จากเรื่องราวสายฟ้าฟาดที่เกิดขึ้นถึงวันนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม ฉันยอมรับว่าทำใจไม่ได้อยากจะไปจากบ้านหลังนี้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของทุกคน ทว่าคุณพ่อกับพี่องศาก็ไม่ยอม ให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านอย่างที่ผ่านมา คุณพ่อบอกกับฉันว่าถึงฉันไม่ใช่สายเลือดฉัตรบดินทร์โดยตรงแต่ก็นับว่าเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของฉัตรบดินทร์เชียวละ
ส่วนเรื่องมันเป็นอย่างไรนั้นคุณพ่อไม่ยอมบอกท่านบอกว่าให้มันตายไปพร้อมกับพ่อมานพนั่นละดีแล้ว
คุณนายศจีมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมกับฉันนิดหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะพูดดีด้วยเสียทีเดียว ทว่าก็เบาลงจากเมื่อก่อนมาก มากจนทุกคนในบ้านยังอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็ดีแล้วฉันจะได้สงบศึกกับเธอเสียที
คุณพ่อและพี่องศาก็ยังคงทำราวกับว่าฉันเป็นสายเลือดฉัตรบดินทร์จริง ๆ แต่คนที่เหมือนมีอะไรในใจกลับเป็นฉันเอง ใครจะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมได้ล่ะเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พ่อแท้ ๆ แค่คิดถึงเรื่องนี้น้ำตาของฉันก็เอ่อล้นขอบตาออกมาจนได้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ฉันร้องไห้กับเรื่องนี้
ฉันอ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับความจริงได้ภายในเร็ววันกับคนที่คิดว่าเป็นพ่อมาทั้งชีวิตแต่แล้วก็ไม่ใช่เป็นใครจะยอมรับไหว
ห้าทุ่มแล้วฉันยังนอนไม่หลับ ยังนั่งจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนเองดูซีรีส์เรื่องโปรดเพื่อให้ลืมเรื่องเศร้าพรรค์นั้นไป แม้ซีรีส์จะสนุกแค่ไหนความสนุกมันก็รู้สึกกร่อยไปหมด
ก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมงฉันได้ระบายความรู้สึกของตนเองลงไปสู่สายตาเพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ที่กำลังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในตอนนี้
ฉันเองก็สมัครเป็นสมาชิกเอาไว้ดูข่าวความเคลื่อนไหวของสังคม แต่ส่วนมากจะมีแต่เรื่องโอ้อวดกันมากกว่า ฉันไม่เคยโพสต์เรื่องส่วนตัวอะไรลงไปในนั้น อาจจะมีรูปถ่ายตัวเองบ้างเท่านั้นแต่ก็เนิ่นนานที่ฉันจะลงรูปถ่ายสักรูปให้ผู้คนได้ชม
วันนี้ฉันโพสต์ข้อความเพื่อระบายความเศร้าในใจลงไป เพียงอยากระบายเท่านั้น
‘ทำไมนะ...ชีวิตถึงได้เล่นตลกกับฉันถึงเพียงนี้ มันน่าสนุกนักหรือไร ไม่คิดบ้างหรือว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของผู้หญิงคนนี้มันจะอ่อนแอเกินกว่าจะรับได้’
ฉันพิมพ์ข้อความและแชร์ในหน้าฟีดข่าวของเฟซบุ๊ก มีเพื่อน ๆ ที่สนิทหลายคนมากดอิโมจิห่วงใยให้ อีกทั้งคนไม่รู้จักอีกมากมายที่เข้ามาแสดงความห่วงใย
พี่องศาก็เข้ามาแสดงความห่วงใยกับฉันด้วย ฉันอ่านและตอบคอมเมนต์ของทุกคนจนครบ ก่อนจะเลิกสนใจกลับมาดูซีรีส์ต่อ แต่ว่าอยู่ ๆ ก็มีข้อความของคนที่ไม่เคยรู้จักเด้งขึ้นมาโชว์ที่หน้าจอ รูปโพรไฟล์เป็นรูปการ์ตูน ชื่อเป็นภาษาอังกฤษใครกันนะ
