ภัยแล้งวิกฤต พิษเอลนีโญ ลำชีแห้งขอด เริ่มขาดน้ำ ชาวบ้าน-เกษตรกร 16 อำเภอ เดือดร้อนหนัก
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8216946
ชัยภูมิ พิษเอลนีโญ ภัยแล้งส่องวิกฤต ลำชีเริ่มแห้งขอด ขาดน้ำเกษตรกร 16 อำเภอเดือดร้อนหนัก ชาวบ้านทุกข์ ไม่มีน้ำประปาใช้ พ่อเมือง ลุยสำรวจ สั่ง นอภ.หาทางแก้ไขด่วน
5 พ.ค. 67 – สถานการณ์ภัยแล้งซึ่งส่งผลมาจาก ปรากฎการณ์เอลนีโย่ ทำให้ทั่วทั้งโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักรวมถึงประเทศไทย โดยที่จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชีเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชาวอีสานยาวที่สุดในประเทศไทยกว่า 765 กิโลเมตร
ขณะนี้เริ่มแห้งขอดส่องให้เห็นถึงวิกฤตให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั่วทั้ง 16 อำเภอ หนักเบาต่างกันไป โดยส่องวิกฤตหนักสุด ที่ตำบลลุ่มลำชี อ.บ้านเขว้า รอยต่อบ้านเสี้ยวน้อย อ.เมืองชัยภูมิ ที่เขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว และบ้านไร่ลำชี ต.กะฮาต อ.เนินสง่า
นาย
อนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ นำคณะที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจสถานีสูบน้ำผลิตน้ำประปาบ้านค่ายเพื่อประเมินสถานการณ์ การขาดแหล่งน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนและความเดือดร้อนของชาวบ้านและเกษตรกร
นาย
อนันต์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้นำคณะหน่วยงาตที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ที่สถานีผลิตน้ำประปาบ้านค่าย ที่เป็นจุดที่น่าห่วงที่สุดเนื่องจากแหล่งน้ำที่ใช้ผลิตน้ำประปามาตลอดนั้น ใช้น้ำดิบจากลำน้ำชีแห่งนี้แต่ตอนนี้ น้ำในแหล่งน้ำเริ่มแห้ง จึงไม่สามารถผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ได้เติมที่ เหมือนอย่างเขตพื้นที่อื่นในจังหวัดชัยภูมิ
โดยที่ผ่านมาเราได้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการในเรื่องของสถานการณ์ภัยแล้งให้มีการติดตามสถานการณ์มีการประเมินในเรื่องของสถานการณ์เรื่องของการขาดแคนน้ำแล้วก็มีการติดตามเฝ้าระวังข้อมูลมาตั้งแต่ต้นปี 66 มาถึงปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาในจุดนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
โดยทางประปาบ้านค่ายได้สูบน้ำมาจากสาธารณะที่วัดโคกแพงพวย ซึ่งก็จะใช้ได้อีกประมาณหนึ่งเดือนถึงสองเดือนถ้าเรามีการบริหารจัดการที่ดี การแก้ไขปัญหาในระยะยาวก็คือเรื่องหาแหล่งน้ำสำรอง
เบื้องต้นได้สั่งการนายอำเภอทุกอำเภอ ให้มีการสำรวจแหล่งน้ำสำรองและให้มีการจัดหาถ้าแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งน้ำประปาไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำใต้ดินหรือแหล่งน้ำสำรองในการสนับสนุนการผลิตของประปาหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งจะต้องใช้การบูรณาการ เช่นการนำน้ำสะอาดมาจากแหล่งน้ำทั้งที่เป็นประปาหมู่บ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงหรือว่าเป็นน้ำดิบเลย ไปส่งให้กับพี่น้องในหมู่บ้านที่ขาดแคลนต่อไป
