'ศิริกัญญา' ซัดรัฐบาล แหกทุกกรอบวินัยการคลัง ใช้ท่ายากพิสดาร กู้ 3 ต่อ หางบแจกเงินดิจิทัล
https://ch3plus.com/news/economy/morning/394148
นางสาว
ศิริกัญญา ตันสกุล สส.พรรคก้าวไกล ได้ทวีตเกี่ยวกับ '
นโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท' ว่า
[เบ่งงบ 68 + ออกงบกลางปี 67 + ยืมเงิน ธกส. ดันดิจิทัล วอลเล็ต]
เบ่งงบ 68 วันนี้ ครม.จะประกาศกรอบงบ 68 ใหม่ ที่จะต้องขยายเพิ่มอีกจาก 3.6 ล้านล้าน เป็น 3.8 ล้านล้าน ต้องเก็บภาษีเพิ่ม และต้องกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มเป็นเกือบ 9 แสนล้าน เพื่อเอาเงินไปทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่นั่นก็ยังไม่พอกับวงเงินโครงการ จึงต้อง...
ออกงบกลางปี 67 โดยขยายการกู้ชดเชยขาดดุลให้เต็มเพดาน 7.9 แสนล้าน และเพื่อจะทำให้ใช้เงินข้ามปีงบประมาณได้ ก็ต้องเอาไปใส่ไว้ในกองทุน ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนประชารัฐ (บัตรคนจน) แต่เงินก้อนนี้ก็ยังคงไม่พอใช้ทำโครงการ จึงต้อง...
ยืมเงินธกส. ตามม.28 โดยบิดว่าเงินส่วนนี้จะนำไปแจกเฉพาะเกษตรกร ซึ่งน่าจะทำให้เงินกู้ตามม. 28 ทะลุเพดานกรอบวินัยการคลังไปไกล ต้องออกประกาศขยายเพดานเงินกู้ในเร็ววัน แถมยังต้องเสี่ยงกับ กม.ธกส.ที่ไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์เอาไว้
โดยสรุปคือ กู้ 3 ต่อ เพื่อให้ได้ 5 แสนล้าน แบบถูกกฎหมาย? ตั้งขาดดุลกระฉูด ภาระดอกเบี้ยบาน
รอบนี้ใช้ท่ายากพิสดาร ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะสร้างความปั่นป่วนสับสนอลหม่านขนาดไหน ฉีกทุกกฎ แหกทุกกรอบวินัยการคลัง เพียงเพื่อให้ได้ทำดิจิทัลวอลเล็ตปลายปีนี้...#เพื่อใคร?
-----------
วานนี้ (2 เม.ย. 67) นาย
ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ฉบับทบทวน ตามที่ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังฯ เสนอ เพื่อนำไปประกอบการจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บ หรือหารายได้การจัดทำงบฯ และการก่อหนี้ของหน่วยงานรัฐ ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 ต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนฯ ปีงบฯ 68-71 ครม. ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 อย่างไรก็ดี เพื่อให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการคลังมีความสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน คกก.นโยบายการเงินการคลังฯ ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 จึงได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ฉบับทบทวน
โดย แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 - 2571) ฉบับทบทวน ประกอบด้วย 3 ส่วน มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
ในปี 2568 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.8 - 3.8 (ค่ากลางร้อยละ 3.3) และ GDP Deflator อยู่ที่ร้อยละ 1.6 สำหรับในปี 2569 คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.8 - 3.8 (ค่ากลางร้อยละ 3.3) และในปี 2570 และ 2571 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.7 - 3.7 (ค่ากลางร้อยละ 3.2) สำหรับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2569 - 2570 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.3 - 2.3 และในปี 2571 - 2572 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 - 2.5
2. สถานะและประมาณการการคลัง
2.1 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับ 2,887,000 3,040,000 3,204,000 และ 3,394,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับ 3,752,700 3,743,000 3,897,000 และ 4,077,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.3 จากประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 2568 - 2571 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณจำนวน 865,700 703,000 693,000 และ 683,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.42 3.42 3.21 และ 3.01 ต่อ GDP ตามลำดับ
2.4 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 11,131,634.20 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.44 ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับร้อยละ 66.93 67.53 67.57 และ 67.05 ตามลำดับ
3. เป้าหมายและนโยบายการคลัง
ในการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลาง ภาครัฐยังคงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต โดยยังคงยึดหลักแนวคิด “Revival” ที่มุ่งเน้นสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ผ่านการสร้างความเข้มแข็งด้านการคลังในด้านต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น ความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และความครอบคลุมจากทุกแหล่งเงินในการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษีให้มีเพียงเท่าที่จำเป็น การปฏิรูปโครงสร้าง และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดการขาดดุลการคลังและสร้างกันชนทางการคลัง ในการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบายที่จำเป็น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป
สำหรับเป้าหมายการคลังของแผนการคลังฉบับนี้ รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และมุ่งเน้นการปรับลดขนาดการขาดดุลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในระยะปานกลาง
ทั้งนี้ หากในระยะต่อไป ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ภาครัฐสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะได้ เป้าหมายการคลังในระยะยาวจะกำหนดให้รัฐบาลมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม
-----------
นาย
ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการปรับกรอบการคลังระยะปานกลาง เนื่องจากขณะนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าการเติบโตตามศักยภาพสะท้อนจากจีดีพีปี 67 ขยายตัวที่ 2.7% และไตรมาส 4 ปี 66 จีดีพีหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 66
อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาทั้งภายนอก และภายในประเทศ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อการฟื้นตัว และการขยายตัวของเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย และสูงกว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพ และเพื่อให้มีแผนการคลังระยะปานกลางที่สอดคล้องกับสถานการณ์
เมื่อถามว่า ต้องการเม็ดเงินไปใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ใช่หรือไม่ โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ในแผนการคลังระยะปานกลางพูดถึงแต่การปรับกรอบเท่านั้น
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลคือ ต้องทำให้จีดีพีโต หลังการขาดดุลงบปี 68 เพิ่มขึ้น ตัวเลขในปีต่อ ๆ ไปก็จะลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเมื่อเศรษฐกิจเติบโต หนี้สาธารณะต่อจีดีพีบางปีจะไม่เพิ่มขึ้น หรืออาจลดลง ตอนนี้ ต้องทำให้จีดีพีโตก่อน เป้าหมายคือต้องโตไม่ต่ำกว่าปีละ 3%”
-----------
นาย
ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศให้อยู่ที่ 62-63% ของจีดีพี ทำให้มีพื้นที่ที่ทางการคลังเหลืออยู่ 7-8% ของจีดีพี ตามกรอบเพดานหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วงนี้ ที่เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2% หากปล่อยให้โตเพียง 2% ไปเรื่อย ๆ กำลังซื้อคนระดับฐานรากจะได้รับผลกระทบ และกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ ปัญหาจะวนไปแบบนี้
หากเศรษฐกิจดี ประชาชนกินดีอยู่ดี มีกำลังซื้อ รัฐก็จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น “การเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง เป็นนโยบายการคลัง เพื่อรองรับวิกฤติในอนาคต
วันนี้ เศรษฐกิจโตไม่เต็มศักยภาพ หากไม่ดำเนินการใด ๆ เศรษฐกิจไทยจะโตแค่ 1.5% การนำพื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ 7-8% มาใช้จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้บ้าง เพราะเพียง 7-8% หากเกิดวิกฤติขึ้นมาจริง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้”
นาย
ลวรณกล่าวว่า มีคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ คาดว่ามีหลายโครงการที่จะใช้จ่ายไม่เต็มวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ เพราะมีเวลาใช้เงินเพียง 5 เดือน
ดังนั้น จะโยกวงเงินที่เหลือมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะเป็นวิธีบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด “การโยกเงินที่ใช้ไม่หมดของงบปี 67 เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการเงิน นอกเหนือจากการเพิ่มวงเงินขาดดุลงบฯปี 68 อีก 150,000 ล้านบาท”
-----------
https://twitter.com/SirikanyaTansa1/status/1775029688798511209
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ :
https://youtu.be/mDz-6Y5bEg0
ฐากร ให้รัฐบาลเกรด D แก้ทุจริตติด ร. แนะพบอาจารย์ที่ปรึกษา เทอม2ไม่พัฒนาต้องรีไทร์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4507027