‘สู้ ๆ นะครับ อย่าคิดมากกับชีวิต ทุกคนย่อมมีปัญหา ไม่มีใครไม่มีปัญหา ไม่ว่าจนหรือรวยสวยหรือขี้เหร่ทุกคนก็ย่อมมีปัญหากันทั้งนั้น’
ฉันขมวดคิ้วกับข้อความที่เด้งขึ้นมาแทรกระหว่างซีรีส์ที่กำลังเล่นอยู่ อาจจะเป็นพวกผู้ชายขี้เหงาในอินเทอร์เน็ตก็ได้ พอเห็นฉันโพสต์อะไรเศร้า ๆ ก็อยากจะมีตัวตน ฉันอ่านจบแล้วจึงคลิกกากบาทตรงหัวมุมทิ้งไป ไม่ต้องการที่จะคุยกับคนแปลกหน้าโดยเฉพาะในสังคมโลกเสมือนอย่างนี้
‘ว้าใจดำจังอ่านแล้วไม่ยอมตอบ ไอ้เราก็เป็นห่วงอยากปลอบใจไม่ให้คิดมาก’
เขาส่งข้อความกลับมาอีก ฉันอ่านแล้วก็ต้องขมวดคิ้วชนกันอีกรอบ จากที่ไม่คิดจะตอบจึงตอบกลับไปให้มันจบ ๆ ไหน ๆ เขาก็อุตส่าห์มีความห่วงใยส่งมาให้
‘คุณจะปลอบใจฉันเรื่องอะไรคะ’ ฉันถามกลับ
‘ก็เรื่องที่คุณกำลังเศร้าอยู่ไง ตกลงเศร้าจริงหรือเศร้าปลอมล่ะถึงได้ไม่รู้ว่าจะให้ปลอบใจเรื่องอะไร’
ฉันอ่านแล้วอ้าปากเหวอชักจะกวนโอ๊ยเข้าแล้ว ตกลงอยากปลอบใจหรืออยากมากวนอะไรที่ใช้เดินกันแน่ ฉันเริ่มคันปากคันไม้คันมือขึ้นมาจึงรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างเร็ว
‘ฉันเศร้าหรือไม่เศร้าก็ไม่ได้ต้องการคำปลอบใจจากใครโดยเฉพาะคุณ ฉันแค่อยากระบายความรู้สึกตัวเองลงในโซเชียลบ้างก็เท่านั้น’
มันก็จริง ปกติฉันเพียงสมัครเพื่อให้บอกคนอื่นว่าเล่นก็เท่านั้น ฉันแทบจะไม่โพสต์อะไรลงไปเลยแม้แต่รูปภาพตัวเองก็มีไม่กี่รูปเท่านั้น
ฉันไม่ชอบนำเรื่องของตัวเองมาพรีเซนต์ให้ใครรู้สักเท่าไหร่ ทว่าบางครั้งก็อดใจไม่ได้จริง ๆ ก็แค่เพียงระบายก็เท่านั้น
‘ปกติไม่สนใจเฟซบุ๊กเลยล่ะสิ เห็นรูปมีนิดเดียวเอง’
‘คุณค้นดูโพรไฟล์ของฉันแล้วเหรอ’
ฉันแหวออกมาแม้เขาจะไม่ได้ยินก็ตามพร้อมพิมพ์ออกไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นสาธารณะที่ใคร ๆ ก็สามารถดูได้แต่อดไม่ได้ที่จะไม่ชอบใจ
‘ก็แหงสิคุณ แต่อย่าบล็อกผมเลยนะ หรือไม่ก็อย่าเปลี่ยนแปลงการมองเห็นเลย ผมอยากดูรูปคุณน่ะ’
‘โรคจิต’
ฉันรีบตอบกลับไป รู้สึกแปลกใจตัวเองขึ้นมาบ้างทำไมคนแปลกหน้าพูดมาขนาดนี้ฉันกลับรู้สึกไม่อยากบล็อกเขาไว้ ไม่ตั้งค่าเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงรูปภาพและข้อความที่ฉันโพสต์เอาไว้ด้วย ยังปล่อยให้มันเป็นสาธารณะเช่นเดิม
‘ไม่ได้เป็นโรคจิตครับ แค่อยากปลอบใจคนคิดมาก’
‘คุณเป็นใครกันแน่’ ฉันตัดสินใจถาม
‘เป็นคนที่คุณกล่าวหาว่าเป็นโรคจิต’ เขาตอบกลับมาฉันยิ่งฉุนเข้าไปอีก จะกวนแบบนี้อีกนานไหม
‘กวนเหรองั้นไม่ต้องคุยอีก’ พูดจบฉันก็ออฟไลน์ออกจากระบบแล้วปิดโน้ตบุ๊กนอน ปล่อยให้โรคจิตอึ้งตายไปเลยที่โดนฉันชิ่งหนีออกจากระบบไปก่อน
ซีรีส์ที่ตั้งใจจะดูก็ไม่ได้ดูเพราะมัวแต่คุยกับคนแปลกหน้า ฉันดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแล้ว ฉันจึงตัดสินใจปิดไฟเพื่อนอนแม้จะนอนไม่หลับก็ตาม พรุ่งนี้ฉันต้องไปช่วยงานคุณพ่อที่บริษัทตามปกติ
....
