"จิต" คือการบรรจบของ "ธาตุรู้" กับ "ธาตุเจตสิก" เมื่อธาตุทั้งสองรวมกันจึงเรียกว่า "จิต"

สวัสดีครับ

      คำว่า "จิต"  ตามความเข้าใจของผมคือ "ธาตุรู้"  ประจบกับ  "ธาตุเจตสิก"  จึงเกิดบัญญัติคำว่า "จิต"
เหมือนเช่น ธาตุไฮโดรเจน (H)   ประจบกับ ธาตุออกซิเจน (O)    จึงเกิดคำบัญญัติว่า   น้ำ (H2O) 

      ในจักรวาลประกอบด้วย "ธาตุ" ต่าง ๆ  เมื่อธาตุมันบรรจบกัน จึงเกิด เป็นบัญญัติ(คำเรียก ต่าง ๆ ขึ้น)
การเกิดเป็นกฎของธรรมชาติ ดูนิยาม5   "กำหนดอันแน่นอน, ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ"

      [223] นิยาม 5 (กำหนดอันแน่นอน, ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ — orderliness of nature; the five aspects of natural law)
       1. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้ำอากาศ และฤดูกาล อันเป็นสิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์ — physical inorganic order; physical laws)
       2. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ มีพันธุกรรมเป็นต้น — physical organic order; biological laws)
       3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต — psychic law)
       4. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ — order of act and result; the law of Kamma; moral laws)
       5. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันแห่งสิ่งทั้งหลาย — order of the norm; the general law of cause and effect; causality and conditionality)
        https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=223

      ทำไมเรียก "จิต" ว่า "ธาตุรู้"  เรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิดอะไรนะ  ถ้าเข้าใจตามที่ผมอธิบายไว้  แต่ "ธาตุรู้" ยังไม่ใช่จิต
เหมือนการเกิดสิ่งมี   ชีวิตต้องประกอบด้วย รูป(มหาภูต4) +จิต     คำว่าจิตนี้ต้องมีเจตสิกร่วมอยู่ด้วย  จะเรียกว่าจิตบริสุทธิ
ไม่ได้ เพราะที่ต้องมาเกิดเพราะเจตสิก(เจตนาเจตสิก=กรรม) นำมา
    
     เริ่มจากธาตุ(ข้อ1)จากนั้นก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติเลย   ธาตุต่าง ๆ   ประจบกันไป  ๆ  มา   เกิดเป็นพืช(2)   
จากพืชประจบไป  ๆ มา เกิดเป็นจิต(3)   มีจิตก็จะเกิดกรรม(4)   ทั้งหมดไม่พ้นจากธรรม(5)  คือกฎไตรลักษณื อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

      ขบวนการเกิดของธรรมชาติก็ดำเนินไปตาม นิยาม5 นี้ เป็นสังสารวัฎ     ที่นี้ถ้าเราจะตัดสังสารวัฎ   เราก็ต้อง "แยกธาตุ"  ออกจากกัน
สุดท้าย "ธาตุรู้"  มันถูกเราแยกออกจาก "ธาตุเจตสิก"  เมื่อไม่บรรจบกัน   "ธาตุรู้" ม้นก็อยู่ของมันเป็นธรรมชาติ  "ธาติเจตสิก" มันก็อยู่ของมันเป็นธรรมชาติ  เมื่อมันไม่บรรจบกัน     ก็ไม่มีบัญญัติคำว่า   "จิต"  เกิดขึ้น    ผู้แยกได้ก็คือผู้ "นิพพาน"  นั่นเอง

             ขอบคุณครับ

        สวัสดีครับ
  
               มีท่านสมาชิกทั้กท้วง   จึงตรวจสอบดูใหม่  ที่กล่าวไว้น่าจะไม่ถูกต้อง 
แก้ไหม่ตามนี้ครับ  (หรือดูคห.1-1)

        
        "ครับผมอธิบายแบบนี้คงไม่ถูก   จิตมันก็คือ "ธาตุรู้" นั่นแหละ  แต่ "เจตสิก" นี่ถ้ามันเป็นกิเลส
เราก็แยกมันออกโดยปหารมัน    เมื่อ "ดับ" มันหมด  จิตคือธาตุรู้ก็จะรู้ว่า กิเลสตัวสุดท้ายมันหมดแล้ว  ก็จะ
เหลือจิต(ซึ่งก็คือธาตุรู้)   ดำเนินชีวิตต่อไปจนหมดอายุไข  เมื่อจิตมันไม่มีเจตสิก  มันก็จะไม่มาเกิดอีก
เป็นสังสารวัฎ   ร่างกาย(ธาตุ) ก็จะสลายคืนสู่ธรรมชาติ  ดินสู่ดิน  น้ำสู่น้ำ.....ฯ  ไม่เหลืออะไรแล้ว"

        ด้วยความเคารพ
          ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนา ศาสนาพุทธ พระธรรม ปฏิบัติธรรม พระไตรปิฎก
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่