิ่มบนความไม่ยั่งยืน
ถ้าเราใช้ของไทยกันเอง เงินมันหมุนในระบบ คนไทยใช้ของไทย แบรนด์ไทยเกิด เก่งพอก็ไปขายนอกประเทศได้
ก็คล้ายๆเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ที่สร้างแบรนด์ขึ้นมาขายนี่คือการกระตุ้นที่ดี
เป็นการกระตุ้นที่สร้างความแข็งแรงให้ประเทศ มีแบรนด์ มีสินค้าเทค บ.เติบโต ก็จ่ายเงินเดือน จ่ายค่าจ้างได้มากขึ้นตาม
ไม่ใช่ว่า เกิดจากนโยบายภาครัฐที่บีบให้เอกชนต้องจ่ายทั้งที่บ.เองไม่ได้โตอะไร ยังเป็นเหมือนรับจ้างผลิตแบบเดิมๆ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ การใช้จ่าย ค่าครองชีพ หนี้ต่างๆ เราทำตัวเหมือนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เรากลายเป็นประเทศที่เสพติดการบริโภค
แต่เป็นการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมนอกประเทศไปแล้ว
เครื่องจักรการบริโภคกำลังจะดับแล้ว เข็นเศรษฐกิจด้วยเครื่องยนต์นี้ไม่ไหวแล้ว เพราะหนี้ครัวเรือนมันบวมไปหมดแล้วฮะ
กำลังซื้อในประเทศไม่ไหวจะเอามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ต่อให้มีน้ำเติมเข้ามา มันก็ช่วยได้วูบเดียว
เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจมันไม่ยั่งยืนตามที่บอกไว้ข้างบนละฮะ
ขอให้โชคดี อย่างน้อยก็ 10 ปี ถ้าสร้างวินับทางการเงินกลับมา น่าจะฟื้นได้
แต่พอเหลือบไปดูคุณภาพคนที่เราผลิตมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็คงไม่ง่ายเท่าไรเลย
มรดกที่จะทิ้งไว้ให้ลูกหลานในวันหน้าได้ คือ สร้างวินัย ให้การศึกษาที่เหมาะสมในอนาคตอย่างด้าน stem + eng ให้เยอะๆไว้
นี่คือทางออกที่ควรทำ เป็นทางออกที่ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปี มันไม่มีทางแก้ปัญหานี้ด้วยระยะเวลาสั้นๆแน่
ถ้ารักประเทศจริง รักเด็ก รักลูกหลานจริงๆ ทุ่มให้กับการศึกษามาก เลิกเรียนไร้สาระเกินไป และยอมรับสภาพซบเซาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เลิกกระตุ้นแบบฉาบฉวย รับสภาพที่มันเกิดให้ได้ก่อน
เผื่อมีคนถาม ทำไมพี่หรั่งเค้าบริโภคแล้วเค้าก็โตไปเรื่อยๆได้ละ
ก็แน่ละ เค้าบริโภคในสิ่งที่เค้าผลิตด้วยนิ ผลิตแล้วขายมาให้พวกเราซื้อได้ด้วยนิ ก็จ่ายไปเรื่อยๆแหละ หมื่นนึง ห้าหมื่น แสนนึง ล้านนึง สิบล้าน
ไม่ใช่รึ
เรามีอะไรผลิตสินค้าต่อหน่วยขายเค้าราคาแบบนั้นบ้างละ?
การบริโภคนิยมแบบไม่ยั่งยืนตามคำแนะนำพี่หรั่งมานานหลายสิบปีกำลังสร้างปัญหาแล้ว
ย้อนไปถึงสมัยพี่หรั่งเจอปัญหา sub prime
แล้วพี่หรั่งเค้ามาบอกเรา (ตอนนั้นน่าจะยุคพี่มาร์คเป็นนาย ก มั้ง) ให้เรากระตุ้นการบริโภคนะ
ต้องช่วยกันเมื่องั้นลำบากกันแน่ๆเลย
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่บัตรเครดิตยังไม่ค่อยมีกันเท่าไร คือ มีนะ แต่ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ที่มีกันคนละหลายๆใบได้
จะเปรียบก็เหมือนสมัยก่อนที่คนถือมือถือรุ่นกระติกน้ำอะ ไม่ได้มีกันง่ายๆเท่าไร เพราะทั้งราคา และค่าบริการยังสูงมาก
ไม่ได้ทำธุรกิจจริงๆจังๆ ไม่ค่อยจะมีใช้กันหรอก จะเอามาโทรหากันคุยเล่นนี่ลืมไปได้เลย
ในยุคตั้งแต่ตอนนั้นมา เราก็เริ่มบริโภคกันหนักขึ้นตามนโยบายตามคำแนะนำของพี่หรั่ง
มีการกระตุ้นการบริโภคกันเยอะ จะเห็นได้ว่า ตอนช่วงนั้นคือยุคทองของหุ้นกลุ่มบริโภคเลยก็ว่าได้
เหตุผลก็เพราะตอนนั้นคนไทยเรายังมีนิสัยการใช้จ่ายแบบเน้นประหยัดอยู่ เดินถนน ซื้อของตามตลาด กินอะไรง่าย ไม่ได้เน้นหรูหราหมาเห่า
มันคือพฤติกรรมที่ถูกหล่อหลอมมาจากช่วงที่เจ็บมาจากตยก. วินัยทางการเงินดี เก็บออมเก่ง
ใช้จ่ายระมัดระวัง และความสะดวกในการใช้จ่ายมันไม่เหมือนปัจจุบันที่ทุกวันนี้เราสามารถซื้อของได้ 24 ชม.