‘ฐากร’ ตัดเกรดเฉลี่ยรัฐบาลได้แค่ D แนะพบอาจารย์ที่ปรึกษา หากเทอม 2 ไม่พัฒนาต้องโดนรีไทร์
มื่อวันมที่ 3 เมษายน เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ต่อมาเวลา 11.05 น. นาย
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย อภิปรายว่า วันนี้ตนขอเป็นครูที่จะประเมิณผลการเรียนของรัฐบาลชุดนี้ที่เรียนมาครบเทอมแรก 6 เดือน 23 วัน มีวิชาที่ลงเรียนทั้งหมด 38 วิชา ขอตัดเกรดรายวิชาเป็น เอ, บี, ซี, ดี, อี, เอฟ และติด ร. ขาดคุณสมบัติเข้าสอบ และจะให้เกรดเฉลี่ยนทั้ง 38 วิชา ว่าได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ ควรจะปรับปรุงอย่างไร อาทิ
นโยบายที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ขอให้เกรด เอฟ เพราะเห็นว่าวันนี้เงินเดือน 12,000-15,000 นักศึกษาที่จบใหม่ยังไม่มีงานทำเลย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ให้เกรด ดี เพราะดูแล้วเป็นไปได้ยาก ไม่ได้จะทำได้ใน 3 ปีที่เหลือ เช่นเดียวกับนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา อาทิ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เติมเงิน 10,000 บาท ที่ถูกคัดค้านจากหลายหน่วยงาน ตนก็ให้เกรด ดี นโยบายแก้หนี้ภาคธุรกิจ เกรดดี
นาย
ฐากรกล่าวต่อว่า ขณะที่การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ตนให้เกรดซี เพราะทำแบบทำๆ หยุดๆ ยังไม่สำเร็จ การแก้ปัญหาทุจริต ให้ติด ร. เพราะแก้อะไรไม่ได้เลย ถือว่าขาดคุณสมบัติเข้าสอบ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ พอไปได้ให้เกรดซีลบ พอมีความจริงใจในการทำ ส่วนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ขอให้เกรดเอลบ เพราะมีความพยายามสร้างพลังสร้างสรรค์ไทยให้ดังทั่วโลก ส่วนการดูแลทรัพยากรธรรมราชของประเทศ ให้เกรดเอฟ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนทรัพยกรมนุษย์ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับประเทศอื่น ซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรมากให้เกรดเอฟ นโยบายด้านความเหลื่อมล้ำ รักษาเสถียรภาพการเงินการคลัง จะลดภาระการลงุทนจากงบประมาณแผ่นดินและลดการกู้เงิน ให้เกรดเอฟ
“
เมื่อเทียบแล้วรัฐบาลนี้ได้เกรดดี และหลังจากนี้ผมจะรีบทำหนังสือแจ้งเตือนให้นักเรียนท่านนี้ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาโดยด่วน เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงการเรียนต่อไปให้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเทอมแรก พร้อมกำชับว่าให้อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างเคร่งครัด ถ้าเทอมที่ 2 ยังไม่พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ก็ต้องรีไทร์ตัวเองออกไป” นาย
ฐากรกล่าว
JJNY : 'ศิริกัญญา'ซัดรบ.แหกทุกกรอบ│ฐากรให้รัฐบาลเกรด D│เชียงใหม่วิกฤตหนัก ขึ้นอันดับ 1│‘เซเลนสกี’เซ็นกม.ลดอายุเกณฑ์ทหาร
https://ch3plus.com/news/economy/morning/394148
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.พรรคก้าวไกล ได้ทวีตเกี่ยวกับ 'นโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท' ว่า
[เบ่งงบ 68 + ออกงบกลางปี 67 + ยืมเงิน ธกส. ดันดิจิทัล วอลเล็ต]
เบ่งงบ 68 วันนี้ ครม.จะประกาศกรอบงบ 68 ใหม่ ที่จะต้องขยายเพิ่มอีกจาก 3.6 ล้านล้าน เป็น 3.8 ล้านล้าน ต้องเก็บภาษีเพิ่ม และต้องกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มเป็นเกือบ 9 แสนล้าน เพื่อเอาเงินไปทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่นั่นก็ยังไม่พอกับวงเงินโครงการ จึงต้อง...
ออกงบกลางปี 67 โดยขยายการกู้ชดเชยขาดดุลให้เต็มเพดาน 7.9 แสนล้าน และเพื่อจะทำให้ใช้เงินข้ามปีงบประมาณได้ ก็ต้องเอาไปใส่ไว้ในกองทุน ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนประชารัฐ (บัตรคนจน) แต่เงินก้อนนี้ก็ยังคงไม่พอใช้ทำโครงการ จึงต้อง...
ยืมเงินธกส. ตามม.28 โดยบิดว่าเงินส่วนนี้จะนำไปแจกเฉพาะเกษตรกร ซึ่งน่าจะทำให้เงินกู้ตามม. 28 ทะลุเพดานกรอบวินัยการคลังไปไกล ต้องออกประกาศขยายเพดานเงินกู้ในเร็ววัน แถมยังต้องเสี่ยงกับ กม.ธกส.ที่ไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์เอาไว้
โดยสรุปคือ กู้ 3 ต่อ เพื่อให้ได้ 5 แสนล้าน แบบถูกกฎหมาย? ตั้งขาดดุลกระฉูด ภาระดอกเบี้ยบาน
รอบนี้ใช้ท่ายากพิสดาร ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะสร้างความปั่นป่วนสับสนอลหม่านขนาดไหน ฉีกทุกกฎ แหกทุกกรอบวินัยการคลัง เพียงเพื่อให้ได้ทำดิจิทัลวอลเล็ตปลายปีนี้...#เพื่อใคร?
