JJNY : หนี้ครัวเรือนพุ่ง 11 ล้านล้าน โหรเศรษฐกิจพยากรณ์ GDP เฉียด 3%

กระทู้คำถาม
เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่วงจร "สาละวันเตี้ยลง" อีกปีหรือไม่ เมื่อหลายสำนักเศรษฐกิจพาเหรดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจภายใน 3 เดือนแรกของปี เรียงแถวจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่ปรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2559 ลงมาอยู่ที่ 3.2%, 3.7%, 3.1%, 3.0% และ 3.0% จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 3.5%, 3.8%, 3.5%, 3.2% และ 3.5% ตามลำดับ

สะท้อนด้วยดัชนีชี้วัดด้านต่าง ๆ ของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในห้วง "เฝ้าระวัง" ส่งสัญญาณปี 2559 จะเป็นอีกปีที่จีดีพีไทยโตต่ำกว่า 3% เหมือนปี 2558 ที่ต้นปีประเมินโตเกิน 3% แต่ตัวเลขจริง ณ สิ้นปีทำได้แค่ 2.8%



หนี้ครัวเรือนสิ้นปี′58 พุ่ง 11 ล้านล้าน

เริ่มที่ปัญหา "หนี้ครัวเรือน" ซึ่ง ธปท.เผยแพร่สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ สิ้นปี 2558 มีจำนวน 11,038,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเกือบ 2 แสนล้านบาท (ดูกราฟ)

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2558 อยู่ที่ 81.5% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 81.1% และสิ้นปี 2557 อยู่ที่ 79.8% ปรับขึ้นต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ สิ้นไตรมาส 1/59 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะปรับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 81.5-82.0% ตามการขยับขึ้นของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยก่อนมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาลจะหมดอายุลง โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) เป็นกลุ่มนำขับเคลื่อนสินเชื่อภาคครัวเรือนให้ขยับขึ้นในไตรมาสนี้ เพื่อตอบสนองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

สำหรับแนวโน้ม ณ สิ้นปี 2559 คาดว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 83-84% จากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การเติบโตของสินเชื่อบ้านที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่น่าจะกลับมาเติบโตได้หลังเข้าสู่ไตรมาส 2 แต่ยังต้องติดตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการส่งออก ความรุนแรงของปัญหาภัยแล้ง และความต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐในระยะต่อไปด้วย

2 เดือนแรกปี′59 ศก.แผ่ว

"ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส" ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจเดือน ก.พ. ทรงตัวจากเดือน ม.ค. ซึ่งมีทิศทางแผ่วลง จากสาเหตุหลักคือปัจจัยชั่วคราวเริ่มหมดไป ทั้งการเร่งซื้อรถยนต์และมาตรการเร่งการใช้จ่ายครัวเรือนในช่วงปลายปีก่อน ทำให้การบริโภคภาคเอกชนเดือน ม.ค. ชะลอตัว ส่วนเดือน ก.พ. ในภาพรวมทรงตัว โดยการใช้จ่ายเพื่อสินค้าคงทนกลับมาอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม การจับจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการอื่นยังขยายตัว

"กำลังซื้อของผู้บริโภคยังถูกฉุดรั้งจากรายได้เกษตรที่หดตัว เพราะผลของภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้รายย่อย" ดร.รุ่งกล่าว

ด้านการใช้จ่ายภาครัฐในเดือน ก.พ. ยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ทำได้ดีต่อเนื่อง

แม้รายจ่ายลงทุนแผ่วลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่เร่งเบิกจ่ายสูง ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าที่หักหมวดทองคำหดตัว 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้งจีนและอาเซียนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ประกอบกับราคาสินค้าส่งออกยังหดตัวตามราคาน้ำมัน