ขริงๆการบริโภคก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วดี
แต่ปัญหาคือเราทำให้มันไม่ยั่งยืน เหตุผลเพราะ เราเอาแต่บริโภคของที่เราไม่ได้ผลิต ของที่ไม่ใช่แบรนด์ภายในประเทศ
กระตุ้นเท่าไร เงินไหลออกหมด เงินเดือนเพิ่ม ค่าแรงเพิ่มจริง แต่เพิ่มบนความไม่ยั่งยืน
ถ้าเราใช้ของไทยกันเอง เงินมันหมุนในระบบ คนไทยใช้ของไทย แบรนด์ไทยเกิด เก่งพอก็ไปขายนอกประเทศได้
ก็คล้ายๆเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ที่สร้างแบรนด์ขึ้นมาขายนี่คือการกระตุ้นที่ดี
เป็นการกระตุ้นที่สร้างความแข็งแรงให้ประเทศ มีแบรนด์ มีสินค้าเทค บ.เติบโต ก็จ่ายเงินเดือน จ่ายค่าจ้างได้มากขึ้นตาม
ไม่ใช่ว่า เกิดจากนโยบายภาครัฐที่บีบให้เอกชนต้องจ่ายทั้งที่บ.เองไม่ได้โตอะไร ยังเป็นเหมือนรับจ้างผลิตแบบเดิมๆ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ การใช้จ่าย ค่าครองชีพ หนี้ต่างๆ เราทำตัวเหมือนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เรากลายเป็นประเทศที่เสพติดการบริโภค
แต่เป็นการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมนอกประเทศไปแล้ว
เครื่องจักรการบริโภคกำลังจะดับแล้ว เข็นเศรษฐกิจด้วยเครื่องยนต์นี้ไม่ไหวแล้ว เพราะหนี้ครัวเรือนมันบวมไปหมดแล้วฮะ
กำลังซื้อในประเทศไม่ไหวจะเอามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ต่อให้มีน้ำเติมเข้ามา มันก็ช่วยได้วูบเดียว
เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจมันไม่ยั่งยืนตามที่บอกไว้ข้างบนละฮะ
ขอให้โชคดี อย่างน้อยก็ 10 ปี ถ้าสร้างวินับทางการเงินกลับมา น่าจะฟื้นได้
แต่พอเหลือบไปดูคุณภาพคนที่เราผลิตมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็คงไม่ง่ายเท่าไรเลย
มรดกที่จะทิ้งไว้ให้ลูกหลานในวันหน้าได้ คือ สร้างวินัย ให้การศึกษาที่เหมาะสมในอนาคตอย่างด้าน stem + eng ให้เยอะๆไว้
นี่คือทางออกที่ควรทำ เป็นทางออกที่ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปี มันไม่มีทางแก้ปัญหานี้ด้วยระยะเวลาสั้นๆแน่
ถ้ารักประเทศจริง รักเด็ก รักลูกหลานจริงๆ ทุ่มให้กับการศึกษามาก เลิกเรียนไร้สาระเกินไป และยอมรับสภาพซบเซาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เลิกกระตุ้นแบบฉาบฉวย รับสภาพที่มันเกิดให้ได้ก่อน
เผื่อมีคนถาม ทำไมพี่หรั่งเค้าบริโภคแล้วเค้าก็โตไปเรื่อยๆได้ละ
ก็แน่ละ เค้าบริโภคในสิ่งที่เค้าผลิตด้วยนิ ผลิตแล้วขายมาให้พวกเราซื้อได้ด้วยนิ ก็จ่ายไปเรื่อยๆแหละ หมื่นนึง ห้าหมื่น แสนนึง ล้านนึง สิบล้าน
ไม่ใช่รึ
เรามีอะไรผลิตสินค้าต่อหน่วยขายเค้าราคาแบบนั้นบ้างละ?