กมธ. การสวัสดิการสังคมย้ำงบฯ ซ่อมบ้านผู้สูงอายุ-ผู้พิการ 40,000 บาทต่อหลังมีอยู่จริง
https://prachatai.com/journal/2024/03/108286
ประธาน กมธ. การสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ย้ำงบประมาณซ่อมบ้านผู้สูงอายุและผู้พิการ 40,000 บาทต่อหลังมีอยู่จริง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเนื่อง เตรียมเดินหน้าซ่อมเพิ่มอีก 31,000 หลัง ในปี 2568
3 มี.ค. 2567
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าว หลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคมกรณีมีกระแสงบประมาณซ่อมแซมบ้าน 40,000 บาทต่อหลัง ของผู้สูงอายุและผู้พิการหายไปไหน ยังมีอยู่หรือไม่
นาย
ณัฐชา ยืนยันว่า งบฯ ดังกล่าวมีมานานแล้ว และได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้รับคำชี้แจง จากผู้จัดการกองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ และกรมกิจการผู้สูงอายุว่ามีงบประมาณในการซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งต้องมีฐานะยากจนไม่มีรายได้เพียงพอ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากโครงการของรัฐหรือได้รับการช่วยเหลือแต่ไม่เพียงพอ บ้านที่อยู่อาศัยอยู่ในสถานภาพไม่มั่นคงไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิต ซึ่งจะมีการลงสำรวจเพื่ออนุมัติวงเงินเพื่อซ่อมแซมบ้าน โดยมีงบประมาณดำเนินการในส่วนนี้ สำหรับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ในปี 2567 จำนวน 11,000 หลัง เบิกไปแล้ว 47 ล้านบาท ซ่อมแซมบ้านไปแล้ว 1,208 หลัง ส่วนผู้พิการทุกช่วงวัยได้รับงบฯ ในส่วนนี้ 162 ล้าน และได้จากกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอีก 125 ล้านบาท
นาย
ณัฐชา ยังย้ำด้วยว่า ในปี 2568 จะมีการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการถึง 31,000 หลัง วงเงินกว่า 1,240 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่กำหนดไว้สูงสุดเท่าที่เคยมีมาด้วย
เศรษฐกิจหนี้ครัวเรือน-เศรษฐกิจฟื้นช้า กดดัชนีผลผลิตอุตฯ ม.ค.หด 2.94%
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1115720
• "สศอ." เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนม.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 99.15 หดตัว 2.94% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิต 59.43%
• เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงดันต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ผู้ประกอบการเพิ่ม
• ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนก.พ. 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” จากแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น
นาง
วรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม ปี 2567 อยู่ที่ระดับ 99.15 หดตัว 2.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.43% จากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
อีกทั้งเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังคงชะลอตัว ส่งผลให้อุตสาหกรรมบางส่วนชะลอการผลิต อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) เดือนมกราคม 2567 ขยายตัว 10.30% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งการกลับมาขยายตัวดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนี MPI หลังจากนี้ปรับตัวดีขึ้น
ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยเริ่มส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังทั้งหมด จากแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐมีส่วนสนับสนุนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัวในระยะนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีน อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและจะฉุดรั้งให้ปริมาณการค้าโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ปัญหาด้านดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อที่อาจกดดันให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงักส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ จำเป็นต้องจับตามองปัญหาภาระหนี้สินภายในประเทศที่มีระดับสูงทั้งหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ และสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะกระทบอุตสาหกรรมที่พึ่งพาผลผลิตทางการเกษตร
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ น้ำดื่ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.16 จากน้ำอัดลม เครื่องดื่มรสผลไม้ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เป็นหลัก โดยความต้องการบริโภคขยายตัวหลังสภาพอากาศร้อนขึ้น รวมถึงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงกับพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า ปุ๋ยเคมี ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 58.68% เนื่องจากราคาปุ๋ยปรับลดลงและสินค้าเกษตรราคาดี ส่งผลให้เกษตรกรมีกำลังซื้อปุ๋ยมากขึ้น รวมถึงได้แหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยจากหลายประเทศทำให้มีวัถตุดิบสำหรับผลิตมากขึ้น