สายสิบนาทีจากเวลาอาหารเช้า ฉันรีบวิ่งลงบันไดมาแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวมายังห้องอาหาร มาถึงก็เห็นทั้งสามคนที่เป็นฉัตรบดินทร์ของแท้นั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว
คุณพ่อยิ้มกว้างที่เห็นฉันก่อนจะเอ่ยเชิญให้ฉันนั่งทานข้าวด้วยกัน อีกทั้งพี่องศาด้วยที่ยิ้มกว้างให้ฉันพร้อมแววตาที่บอกว่าเอ็นดูน้องน้อยคนนี้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยกเว้นก็แต่ภรรยาของเจ้าของฉัตรบดินทร์นั่นล่ะที่ยังคงหน้าบึ้งกับฉันไม่เลิกแม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม
“ตื่นสายแบบนี้แล้วจะพาฉัตรบดินทร์เจริญงอกงามไปได้ยังไง” คุณนายศจีประชด แต่คำประชดนั้นก็แฝงด้วยนัยอะไรบางอย่าง คุณพ่อกับพี่องศาหันมามองหน้ากันพร้อมยิ้มบางให้กัน
“ไมล์สายแค่สิบนาทีเองนะคะยังไม่เท่าไหร่” ฉันเถียงด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะผิดจริง ๆ แต่ทว่าเพียงสิบนาทีเองคงไม่ทำให้นั่งหิวจนท้องกิ่ว
“สายหนึ่งนาทีก็คือสาย ทำงานไม่ตรงต่อเวลาลูกน้องใครจะนับถือ แล้วอย่างนี้จะฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณนายศจียังคงจิกกัดฉันไม่หยุด แต่ฉันกลับไม่โกรธเหมือนเมื่อก่อน
บางทีความจริงที่ได้รับรู้ในวันนั้นมันก็ไม่ได้โหดร้ายสักเท่าไหร่ พอคุณนายรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกเมียน้อยของคุณพ่อ คุณพ่อไม่ได้นอกใจเธอไปรักกับแม่ไหมของฉันอย่างที่เข้าใจมาโดยตลอด คุณนายก็เหมือนจะยอมรับในตัวของฉันมากขึ้น
ยอมให้เข้าทำงานในบริษัทแม้จะในฐานะลูกจ้างก็ตาม แต่ทว่าหน้าที่สำคัญหลายอย่างในเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป คุณนายก็ยอมมอบหมายให้ฉันรับผิดชอบ และฉันก็ตั้งใจทำงานมาก ๆ ตอบแทนคุณพ่อผู้มีพระคุณของฉันกับคุณแม่
“เอาล่ะ ๆ จะเถียงกันอีกนานไหม พ่อหิวจะแย่แล้ว” คุณพ่อสงบศึก
“ไมล์ขอโทษค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษจากนั้นก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของตนเองแล้วนั่งทานข้าวเงียบ ๆ ฟังประมุขทั้งสองของบ้านคุยกัน ฉันไม่มีสิทธิ์ได้ออกความคิดเห็นตั้งแต่ไหนแต่ไร มีบ้างที่จะตอบคำถามที่ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านถาม
วันนี้ฉันขอติดรถไปบริษัทกับพี่องศา เพราะฉันยังไม่มีรถส่วนตัว ฉันไม่กล้าขอคุณพ่ออีกอย่างไม่อยากมีปัญหากับคุณนายศจีด้วย สู้ค่อย ๆ เก็บเงินซื้อเองดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเลิศหรูอย่างคันที่ฉันกำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ก็ได้ แค่ไม่ต้องอาศัยไปกับพี่ชายทุก ๆ วันก็พอ
ระหว่างที่ฉันกำลังเพลินไปกับเพลงสากลที่พี่องศาเปิดให้ฟังระหว่างทางไปบริษัทโทรศัพท์มือถือของเขาก็มีคนโทรฯ เข้า