ส่วนเรื่องของเกษตรกรที่ต้องใช้น้ำจาก ใช้น้ำจากแหล่งน้ำในลำน้ำชี เพื่อที่จะมาลดผักปลูกผัก โดยพบปัญหาน้ำเค็มนั้น ทางเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัดได้มีวิธีแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นโดยให้เกษตรกรที่นำ นั้นโดยให้เกษตรกรที่นำน้ำขึ้นมาจากลำน้ำชีให้มีการพักหรือให้น้ำคลายความเค็ม ก่อนที่จะนำน้ำมาลดผักก็จะจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเบื้องต้น อีกด้วย
จึงขอฝากเรียนไปยังพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิทั้ง 16 อำเภอจึงขอฝากเรียนไปยังพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิทั้ง 16 อำเภอได้ติดตามข่าวสารจากทางผู้นำชุมชนองค์กรส่วนท้องถิ่นและนายอำเภอทุกอำเภออย่างใกล้ชิดอีกต่อไปด้วย
ร้อนจัด ‘ปลากระชัง’ ตายอื้อ เจ้าของตัดพ้อต้องทำใจไร้เยียวยา
https://www.dailynews.co.th/news/3403387/
ร้อนจัด ‘ปลากระชัง’ ตายอื้อ เจ้าของตัดพ้อต้องทำใจไร้เยียวยา
เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาพอากาศร้อนจัด ได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ ต.เกาะเทโพ อ.เมือง จ.อุทัยธานี เมื่อปลาที่เลี้ยงไว้และมีขนาดตัวใกล้จับขายได้ทยอยตายลงวันละเกือบ 100 ตัว ทุกวัน มานานนับเดือนเศษ และยังมีแนวโน้มที่ปลาจะยังคงทยอยตายลงทุกวัน เนื่องจากสภาพอากาศยังคงร้อนจัดอย่างต่อเนื่องอยู่
โดย นาย
เปรย สามีคคี หนึ่งในเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังมานานเกือบ 30 ปี เปิดเผยว่า ตอนนี้ทุกที่เลี้ยงปลากระชังกำลังประสบปัญหาปลาที่เลี้ยงไว้ทยอยตายจำนวนมากจากอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งทำให้ในน้ำอุ่นอยู่ตลอดเวลา และขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นแบบนี้มาเป็นเดือนกว่าแล้ว โดยที่กระชังของตนนั้นเลี้ยงปลาทับทิมไว้ทั้งหมด 6 กระชัง กระชังละกว่า 1,200 ตัว รวมแล้วประมาณ 8,000 ตัว และอยู่ในช่วงที่ใกล้จะจับขายได้แล้ว แต่ต้องมาตายวันละไม่ต่ำกว่า 90 ตัวทุกวัน ซึ่งหากคิดเป็นน้ำหนักก็จะเฉลี่ยที่วันละ 40-50 กิโลกรัม หากคิดตามราคาขายล่าสุดที่กิโลกรัมละ 78 บาท จะเท่ากับต้องสูญเงินไปวันละเกือบ 4,000 บาท ทำให้จำเป็นต้องเร่งจับปลาในกระชังขายก่อนกำหนดเพื่อลดการขาดทุน แต่ก็ยังกังวลว่าปลาที่เหลืออยู่ ซึ่งยังไม่ค่อยได้ขนาดอาจจะตายลงอีกมาก หากสภาพอากาศยังไม่คลี่คลาย
เมื่อถามถึงความต้องการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาล นาย
เปรย ได้กล่าวตัดพ้อขึ้นมาทันทีว่า ไม่หวังกับการช่วยเหลืออะไรจากหน่วยงานหรือภาครัฐแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าการเลี้ยงปลาจะประสบปัญหาปลาตายจากสาเหตุใดก็ตาม หรือแม้กระทั่งมีราคาที่ตกต่ำ ก็ไม่เคยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือเยียวยาแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับเกษตรกรชาวนาที่เมื่อประสบภัยแล้ง หรืออุทกภัย ข้าวตาย ก็ได้รับการช่วยเหลือหรือให้การเยียวยาจากรัฐบาลทุกครั้ง.
