เรื่อง : เรื่องเล่นจากความทรงจำ
โดย : ละเว้
อ้อยท่อนนั้นลอยสุดแรงเหวี่ยงของใครสักฅนมาหล่นอยู่ตรงหน้า พวกเพื่อน ๆ ยังคงสาละวนเฮฮาขณะผมหยิบมันขึ้นมา ตอนนี้เราแยกเป็นสองฝ่าย การปักหลักริมถนนซึ่งพื้นที่สูงกว่าชายเนิน ทำให้พวกผมดูจะได้เปรียบเด็กเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย ทั้งบรรดาพืชผักผลไม้หรืออะไรที่นำมาขว้างปาใส่กัน ก็ล้วนมีอยู่เกลื่อนพื้นทางฝั่งเรามากกว่า นั่นเพราะตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เรือจากพิธี ‘ลอยเรือ’ ถูกลากมาทิ้งนั่นเอง
ลอยเรือนั้นถือเป็นประเพณีพื้นบ้านเก่าแก่ของชาว ‘ชอง’ ชนกลุ่มน้อยผู้อาศัยอยู่แถบชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดจันทบุรีและตราด แม้ปัจจุบันความเป็นชาติพันธุ์จะถูกกลืนจากสองประเทศจนไม่มีใครรู้จักแล้วก็ตาม หากถึงอย่างไรตัวผมเองก็ถือว่าเป็นลูกหลานสายเลือดชองฅนหนึ่งเช่นกัน
ตามความเชื่อดั้งเดิมของฅนชอง วันออกพรรษาของทุกปีคือวันปล่อยผี หรือเป็นวันที่ดวงวิญญาณจากยมโลกจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาสู่มนุษยโลกได้หนึ่งวัน และถือเป็นการสร้างกุศลหากมีการจัดหาข้าวปลาอาหารเซ่นไหว้ภูตหิวโหยเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ประเพณีลอยเรือจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา
การทำบุญด้วยข้าวต้มมัดถือเป็นกิจปฏิบัติในวันออกพรรษา และการนำข้าวต้มมัดไปลอยเรือก็ดูจะขาดไม่ได้เช่นกัน รวมถึงพืชผักผลไม้ตามแต่จะหาได้ กับของใช้เล็ก ๆ น้อยๆ ที่เรานำมาประกอบเป็นเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีนี้ด้วย
หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จสรรพแล้ว ชาวบ้านจะนำสิ่งของดังกล่าวไปใส่เรือจำลองที่ได้จัดเตรียมไว้บริเวณลานวัด เรือนี้อาจทำด้วยเปลือกไม้ สังกะสีเก่า ๆ หรือวัสดุอื่น และอาจมีสองถึงสามลำ ฅนเฒ่าฅนแก่จะเป็นผู้นำกล่าวคำเซ่นไหว้ ก่อนเรือจะถูกชักลากออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะฅนลากช่วยกันลากเรือวิ่งไป เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ก็จะล้นหกตกหล่นไปตลอดทาง เป็นการสร้างความครึกครื้นให้กับประเพณีได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่จะได้เข้าแย่งชิงขนมขนูกเฮฮากัน
แม้จะมีผู้ใหญ่บางฅนบอกว่า การกระทำเช่นนี้คือการแย่งชิงจากภูตผี หากนั่นคงไม่ทำให้มีเด็กฅนไหนยอมพลาดความสนุกซึ่งเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งได้อย่างแน่นอน
พ.ศ. 2518 ประเทศกัมพูชาเพื่อนบ้านรั้วติดกันของเราได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นสิ่งที่เราจะได้รับรู้ได้ยินได้ฟังกัน ความโหดร้ายต่าง ๆ คอยผลักดันชาวขแมร์ให้หนีร้อนเข้ามายังแผ่นดินของเรา แม้แต่ฅนไทยผู้อยู่ตามตำบลชายแดน บางครั้งเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย พวกเขาจะอพยพมาพักตั้งหลักที่วัดในหมู่บ้านของเราเป็นครั้งคราว
ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กผมจึงคิดเพียงว่า การมีฅนมาอยู่รวมกันแบบนี้ก็สนุกดี ทั้งที่หากไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงต่อภยันตรายแล้ว คงไม่มีใครอยากจากบ้านเรือนกันสักเท่าไรนัก ถึงจะแค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผมมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นอีกหลายฅน แม้บางครั้งจะไม่สบอารมณ์ภาษาซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ของพวกเขา ทั้งที่จะว่าไปมันก็คือภาษาชองของบรรพบุรุษเรานั่นเอง ด้วยความที่แต่เกิดมาหมู่บ้านของผมก็ไม่มีใครพูดชองให้ได้ยินได้ฟังกันแล้ว ต่างกับเด็กจากชายแดนซึ่งยังคงใช้ภาษาชองควบคู่กับภาษาไทย ซึ่งบางทีพวกเขาก็เลือกพูดให้เราฟังไม่ออกกันเสียอย่างนั้น
และการมีเด็กจากที่ต่างๆ มาอยู่รวมกันแบบนี้ ก็ทำให้บางครั้งการเล่นสนุกของเรามักเกิดอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาได้ อย่างการก่อสงครามขว้างปา ซึ่งที่จริงมันอาจเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้หากไม่มีอ้อยท่อนนั้น
อ้อยท่อนนั้น มันลอยสุดแรงเหวี่ยงของใครสักฅนมาหล่นอยู่ตรงหน้า ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครฅนไหนเป็นผู้ริเริ่มสงครามเล็ก ๆ นี่ รู้แต่ว่าในที่สุดพวกเราก็แบ่งข้างแบ่งฝ่าย โดยใช้ทั้งผักผลไม้และสิ่งของถูกทิ้งจากพิธีลอยเรือ มาเป็นอาวุธขว้างปาสร้างความสนุกสนานใส่กัน
พวกเพื่อน ๆ ยังคงสาละวนเฮฮาขณะผมหยิบมันขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความเหมาะมือเมื่อเหวี่ยงใส่เป้าหมาย กลับชาวูบไปทั้งร่างโดยฉับพลัน เด็กฅนนั้นร้องไห้จ้าออกมา มือที่กุมใบหน้าของเขานั้นเปรอะไปด้วยเลือด
‘เราทำอะไรลงไป ทำไมเราไม่ใช้มะเขือ กล้วย หมาก หรืออะไรเหมือนคนอื่น’ ผมถามตอบในใจ
‘ก็มันอยากปามาก่อนเองนี่นา’ พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
‘อย่างไรเราก็ผิดอยู่ดี’ อีกใจยังอดค้านไม่ได้
ผมยังคงนิ่งงันกับคำถามตอบ แม้ผู้ได้รับบาดเจ็บจะถูกเพื่อนๆ พาขึ้นวัดไปแล้วก็ตาม
“เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ได้เล่นกับพวกมันกันเนาะ” เณรวัยเดียวกันซึ่งเดินมาจากชายเนินฉีกยิ้มและเอ่ยขึ้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด คงไม่ต่างจากผมที่วูบหนึ่งยังอดหาเหตุเข้าข้างตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“ผมเป็นคนปาอ้อยท่อนนั้นออกไปเอง” คำตอบของผมทำให้รอยยิ้มของเณรกลับเจื่อนลง
และนั่นอาจเป็นภาพสุดท้ายของเรื่องราวที่พอจำได้ ด้วยกาลเวลาร่วมห้าสิบปีได้กลืนกินความทรงจำบางส่วนของเหตุการณ์ไปจนสิ้น ที่พอมีเหลืออยู่บ้างก็ล้วนถูกกัดกร่อนจนซีดจาง และอาจเป็นเพราะเราได้เจอกันแค่ช่วงสั้นๆ ด้วย ทำให้วันนี้ผมลืมแม้แต่ชื่อของเพื่อนจากชายแดนผู้ถูกทำร้ายนั่นเสียสนิท
ถึงวันนี้ แม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปตามหลายชั่วเวลา หากวัดฆ้อ ซึ่งอยู่ในอำเภอเขาสมิงจังหวัดตราด และอีกสองสามวัดในแถบนี้ ยังคงมีเด็ก ๆ วิ่งแย่งชิงขนมข้าวต้มเฮฮากันในวันออกพรรษาของทุกปี
และผมยังคงมีภาพทรงจำขาดวิ่นซีดจางของสงครามเด็กเล่น ที่เริ่มต้นและเป็นไปเพื่อความสนุก หากจบลงด้วยบาดแผลและคราบน้ำตาได้ไม่ต่างจากสงครามอื่นเช่นกัน.
