ประชานิยม ทำลายเศรษฐกิจชุมชน ทำลายครอบครัวชนบท คนวัยทำงานจึงต้องย้ายถิ่นฐาน เกิดปัญหาครอบครัวแหว่งกลาง ตามมาด้วยปัญหายาเสพติด
การเข้ามาของประชานิยม ทำลายเศรษฐกิจฐานรากอย่างละเอียด
1. ความหมายของประชานิยม
ประชานิยมคือแนวทางนโยบายที่มุ่งให้ประชาชน “รู้สึกดี” โดยเน้นการแจกเงิน ลดแลกแจกแถม หรือปล่อยสินเชื่ออย่างง่ายเพื่อหวังผลตอบแทนทางการเมืองระยะสั้น โดยมักไม่คำนึงถึงผลกระทบเชิงโครงสร้างระยะยาว
2. การแทนที่ระบบเศรษฐกิจฐานรากด้วยประชานิยม
ในยุคก่อนประชานิยม เช่น ยุคของ สุขวิช รังสิตพล มีการวางรากฐาน “เศรษฐกิจชุมชน” อย่างเป็นระบบ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เช่น:
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน: มีการกำกับดูแลเข้มงวด
สินค้าเศรษฐกิจชุมชน / วิสาหกิจชุมชน / SME: เน้นคุณภาพ ความยั่งยืน และการแข่งขัน
ระบบธนาคารชุมชนที่ปล่อยกู้โดยคัดกรองความสามารถในการชำระคืน
แต่เมื่อประชานิยมเข้ามา : ปี 2544
โครงการกลายเป็น “กองทุนหมู่บ้าน”: ปล่อยกู้ง่าย ไม่มีระบบควบคุมหนี้ ก่อให้เกิด หนี้เสียจำนวนมาก
โครงการ OTOP ถูกขยายเร็วเกินไป โดยไม่มีการคัดกรองคุณภาพสินค้า ทำให้สินค้าขาดความสามารถในการแข่งขัน
ส่งเสริมการบริโภคและหนี้: ธนาคารประชาชนเร่งปล่อยเงินกู้โดยไม่ประเมินความเสี่ยง จนเกิดปัญหาหนี้สินล้นครัวเรือน
3. ผลกระทบที่เกิดขึ้น
3.1 หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง
ครัวเรือนไทยเข้าสู่ระบบหนี้โดยไม่มีความสามารถในการชำระ
ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนในชุมชนหดหาย กลายเป็นหนี้สะสม
3.2 ระบบเศรษฐกิจชุมชนพัง
โครงการวิสาหกิจชุมชนและ SME ที่เดิมวางเป้าหมายสร้างฐานการผลิตและการค้าท้องถิ่น ถูกเบียดขาดตลาดด้วยนโยบายที่ไม่ยั่งยืน
ชุมชนพึ่งพาเงินจากรัฐแทนที่จะสร้างรายได้ด้วยตนเอง
3.3 ขาดวินัยทางการเงิน
ประชานิยมทำให้คนเชื่อว่า “รัฐจะช่วยเหลือตลอดเวลา” ไม่จำเป็นต้องออม ไม่ต้องพัฒนาผลิตภาพ
กลายเป็นระบบ “รอเงินแจก” แทน “ลงทุนเพื่อโต”
4. เสียโอกาสการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่กำลังเริ่มสร้างเสถียรภาพถูกทำลาย ทำให้โอกาสในการสร้างเศรษฐกิจพอเพียงหายไป
เงินที่ควรใช้ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลับหมดไปกับโครงการที่ไม่มีผลผลิตทางเศรษฐกิจแท้จริง
5. สรุป
ประชานิยมในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ได้ทำลาย วินัยทางการคลัง, คุณภาพการผลิตของชุมชน, และ ศักยภาพการพึ่งตนเองของประชาชน จนนำไปสู่ หนี้สิน, ความอ่อนแอของเศรษฐกิจชุมชน, และ การพึ่งพารัฐอย่างถาวร