เครื่องประดับเพชรพลอยแท้ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.00 โดยขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักสำคัญอย่างฮ่องกงและอังกฤษ รวมถึงฐานต่ำในปีก่อน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.63% จากรถบรรทุกปิคอัพ และ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก โดยชะลอตัวทั้งตลาดในประเทศตามภาวะเศรษฐกิจ สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อหลังปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงการผ่อนชำระหนี้มีปัญหาค้างชำระมากขึ้นและตลาดส่งออกจากปัญหาเรือขนส่งมีพื้นที่ไม่เพียงพอทำให้ยอดส่งออกไปตลาดเอเชีย แอฟริกาและอเมริกาเหนือทำได้ไม่เต็มที่
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.45% จากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เป็นหลัก จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นของผู้ผลิตบางราย และส่งผลให้มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันในประเทศลดลงด้วย
ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.71% ตามภาวะตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวจากการหดตัวในปีก่อน แม้ว่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์และปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ยังได้ปัจจัยบวกการเติบโตของอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปสู่ edge computing
ซีอีโอ ส.อ.ท. จี้รัฐสกัดสินค้าถูกทุบไทย โอดค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย ทำแข่งยาก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4452410
ซีอีโอ ส.อ.ท. จี้รัฐสกัดสินค้าถูกทุบไทย โอดค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย ทำแข่งยาก
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร” จากความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและสินค้าไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย มากถึง 65.8% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายสินค้าของไทยลดลงตั้งแต่ 10% จนถึง มากกว่า 30% ในบางอุตสาหกรรม
ประเด็นดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ และไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
จากผลกระทบดังกล่าว ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน และใช้การสําแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้งจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E Commerce Platform โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงสถานการณ์การแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอาเซียน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบันเริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่า 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2565
JJNY : ย้ำงบฯ ซ่อมบ้านผู้สูงอายุ-พิการมีอยู่จริง│ดัชนีผลผลิตอุตฯ ม.ค.หด│จี้รัฐสกัดสินค้าถูกทุบไทย│หวั่นวิกฤติระบบนิเวศ
https://prachatai.com/journal/2024/03/108286
ประธาน กมธ. การสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ย้ำงบประมาณซ่อมบ้านผู้สูงอายุและผู้พิการ 40,000 บาทต่อหลังมีอยู่จริง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเนื่อง เตรียมเดินหน้าซ่อมเพิ่มอีก 31,000 หลัง ในปี 2568
3 มี.ค. 2567 เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าว หลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคมกรณีมีกระแสงบประมาณซ่อมแซมบ้าน 40,000 บาทต่อหลัง ของผู้สูงอายุและผู้พิการหายไปไหน ยังมีอยู่หรือไม่
นายณัฐชา ยืนยันว่า งบฯ ดังกล่าวมีมานานแล้ว และได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้รับคำชี้แจง จากผู้จัดการกองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ และกรมกิจการผู้สูงอายุว่ามีงบประมาณในการซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งต้องมีฐานะยากจนไม่มีรายได้เพียงพอ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากโครงการของรัฐหรือได้รับการช่วยเหลือแต่ไม่เพียงพอ บ้านที่อยู่อาศัยอยู่ในสถานภาพไม่มั่นคงไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิต ซึ่งจะมีการลงสำรวจเพื่ออนุมัติวงเงินเพื่อซ่อมแซมบ้าน โดยมีงบประมาณดำเนินการในส่วนนี้ สำหรับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ในปี 2567 จำนวน 11,000 หลัง เบิกไปแล้ว 47 ล้านบาท ซ่อมแซมบ้านไปแล้ว 1,208 หลัง ส่วนผู้พิการทุกช่วงวัยได้รับงบฯ ในส่วนนี้ 162 ล้าน และได้จากกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอีก 125 ล้านบาท
นายณัฐชา ยังย้ำด้วยว่า ในปี 2568 จะมีการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการถึง 31,000 หลัง วงเงินกว่า 1,240 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่กำหนดไว้สูงสุดเท่าที่เคยมีมาด้วย
เศรษฐกิจหนี้ครัวเรือน-เศรษฐกิจฟื้นช้า กดดัชนีผลผลิตอุตฯ ม.ค.หด 2.94%
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1115720
• "สศอ." เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนม.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 99.15 หดตัว 2.94% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิต 59.43%
• เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงดันต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ผู้ประกอบการเพิ่ม
• ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนก.พ. 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” จากแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม ปี 2567 อยู่ที่ระดับ 99.15 หดตัว 2.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.43% จากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
อีกทั้งเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังคงชะลอตัว ส่งผลให้อุตสาหกรรมบางส่วนชะลอการผลิต อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) เดือนมกราคม 2567 ขยายตัว 10.30% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งการกลับมาขยายตัวดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนี MPI หลังจากนี้ปรับตัวดีขึ้น
ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยเริ่มส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังทั้งหมด จากแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐมีส่วนสนับสนุนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัวในระยะนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีน อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและจะฉุดรั้งให้ปริมาณการค้าโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ปัญหาด้านดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อที่อาจกดดันให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงักส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ จำเป็นต้องจับตามองปัญหาภาระหนี้สินภายในประเทศที่มีระดับสูงทั้งหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ และสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะกระทบอุตสาหกรรมที่พึ่งพาผลผลิตทางการเกษตร
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ น้ำดื่ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.16 จากน้ำอัดลม เครื่องดื่มรสผลไม้ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เป็นหลัก โดยความต้องการบริโภคขยายตัวหลังสภาพอากาศร้อนขึ้น รวมถึงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงกับพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า ปุ๋ยเคมี ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 58.68% เนื่องจากราคาปุ๋ยปรับลดลงและสินค้าเกษตรราคาดี ส่งผลให้เกษตรกรมีกำลังซื้อปุ๋ยมากขึ้น รวมถึงได้แหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยจากหลายประเทศทำให้มีวัถตุดิบสำหรับผลิตมากขึ้น
เครื่องประดับเพชรพลอยแท้ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.00 โดยขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักสำคัญอย่างฮ่องกงและอังกฤษ รวมถึงฐานต่ำในปีก่อน
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.63% จากรถบรรทุกปิคอัพ และ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก โดยชะลอตัวทั้งตลาดในประเทศตามภาวะเศรษฐกิจ สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อหลังปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงการผ่อนชำระหนี้มีปัญหาค้างชำระมากขึ้นและตลาดส่งออกจากปัญหาเรือขนส่งมีพื้นที่ไม่เพียงพอทำให้ยอดส่งออกไปตลาดเอเชีย แอฟริกาและอเมริกาเหนือทำได้ไม่เต็มที่
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.45% จากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เป็นหลัก จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นของผู้ผลิตบางราย และส่งผลให้มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันในประเทศลดลงด้วย
ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.71% ตามภาวะตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวจากการหดตัวในปีก่อน แม้ว่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์และปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ยังได้ปัจจัยบวกการเติบโตของอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปสู่ edge computing
ซีอีโอ ส.อ.ท. จี้รัฐสกัดสินค้าถูกทุบไทย โอดค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย ทำแข่งยาก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4452410
ซีอีโอ ส.อ.ท. จี้รัฐสกัดสินค้าถูกทุบไทย โอดค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย ทำแข่งยาก
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร” จากความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและสินค้าไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย มากถึง 65.8% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายสินค้าของไทยลดลงตั้งแต่ 10% จนถึง มากกว่า 30% ในบางอุตสาหกรรม
ประเด็นดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ และไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
จากผลกระทบดังกล่าว ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน และใช้การสําแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้งจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E Commerce Platform โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงสถานการณ์การแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอาเซียน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบันเริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่า 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2565