-----------
วานนี้ (2 เม.ย. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ฉบับทบทวน ตามที่ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังฯ เสนอ เพื่อนำไปประกอบการจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บ หรือหารายได้การจัดทำงบฯ และการก่อหนี้ของหน่วยงานรัฐ ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 ต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนฯ ปีงบฯ 68-71 ครม. ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 อย่างไรก็ดี เพื่อให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการคลังมีความสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน คกก.นโยบายการเงินการคลังฯ ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 จึงได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ฉบับทบทวน
โดย แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 - 2571) ฉบับทบทวน ประกอบด้วย 3 ส่วน มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
ในปี 2568 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.8 - 3.8 (ค่ากลางร้อยละ 3.3) และ GDP Deflator อยู่ที่ร้อยละ 1.6 สำหรับในปี 2569 คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.8 - 3.8 (ค่ากลางร้อยละ 3.3) และในปี 2570 และ 2571 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.7 - 3.7 (ค่ากลางร้อยละ 3.2) สำหรับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2569 - 2570 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.3 - 2.3 และในปี 2571 - 2572 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 - 2.5
2. สถานะและประมาณการการคลัง
2.1 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับ 2,887,000 3,040,000 3,204,000 และ 3,394,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับ 3,752,700 3,743,000 3,897,000 และ 4,077,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.3 จากประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 2568 - 2571 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณจำนวน 865,700 703,000 693,000 และ 683,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.42 3.42 3.21 และ 3.01 ต่อ GDP ตามลำดับ
2.4 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 11,131,634.20 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.44 ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2568 - 2571 เท่ากับร้อยละ 66.93 67.53 67.57 และ 67.05 ตามลำดับ
3. เป้าหมายและนโยบายการคลัง
ในการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลาง ภาครัฐยังคงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต โดยยังคงยึดหลักแนวคิด “Revival” ที่มุ่งเน้นสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ผ่านการสร้างความเข้มแข็งด้านการคลังในด้านต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น ความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และความครอบคลุมจากทุกแหล่งเงินในการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษีให้มีเพียงเท่าที่จำเป็น การปฏิรูปโครงสร้าง และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดการขาดดุลการคลังและสร้างกันชนทางการคลัง ในการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบายที่จำเป็น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป
สำหรับเป้าหมายการคลังของแผนการคลังฉบับนี้ รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และมุ่งเน้นการปรับลดขนาดการขาดดุลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในระยะปานกลาง
ทั้งนี้ หากในระยะต่อไป ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ภาครัฐสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะได้ เป้าหมายการคลังในระยะยาวจะกำหนดให้รัฐบาลมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม
-----------
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการปรับกรอบการคลังระยะปานกลาง เนื่องจากขณะนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าการเติบโตตามศักยภาพสะท้อนจากจีดีพีปี 67 ขยายตัวที่ 2.7% และไตรมาส 4 ปี 66 จีดีพีหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 66
อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาทั้งภายนอก และภายในประเทศ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อการฟื้นตัว และการขยายตัวของเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย และสูงกว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพ และเพื่อให้มีแผนการคลังระยะปานกลางที่สอดคล้องกับสถานการณ์
เมื่อถามว่า ต้องการเม็ดเงินไปใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ใช่หรือไม่ โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ในแผนการคลังระยะปานกลางพูดถึงแต่การปรับกรอบเท่านั้น