เรื่องเล่นจากความทรงจำ
โดย : ละเว้
อ้อยท่อนนั้นลอยสุดแรงเหวี่ยงของใครสักฅนมาหล่นอยู่ตรงหน้า พวกเพื่อน ๆ ยังคงสาละวนเฮฮาขณะผมหยิบมันขึ้นมา ตอนนี้เราแยกเป็นสองฝ่าย การปักหลักริมถนนซึ่งพื้นที่สูงกว่าชายเนิน ทำให้พวกผมดูจะได้เปรียบเด็กเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย ทั้งบรรดาพืชผักผลไม้หรืออะไรที่นำมาขว้างปาใส่กัน ก็ล้วนมีอยู่เกลื่อนพื้นทางฝั่งเรามากกว่า นั่นเพราะตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เรือจากพิธี ‘ลอยเรือ’ ถูกลากมาทิ้งนั่นเอง
ลอยเรือนั้นถือเป็นประเพณีพื้นบ้านเก่าแก่ของชาว ‘ชอง’ ชนกลุ่มน้อยผู้อาศัยอยู่แถบชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดจันทบุรีและตราด แม้ปัจจุบันความเป็นชาติพันธุ์จะถูกกลืนจากสองประเทศจนไม่มีใครรู้จักแล้วก็ตาม หากถึงอย่างไรตัวผมเองก็ถือว่าเป็นลูกหลานสายเลือดชองฅนหนึ่งเช่นกัน
ตามความเชื่อดั้งเดิมของฅนชอง วันออกพรรษาของทุกปีคือวันปล่อยผี หรือเป็นวันที่ดวงวิญญาณจากยมโลกจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาสู่มนุษยโลกได้หนึ่งวัน และถือเป็นการสร้างกุศลหากมีการจัดหาข้าวปลาอาหารเซ่นไหว้ภูตหิวโหยเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ประเพณีลอยเรือจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา
การทำบุญด้วยข้าวต้มมัดถือเป็นกิจปฏิบัติในวันออกพรรษา และการนำข้าวต้มมัดไปลอยเรือก็ดูจะขาดไม่ได้เช่นกัน รวมถึงพืชผักผลไม้ตามแต่จะหาได้ กับของใช้เล็ก ๆ น้อยๆ ที่เรานำมาประกอบเป็นเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีนี้ด้วย
หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จสรรพแล้ว ชาวบ้านจะนำสิ่งของดังกล่าวไปใส่เรือจำลองที่ได้จัดเตรียมไว้บริเวณลานวัด เรือนี้อาจทำด้วยเปลือกไม้ สังกะสีเก่า ๆ หรือวัสดุอื่น และอาจมีสองถึงสามลำ ฅนเฒ่าฅนแก่จะเป็นผู้นำกล่าวคำเซ่นไหว้ ก่อนเรือจะถูกชักลากออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะฅนลากช่วยกันลากเรือวิ่งไป เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ก็จะล้นหกตกหล่นไปตลอดทาง เป็นการสร้างความครึกครื้นให้กับประเพณีได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่จะได้เข้าแย่งชิงขนมขนูกเฮฮากัน
แม้จะมีผู้ใหญ่บางฅนบอกว่า การกระทำเช่นนี้คือการแย่งชิงจากภูตผี หากนั่นคงไม่ทำให้มีเด็กฅนไหนยอมพลาดความสนุกซึ่งเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งได้อย่างแน่นอน
พ.ศ. 2518 ประเทศกัมพูชาเพื่อนบ้านรั้วติดกันของเราได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นสิ่งที่เราจะได้รับรู้ได้ยินได้ฟังกัน ความโหดร้ายต่าง ๆ คอยผลักดันชาวขแมร์ให้หนีร้อนเข้ามายังแผ่นดินของเรา แม้แต่ฅนไทยผู้อยู่ตามตำบลชายแดน บางครั้งเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย พวกเขาจะอพยพมาพักตั้งหลักที่วัดในหมู่บ้านของเราเป็นครั้งคราว
ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กผมจึงคิดเพียงว่า การมีฅนมาอยู่รวมกันแบบนี้ก็สนุกดี ทั้งที่หากไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงต่อภยันตรายแล้ว คงไม่มีใครอยากจากบ้านเรือนกันสักเท่าไรนัก ถึงจะแค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผมมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นอีกหลายฅน แม้บางครั้งจะไม่สบอารมณ์ภาษาซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ของพวกเขา ทั้งที่จะว่าไปมันก็คือภาษาชองของบรรพบุรุษเรานั่นเอง ด้วยความที่แต่เกิดมาหมู่บ้านของผมก็ไม่มีใครพูดชองให้ได้ยินได้ฟังกันแล้ว ต่างกับเด็กจากชายแดนซึ่งยังคงใช้ภาษาชองควบคู่กับภาษาไทย ซึ่งบางทีพวกเขาก็เลือกพูดให้เราฟังไม่ออกกันเสียอย่างนั้น
และการมีเด็กจากที่ต่างๆ มาอยู่รวมกันแบบนี้ ก็ทำให้บางครั้งการเล่นสนุกของเรามักเกิดอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาได้ อย่างการก่อสงครามขว้างปา ซึ่งที่จริงมันอาจเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้หากไม่มีอ้อยท่อนนั้น
อ้อยท่อนนั้น มันลอยสุดแรงเหวี่ยงของใครสักฅนมาหล่นอยู่ตรงหน้า ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครฅนไหนเป็นผู้ริเริ่มสงครามเล็ก ๆ นี่ รู้แต่ว่าในที่สุดพวกเราก็แบ่งข้างแบ่งฝ่าย โดยใช้ทั้งผักผลไม้และสิ่งของถูกทิ้งจากพิธีลอยเรือ มาเป็นอาวุธขว้างปาสร้างความสนุกสนานใส่กัน
พวกเพื่อน ๆ ยังคงสาละวนเฮฮาขณะผมหยิบมันขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความเหมาะมือเมื่อเหวี่ยงใส่เป้าหมาย กลับชาวูบไปทั้งร่างโดยฉับพลัน เด็กฅนนั้นร้องไห้จ้าออกมา มือที่กุมใบหน้าของเขานั้นเปรอะไปด้วยเลือด
‘เราทำอะไรลงไป ทำไมเราไม่ใช้มะเขือ กล้วย หมาก หรืออะไรเหมือนคนอื่น’ ผมถามตอบในใจ
‘ก็มันอยากปามาก่อนเองนี่นา’ พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
‘อย่างไรเราก็ผิดอยู่ดี’ อีกใจยังอดค้านไม่ได้
ผมยังคงนิ่งงันกับคำถามตอบ แม้ผู้ได้รับบาดเจ็บจะถูกเพื่อนๆ พาขึ้นวัดไปแล้วก็ตาม
“เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ได้เล่นกับพวกมันกันเนาะ” เณรวัยเดียวกันซึ่งเดินมาจากชายเนินฉีกยิ้มและเอ่ยขึ้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด คงไม่ต่างจากผมที่วูบหนึ่งยังอดหาเหตุเข้าข้างตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“ผมเป็นคนปาอ้อยท่อนนั้นออกไปเอง” คำตอบของผมทำให้รอยยิ้มของเณรกลับเจื่อนลง
และนั่นอาจเป็นภาพสุดท้ายของเรื่องราวที่พอจำได้ ด้วยกาลเวลาร่วมห้าสิบปีได้กลืนกินความทรงจำบางส่วนของเหตุการณ์ไปจนสิ้น ที่พอมีเหลืออยู่บ้างก็ล้วนถูกกัดกร่อนจนซีดจาง และอาจเป็นเพราะเราได้เจอกันแค่ช่วงสั้นๆ ด้วย ทำให้วันนี้ผมลืมแม้แต่ชื่อของเพื่อนจากชายแดนผู้ถูกทำร้ายนั่นเสียสนิท
ถึงวันนี้ แม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปตามหลายชั่วเวลา หากวัดฆ้อ ซึ่งอยู่ในอำเภอเขาสมิงจังหวัดตราด และอีกสองสามวัดในแถบนี้ ยังคงมีเด็ก ๆ วิ่งแย่งชิงขนมข้าวต้มเฮฮากันในวันออกพรรษาของทุกปี
และผมยังคงมีภาพทรงจำขาดวิ่นซีดจางของสงครามเด็กเล่น ที่เริ่มต้นและเป็นไปเพื่อความสนุก หากจบลงด้วยบาดแผลและคราบน้ำตาได้ไม่ต่างจากสงครามอื่นเช่นกัน.