นำเข้าหดตัวต่อเนื่องสะท้อนเอกชนลงทุนต่ำ

ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าหดตัว 16.3% โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางหดตัวสูงสอดคล้องกับภาวะการส่งออกที่ยังไม่ดี ส่วนการนำเข้าสินค้าทุนยังคงหดตัวตามภาวะการลงทุนภาคเอกชนที่ค่อนข้างซบเซา ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 64.7% สะท้อนว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่มีความจำเป็นต้องลงทุน เพื่อขยายกำลังการผลิต ยกเว้นธุรกิจสื่อสารเพื่อรองรับระบบ 4G และธุรกิจพลังงานทดแทน

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวสูงและมีสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. -ก.พ.) มีจำนวนนักท่องเที่ยว 31 ล้านคน เติบโต 16% โดยนักท่องเที่ยวจีนมีการเติบโต 23% เมื่อเทียบระยะเดียวกันของปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ และการเปิดเส้นทางรถยนต์ให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาได้

คลังยันจีดีพีปีนี้โตเกิน 3%

"กฤษฎา จีนะวิจารณะ" ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.พ. เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น และมองว่าจีดีพียังโตมากกว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากแรงหนุนการลงทุนของธุรกิจภาคอสังหาฯ การท่องเที่ยว ส่งออก และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐที่ขยายตัวสูงถึง 36.9% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 29,800 ล้านบาท ส่วนการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นในธุรกิจอสังหาฯ เมื่อดูจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาฯ ขยายตัว 3.7% ยอดขายปูนซีเมนต์ขยายตัว 6%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงกดดันจากภาคบริโภคของเอกชนที่ชะลอตัวลง แม้ว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายในประเทศจะขยายตัว 3% แต่จากเครื่องชี้การบริโภคบางตัวหดตัวลง โดยปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์หดตัว 11.1% รถยนต์นั่งหดตัว 29.9% เนื่องจากผู้บริโภคได้เร่งซื้อไปก่อนหน้าที่บริษัทรถยนต์จะออกโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันอยู่ที่ระดับ 63.5 จุด จากเดือน ม.ค. อยู่ที่ 64.4 จุด จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เป็นคู่ค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกถึง 11.1%

เอดีบีลุ้นลงทุนมาตามนัดดัน ศก.โต


"ดร.ลัษมณ อรรถาพิช" เศรษฐกรอาวุโส ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยใน 2 ปีข้างหน้า น่าจะมีการขยายตัวต่อเนื่อง บนสมมติฐานการลงทุนโครงสร้างพื่นฐานของภาครัฐเป็นไปตามกำหนด อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง ความล่าช้าของโครงการลงทุนภาครัฐ เศรษฐกิจของคู่ค้าหลัก เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

"จากการศึกษาเปรียบเทียบศักยภาพกับความสามารถที่แท้จริงในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย พบว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยกว่าความสามารถที่แท้จริงมากขึ้นเรื่อย ๆ และในอนาคตด้วยโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วขึ้น จะเป็นแรงฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ถ้ามีการปฏิรูปที่ดี ก็จะสามารถทดแทนช่องว่างนี้ได้ ซึ่งหมายถึงต้องมีลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาการศึกษาเพื่อขยายผลิตภาพแรงงาน การจัดสรรทรัพยากรให้ทั่วถึง เป็นต้น" ดร.ลัษมณกล่าว

ปลัดคลังจี้แบงก์ลดดอกเบี้ย


"สมชัย สัจจพงษ์" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การดูแลเศรษฐกิจช่วงนี้ต้องใช้ทุกนโยบาย เช่น นโยบายการเงินโดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) และอื่น ๆ ไม่เฉพาะนโยบายการคลังเท่านั้น เพราะนโยบายการคลังเพียงลำพังไม่เพียงพอจะดูแลเศรษฐกิจได้ แต่จะให้ไปบังคับธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยลงก็ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีขอความร่วมมือเป็นหลักมากกว่า ส่วนที่ทำได้ก็คือให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (แบงก์รัฐ) ช่วยทำอยู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่