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลคือ ต้องทำให้จีดีพีโต หลังการขาดดุลงบปี 68 เพิ่มขึ้น ตัวเลขในปีต่อ ๆ ไปก็จะลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเมื่อเศรษฐกิจเติบโต หนี้สาธารณะต่อจีดีพีบางปีจะไม่เพิ่มขึ้น หรืออาจลดลง ตอนนี้ ต้องทำให้จีดีพีโตก่อน เป้าหมายคือต้องโตไม่ต่ำกว่าปีละ 3%”
-----------
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศให้อยู่ที่ 62-63% ของจีดีพี ทำให้มีพื้นที่ที่ทางการคลังเหลืออยู่ 7-8% ของจีดีพี ตามกรอบเพดานหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วงนี้ ที่เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2% หากปล่อยให้โตเพียง 2% ไปเรื่อย ๆ กำลังซื้อคนระดับฐานรากจะได้รับผลกระทบ และกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ ปัญหาจะวนไปแบบนี้
หากเศรษฐกิจดี ประชาชนกินดีอยู่ดี มีกำลังซื้อ รัฐก็จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น “การเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง เป็นนโยบายการคลัง เพื่อรองรับวิกฤติในอนาคต
วันนี้ เศรษฐกิจโตไม่เต็มศักยภาพ หากไม่ดำเนินการใด ๆ เศรษฐกิจไทยจะโตแค่ 1.5% การนำพื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ 7-8% มาใช้จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้บ้าง เพราะเพียง 7-8% หากเกิดวิกฤติขึ้นมาจริง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้”
นายลวรณกล่าวว่า มีคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ คาดว่ามีหลายโครงการที่จะใช้จ่ายไม่เต็มวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ เพราะมีเวลาใช้เงินเพียง 5 เดือน
ดังนั้น จะโยกวงเงินที่เหลือมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะเป็นวิธีบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด “การโยกเงินที่ใช้ไม่หมดของงบปี 67 เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการเงิน นอกเหนือจากการเพิ่มวงเงินขาดดุลงบฯปี 68 อีก 150,000 ล้านบาท”
-----------
https://twitter.com/SirikanyaTansa1/status/1775029688798511209
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/mDz-6Y5bEg0
ฐากร ให้รัฐบาลเกรด D แก้ทุจริตติด ร. แนะพบอาจารย์ที่ปรึกษา เทอม2ไม่พัฒนาต้องรีไทร์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4507027
‘ฐากร’ ตัดเกรดเฉลี่ยรัฐบาลได้แค่ D แนะพบอาจารย์ที่ปรึกษา หากเทอม 2 ไม่พัฒนาต้องโดนรีไทร์
มื่อวันมที่ 3 เมษายน เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ต่อมาเวลา 11.05 น. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย อภิปรายว่า วันนี้ตนขอเป็นครูที่จะประเมิณผลการเรียนของรัฐบาลชุดนี้ที่เรียนมาครบเทอมแรก 6 เดือน 23 วัน มีวิชาที่ลงเรียนทั้งหมด 38 วิชา ขอตัดเกรดรายวิชาเป็น เอ, บี, ซี, ดี, อี, เอฟ และติด ร. ขาดคุณสมบัติเข้าสอบ และจะให้เกรดเฉลี่ยนทั้ง 38 วิชา ว่าได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ ควรจะปรับปรุงอย่างไร อาทิ
นโยบายที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ขอให้เกรด เอฟ เพราะเห็นว่าวันนี้เงินเดือน 12,000-15,000 นักศึกษาที่จบใหม่ยังไม่มีงานทำเลย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ให้เกรด ดี เพราะดูแล้วเป็นไปได้ยาก ไม่ได้จะทำได้ใน 3 ปีที่เหลือ เช่นเดียวกับนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา อาทิ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เติมเงิน 10,000 บาท ที่ถูกคัดค้านจากหลายหน่วยงาน ตนก็ให้เกรด ดี นโยบายแก้หนี้ภาคธุรกิจ เกรดดี
นายฐากรกล่าวต่อว่า ขณะที่การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ตนให้เกรดซี เพราะทำแบบทำๆ หยุดๆ ยังไม่สำเร็จ การแก้ปัญหาทุจริต ให้ติด ร. เพราะแก้อะไรไม่ได้เลย ถือว่าขาดคุณสมบัติเข้าสอบ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ พอไปได้ให้เกรดซีลบ พอมีความจริงใจในการทำ ส่วนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ขอให้เกรดเอลบ เพราะมีความพยายามสร้างพลังสร้างสรรค์ไทยให้ดังทั่วโลก ส่วนการดูแลทรัพยากรธรรมราชของประเทศ ให้เกรดเอฟ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนทรัพยกรมนุษย์ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับประเทศอื่น ซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรมากให้เกรดเอฟ นโยบายด้านความเหลื่อมล้ำ รักษาเสถียรภาพการเงินการคลัง จะลดภาระการลงุทนจากงบประมาณแผ่นดินและลดการกู้เงิน ให้เกรดเอฟ
“เมื่อเทียบแล้วรัฐบาลนี้ได้เกรดดี และหลังจากนี้ผมจะรีบทำหนังสือแจ้งเตือนให้นักเรียนท่านนี้ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาโดยด่วน เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงการเรียนต่อไปให้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเทอมแรก พร้อมกำชับว่าให้อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างเคร่งครัด ถ้าเทอมที่ 2 ยังไม่พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ก็ต้องรีไทร์ตัวเองออกไป” นายฐากรกล่าว