ปัญหาครอบครัวแหว่งกลาง
การเข้ามาของประชานิยม ทำลายเศรษฐกิจฐานรากอย่างละเอียด
1. ความหมายของประชานิยม
ประชานิยมคือแนวทางนโยบายที่มุ่งให้ประชาชน “รู้สึกดี” โดยเน้นการแจกเงิน ลดแลกแจกแถม หรือปล่อยสินเชื่ออย่างง่ายเพื่อหวังผลตอบแทนทางการเมืองระยะสั้น โดยมักไม่คำนึงถึงผลกระทบเชิงโครงสร้างระยะยาว
2. การแทนที่ระบบเศรษฐกิจฐานรากด้วยประชานิยม
ในยุคก่อนประชานิยม เช่น ยุคของ สุขวิช รังสิตพล มีการวางรากฐาน “เศรษฐกิจชุมชน” อย่างเป็นระบบ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เช่น:
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน: มีการกำกับดูแลเข้มงวด
สินค้าเศรษฐกิจชุมชน / วิสาหกิจชุมชน / SME: เน้นคุณภาพ ความยั่งยืน และการแข่งขัน
ระบบธนาคารชุมชนที่ปล่อยกู้โดยคัดกรองความสามารถในการชำระคืน
แต่เมื่อประชานิยมเข้ามา : ปี 2544
โครงการกลายเป็น “กองทุนหมู่บ้าน”: ปล่อยกู้ง่าย ไม่มีระบบควบคุมหนี้ ก่อให้เกิด หนี้เสียจำนวนมาก
โครงการ OTOP ถูกขยายเร็วเกินไป โดยไม่มีการคัดกรองคุณภาพสินค้า ทำให้สินค้าขาดความสามารถในการแข่งขัน
ส่งเสริมการบริโภคและหนี้: ธนาคารประชาชนเร่งปล่อยเงินกู้โดยไม่ประเมินความเสี่ยง จนเกิดปัญหาหนี้สินล้นครัวเรือน
3. ผลกระทบที่เกิดขึ้น
3.1 หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง
ครัวเรือนไทยเข้าสู่ระบบหนี้โดยไม่มีความสามารถในการชำระ
ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนในชุมชนหดหาย กลายเป็นหนี้สะสม
3.2 ระบบเศรษฐกิจชุมชนพัง
โครงการวิสาหกิจชุมชนและ SME ที่เดิมวางเป้าหมายสร้างฐานการผลิตและการค้าท้องถิ่น ถูกเบียดขาดตลาดด้วยนโยบายที่ไม่ยั่งยืน
ชุมชนพึ่งพาเงินจากรัฐแทนที่จะสร้างรายได้ด้วยตนเอง
3.3 ขาดวินัยทางการเงิน
ประชานิยมทำให้คนเชื่อว่า “รัฐจะช่วยเหลือตลอดเวลา” ไม่จำเป็นต้องออม ไม่ต้องพัฒนาผลิตภาพ
กลายเป็นระบบ “รอเงินแจก” แทน “ลงทุนเพื่อโต”
4. เสียโอกาสการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่กำลังเริ่มสร้างเสถียรภาพถูกทำลาย ทำให้โอกาสในการสร้างเศรษฐกิจพอเพียงหายไป
เงินที่ควรใช้ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลับหมดไปกับโครงการที่ไม่มีผลผลิตทางเศรษฐกิจแท้จริง
5. สรุป
ประชานิยมในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ได้ทำลาย วินัยทางการคลัง, คุณภาพการผลิตของชุมชน, และ ศักยภาพการพึ่งตนเองของประชาชน จนนำไปสู่ หนี้สิน, ความอ่อนแอของเศรษฐกิจชุมชน, และ การพึ่งพารัฐอย่างถาวร