เมื่อใด้เจริญอานาปานสติ รู้ลมเข้า รู้ลมออก จนเกิด อาการ วิตก วิจาร ขึ้น คือ ไม่มีเจตนาจะกำหนดระลึก รู้ ลมหายใจเข้า ออก เองแล้ว จิตรู้ลม ลม เข้า ลมออกเอง โดย ไม่ต้องจงใจ หรือบังคับ จิตเหมือนสงบวูบเข้าไป วิตก วิจาร ในลมก็หายไป แต่ก็ยังมีสัมปชัญญะ รู้ถึงการมีอยู่แห่งกาย รู้การมีอยู่แห่งลมหายใจ เข้า ลมหายใจออก ในขณะที่ รู้จิตตั้งมั่นอยู่นั้น เมื่อสังขารความคิดเกิดขึ้น แม้จิตจะตั้งมั่นไม่ใด้ยึดถือความคิดเช่นว่านั้น สักแต่ว่า รู้ ความเข้าใจอันหนึ่งที่มีขึ้นมา คือ เห็นว่า สังขารความคิดที่เกิดดับเหล่านั้น เป็นโทษเป็นภัยอย่างยิ่ง จึงมีความคิดจะหาทางหลีกหนีจากสังขารทั้งหลายเหล่านั้นตามลำดับไป ( ยกมาเพียงคร่าวๆเบื้องต้น ) ประเด็นของตัวผม คือ 1. ระลึกรู้อยู่ว่ามีกาย คือกายไม่ใด้ดับหายไป 2. จิตสงบตั้งมั่น 3. วิตก วิจาร ในลมหายใจเข้า ออก หายไป ลมหายใจเข้าออก เป็นเพียง สัญญาอันหนึ่ง คือ เห็นสัญญาในลม ไม่ใช่ตัวเนื้อลม 4. คือเข้าใจสิ่งที่ตามเห็น ปรากฏชัดขึ้นมาโดยไม่มีเจตนาจะคิดพิจารณาในสิ่งที่ตามเห็นนั้นไปโดยลำดับจนเห็นความจริงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในท้ายสุด นี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่เจริญมา ซึ่งต่างจากในหลายแนวทางที่เคยใด้ยินใด้ฟังมา ถ้าจิตตั้งมั่นไม่มี วิตก วิจาร จะจัดว่าเป็นฌานไหม ? ยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของกาย แม้เป็นเพียงสัญญญาอันหนึ่ง จะถือว่า กายดับหายไปไหม ? ความเข้าใจในสิ่งที่ตามเห็น ณ ขณะนั้น ถือว่า ตั้งใจคิดพิจารณา ใน รูป นาม กายใจ ขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไหม เอาสังขารไปกระทำเช่นนั้นจะพ้นออกจากสังขารไหม ? แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ เจริญในธรรมทุกท่านครับ
เจริญอานาปานสติ จนจิตตั้งมั่น