“พูนศักดิ์” จี้นายกฯถอดบทเรียนการจัดการขยะอุตสาหกรรม
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_712975/
“พูนศักดิ์” จี้นายกฯ-รมว.อุตสาหกรรม ถอดบทเรียนการจัดการขยะอุตสาหกรรมจริงจัง แถลงแนวทางแก้ไข มีโรดแมปชัดเจน แสดงความเป็นผู้นำได้โดยไม่ต้องตำหนิข้าราชการผ่านสื่อ
นาย
พูนศักดิ์ จันทร์จําปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นาย
จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลาออกจากตำแหน่งว่า อยากให้เปลี่ยนใจกลับมาแก้ปัญหาการจัดการขยะอุตสาหกรรมต่อ เวลาอีก 5 เดือนในอายุราชการที่เหลือยังมีหลายเรื่องรอให้แก้ไข อย่าเพิ่งทิ้งปัญหา
นาย
พูนศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนสังเกตว่าแนวทางการทำงานของรัฐบาล มักโยนบาปให้ข้าราชการ เห็นชัดๆ คือปัญหาลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ที่นายกฯ ต่อว่าอดีตอธิบดีดีเอสไอ ทั้งๆ ที่ตัวเองควบตำแหน่ง รมว.คลัง กำกับดูแลกรมศุลกากร แต่กลับดูลอยตัว กรณีการจัดการกากอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน นายกฯ และ รมว.อุตสาหกรรม เป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบในการแก้ไข แต่ตอนนี้อย่างเดียวที่ประชาชนจำได้ คือภาพนายกฯ ลงพื้นที่ต่อว่าอธิบดี พูดถึงปัญหาแบบผิวเผิน
ทั้งนี้ อย่าให้คนจดจำนายกฯ และรัฐบาลนี้ เป็นแค่รัฐบาลที่เอะอะโทษข้าราชการ ตำหนิข้าราชการผ่านหน้าสื่อ ท่านนายกฯ สามารถแสดงความเป็นผู้นำได้โดยไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เช่น แถลงแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน มีโรดแมปการทำงาน ถ้าท่านขยับแบบนี้ ข้าราชการคนทำงานก็ต้องขยับตาม ประชาชนจะได้ประโยชน์”
ขณะเดียวกัน มองว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ควรถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และ พ.ร.บ.โรงงาน การปล่อยปละละเลยในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ การคานอำนาจในการควบคุมมลพิษจากโรงงานโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบังคับให้โรงงานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุหรือก่อให้เกิดมลพิษ ต้องทำประกันสิ่งแวดล้อมหรือจัดทำหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นาย
พูนศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องเหล่านี้ตนอภิปรายเสนอแนะมาตลอด แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจหรือนำไปปรับปรุงแก้ไขหากนายกฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาและการตามงานจริงอย่างที่พูด ก็หวังว่าประชาชนจะได้เห็นความก้าวหน้าของเนื้องานในเรื่องนี้บ้าง
JJNY : ภัยแล้งวิกฤต ลำชีแห้งขอด│ร้อนจัด‘ปลากระชัง’ตายอื้อ│“พูนศักดิ์”จี้นายกฯถอดบทเรียนการจัดการขยะ│ฝนตกหนักเท็กซัสอ่วม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8216946
ชัยภูมิ พิษเอลนีโญ ภัยแล้งส่องวิกฤต ลำชีเริ่มแห้งขอด ขาดน้ำเกษตรกร 16 อำเภอเดือดร้อนหนัก ชาวบ้านทุกข์ ไม่มีน้ำประปาใช้ พ่อเมือง ลุยสำรวจ สั่ง นอภ.หาทางแก้ไขด่วน
5 พ.ค. 67 – สถานการณ์ภัยแล้งซึ่งส่งผลมาจาก ปรากฎการณ์เอลนีโย่ ทำให้ทั่วทั้งโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักรวมถึงประเทศไทย โดยที่จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชีเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชาวอีสานยาวที่สุดในประเทศไทยกว่า 765 กิโลเมตร
ขณะนี้เริ่มแห้งขอดส่องให้เห็นถึงวิกฤตให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั่วทั้ง 16 อำเภอ หนักเบาต่างกันไป โดยส่องวิกฤตหนักสุด ที่ตำบลลุ่มลำชี อ.บ้านเขว้า รอยต่อบ้านเสี้ยวน้อย อ.เมืองชัยภูมิ ที่เขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว และบ้านไร่ลำชี ต.กะฮาต อ.เนินสง่า
นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ นำคณะที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจสถานีสูบน้ำผลิตน้ำประปาบ้านค่ายเพื่อประเมินสถานการณ์ การขาดแหล่งน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนและความเดือดร้อนของชาวบ้านและเกษตรกร
นายอนันต์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้นำคณะหน่วยงาตที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ที่สถานีผลิตน้ำประปาบ้านค่าย ที่เป็นจุดที่น่าห่วงที่สุดเนื่องจากแหล่งน้ำที่ใช้ผลิตน้ำประปามาตลอดนั้น ใช้น้ำดิบจากลำน้ำชีแห่งนี้แต่ตอนนี้ น้ำในแหล่งน้ำเริ่มแห้ง จึงไม่สามารถผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ได้เติมที่ เหมือนอย่างเขตพื้นที่อื่นในจังหวัดชัยภูมิ
โดยที่ผ่านมาเราได้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการในเรื่องของสถานการณ์ภัยแล้งให้มีการติดตามสถานการณ์มีการประเมินในเรื่องของสถานการณ์เรื่องของการขาดแคนน้ำแล้วก็มีการติดตามเฝ้าระวังข้อมูลมาตั้งแต่ต้นปี 66 มาถึงปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาในจุดนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
โดยทางประปาบ้านค่ายได้สูบน้ำมาจากสาธารณะที่วัดโคกแพงพวย ซึ่งก็จะใช้ได้อีกประมาณหนึ่งเดือนถึงสองเดือนถ้าเรามีการบริหารจัดการที่ดี การแก้ไขปัญหาในระยะยาวก็คือเรื่องหาแหล่งน้ำสำรอง
เบื้องต้นได้สั่งการนายอำเภอทุกอำเภอ ให้มีการสำรวจแหล่งน้ำสำรองและให้มีการจัดหาถ้าแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งน้ำประปาไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำใต้ดินหรือแหล่งน้ำสำรองในการสนับสนุนการผลิตของประปาหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งจะต้องใช้การบูรณาการ เช่นการนำน้ำสะอาดมาจากแหล่งน้ำทั้งที่เป็นประปาหมู่บ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงหรือว่าเป็นน้ำดิบเลย ไปส่งให้กับพี่น้องในหมู่บ้านที่ขาดแคลนต่อไป
ส่วนเรื่องของเกษตรกรที่ต้องใช้น้ำจาก ใช้น้ำจากแหล่งน้ำในลำน้ำชี เพื่อที่จะมาลดผักปลูกผัก โดยพบปัญหาน้ำเค็มนั้น ทางเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัดได้มีวิธีแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นโดยให้เกษตรกรที่นำ นั้นโดยให้เกษตรกรที่นำน้ำขึ้นมาจากลำน้ำชีให้มีการพักหรือให้น้ำคลายความเค็ม ก่อนที่จะนำน้ำมาลดผักก็จะจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเบื้องต้น อีกด้วย
จึงขอฝากเรียนไปยังพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิทั้ง 16 อำเภอจึงขอฝากเรียนไปยังพี่น้องประชาชนและเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิทั้ง 16 อำเภอได้ติดตามข่าวสารจากทางผู้นำชุมชนองค์กรส่วนท้องถิ่นและนายอำเภอทุกอำเภออย่างใกล้ชิดอีกต่อไปด้วย
ร้อนจัด ‘ปลากระชัง’ ตายอื้อ เจ้าของตัดพ้อต้องทำใจไร้เยียวยา
https://www.dailynews.co.th/news/3403387/
ร้อนจัด ‘ปลากระชัง’ ตายอื้อ เจ้าของตัดพ้อต้องทำใจไร้เยียวยา
เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาพอากาศร้อนจัด ได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ ต.เกาะเทโพ อ.เมือง จ.อุทัยธานี เมื่อปลาที่เลี้ยงไว้และมีขนาดตัวใกล้จับขายได้ทยอยตายลงวันละเกือบ 100 ตัว ทุกวัน มานานนับเดือนเศษ และยังมีแนวโน้มที่ปลาจะยังคงทยอยตายลงทุกวัน เนื่องจากสภาพอากาศยังคงร้อนจัดอย่างต่อเนื่องอยู่
โดย นายเปรย สามีคคี หนึ่งในเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังมานานเกือบ 30 ปี เปิดเผยว่า ตอนนี้ทุกที่เลี้ยงปลากระชังกำลังประสบปัญหาปลาที่เลี้ยงไว้ทยอยตายจำนวนมากจากอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งทำให้ในน้ำอุ่นอยู่ตลอดเวลา และขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นแบบนี้มาเป็นเดือนกว่าแล้ว โดยที่กระชังของตนนั้นเลี้ยงปลาทับทิมไว้ทั้งหมด 6 กระชัง กระชังละกว่า 1,200 ตัว รวมแล้วประมาณ 8,000 ตัว และอยู่ในช่วงที่ใกล้จะจับขายได้แล้ว แต่ต้องมาตายวันละไม่ต่ำกว่า 90 ตัวทุกวัน ซึ่งหากคิดเป็นน้ำหนักก็จะเฉลี่ยที่วันละ 40-50 กิโลกรัม หากคิดตามราคาขายล่าสุดที่กิโลกรัมละ 78 บาท จะเท่ากับต้องสูญเงินไปวันละเกือบ 4,000 บาท ทำให้จำเป็นต้องเร่งจับปลาในกระชังขายก่อนกำหนดเพื่อลดการขาดทุน แต่ก็ยังกังวลว่าปลาที่เหลืออยู่ ซึ่งยังไม่ค่อยได้ขนาดอาจจะตายลงอีกมาก หากสภาพอากาศยังไม่คลี่คลาย
เมื่อถามถึงความต้องการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาล นายเปรย ได้กล่าวตัดพ้อขึ้นมาทันทีว่า ไม่หวังกับการช่วยเหลืออะไรจากหน่วยงานหรือภาครัฐแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าการเลี้ยงปลาจะประสบปัญหาปลาตายจากสาเหตุใดก็ตาม หรือแม้กระทั่งมีราคาที่ตกต่ำ ก็ไม่เคยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือเยียวยาแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับเกษตรกรชาวนาที่เมื่อประสบภัยแล้ง หรืออุทกภัย ข้าวตาย ก็ได้รับการช่วยเหลือหรือให้การเยียวยาจากรัฐบาลทุกครั้ง.
“พูนศักดิ์” จี้นายกฯถอดบทเรียนการจัดการขยะอุตสาหกรรม
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_712975/
“พูนศักดิ์” จี้นายกฯ-รมว.อุตสาหกรรม ถอดบทเรียนการจัดการขยะอุตสาหกรรมจริงจัง แถลงแนวทางแก้ไข มีโรดแมปชัดเจน แสดงความเป็นผู้นำได้โดยไม่ต้องตำหนิข้าราชการผ่านสื่อ
นายพูนศักดิ์ จันทร์จําปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลาออกจากตำแหน่งว่า อยากให้เปลี่ยนใจกลับมาแก้ปัญหาการจัดการขยะอุตสาหกรรมต่อ เวลาอีก 5 เดือนในอายุราชการที่เหลือยังมีหลายเรื่องรอให้แก้ไข อย่าเพิ่งทิ้งปัญหา
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนสังเกตว่าแนวทางการทำงานของรัฐบาล มักโยนบาปให้ข้าราชการ เห็นชัดๆ คือปัญหาลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ที่นายกฯ ต่อว่าอดีตอธิบดีดีเอสไอ ทั้งๆ ที่ตัวเองควบตำแหน่ง รมว.คลัง กำกับดูแลกรมศุลกากร แต่กลับดูลอยตัว กรณีการจัดการกากอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน นายกฯ และ รมว.อุตสาหกรรม เป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบในการแก้ไข แต่ตอนนี้อย่างเดียวที่ประชาชนจำได้ คือภาพนายกฯ ลงพื้นที่ต่อว่าอธิบดี พูดถึงปัญหาแบบผิวเผิน
ทั้งนี้ อย่าให้คนจดจำนายกฯ และรัฐบาลนี้ เป็นแค่รัฐบาลที่เอะอะโทษข้าราชการ ตำหนิข้าราชการผ่านหน้าสื่อ ท่านนายกฯ สามารถแสดงความเป็นผู้นำได้โดยไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เช่น แถลงแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน มีโรดแมปการทำงาน ถ้าท่านขยับแบบนี้ ข้าราชการคนทำงานก็ต้องขยับตาม ประชาชนจะได้ประโยชน์”
ขณะเดียวกัน มองว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ควรถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และ พ.ร.บ.โรงงาน การปล่อยปละละเลยในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ การคานอำนาจในการควบคุมมลพิษจากโรงงานโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบังคับให้โรงงานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุหรือก่อให้เกิดมลพิษ ต้องทำประกันสิ่งแวดล้อมหรือจัดทำหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นายพูนศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องเหล่านี้ตนอภิปรายเสนอแนะมาตลอด แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจหรือนำไปปรับปรุงแก้ไขหากนายกฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาและการตามงานจริงอย่างที่พูด ก็หวังว่าประชาชนจะได้เห็นความก้าวหน้าของเนื้องานในเรื่องนี้บ้าง