“อือว่าไงคุณสารวัตรเถื่อน โทรฯ มาหาฉันได้แล้วเหรอ” พี่องศาประชดคนในสายทันทีที่กดรับ ฉันแอบเงี่ยหูฟังอย่างเสียมารยาทว่าสองคนคุยอะไรกัน
ฉันมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับคนในสายเพราะพี่องศาเรียกแทนชื่อเขาว่า ‘สารวัตร’ ซึ่งฉันก็ไม่เคยเห็นเลยว่าเพื่อนคนไหนของพี่องศาจะเป็นตำรวจสักคน
“อ่อ ๆ ยินดีด้วย นี่แกต้องกลับมาฉลองตำแหน่งใหม่ยศใหม่ที่กรุงเทพฯ ไหมวะ ฉันจะจัดเต็มให้ อ่อ ๆ เค ๆ แล้วเจอกัน” จากนั้นพี่องศาก็วางสายไป
ฉันนั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ถามสักคำว่าใครโทรฯ มา พี่องศาเองก็ดูจะไม่อยากบอกด้วย ปกติเขามักจะเล่าให้ฉันฟังว่าเพื่อนคนโน้นคนนี้โทรฯ มาหากมีฉันนั่งรับฟังด้วยอย่างในตอนนี้
“ไมล์...” จู่ ๆ พี่องศาก็เรียกฉันทำลายความเงียบให้พังลง
“คะ” ฉันหันมามอง
“ตอนนี้ไมล์ก็เรียนจบแล้วไมล์ควรจะมีรถเป็นของตัวเองสักคันนะ เอ่อ...อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าพี่ไม่อยากให้น้องสาวติดรถมาด้วย คือพี่กับคุณพ่อเห็นว่าไมค์ควรจะมีรถสักคันเป็นของตนเองเผื่ออยากไปไหนมาไหนจะได้สะดวก” พี่องศาอธิบาย
ฉันยิ้มรับด้วยความซาบซึ้งใจแต่ก็ปฏิเสธไปเช่นกัน “ไมล์ขอทำงานเก็บเงินสักพักก่อนค่ะ เอ่อ วันไหนที่พี่องศาติดธุระไมล์นั่งแท็กซี่หรือรถเมล์ไปทำงานก็ได้ ไม่มีปัญหา” ฉันพูดจริง ๆ และไม่ติดขัดอะไรจริง ๆ หากพี่องศาไม่อยากให้ฉันติดรถไปด้วย
“เฮ้ยจะบ้า!” พี่องศาหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของฉันแล้วโยกเบา ๆ “จริง ๆ แล้วคุณพ่อดูรถไว้ให้ไมล์เป็นของขวัญวันเรียนจบแล้ว อีกอย่างให้รางวัลคนเก่งด้วยที่จบมาด้วยรางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ขนาดพี่ยังทำไม่ได้เลย” พี่องศาชมฉัน
ฉันอ้าปากเหวอคุณพ่อจัดการซื้อรถให้ฉันเสร็จสรรพแล้วงั้นหรือ
ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากคำพูดและแววตาที่เปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจของพี่ชาย คงจะดีหากฉันยังไม่รู้ความจริงเรื่องสายเลือดที่แท้จริงของตัวเอง ที่วันนี้ฉันไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับพี่องศาแม้แต่นิดเดียว
“อย่าเกรงใจไปเลยน้องพี่ ไมล์เป็นน้องสาวของพี่นะ เป็นลูกสาวของคุณพ่อ ไมค์มีสิทธิ์ทุกอย่างในบ้านฉัตรบดินทร์ แม้ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ไมล์ยังเป็นฉัตรบดินทร์เข้าใจไหม”
พี่องศาพูดก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามายังบริษัทเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป เมื่อลงจากรถแล้วเราสองคนก็แยกย้ายกัน พี่องศาขึ้นไปยังชั้นผู้บริหารส่วนฉันก็มาปะปนอยู่กับพนักงานทั่วไป โชคดีหน่อยที่คุณนายศจียอมให้ฉันขึ้นแท่นหัวหน้าหลังจากฝึกงานจบ
....
ฉันเอนกายไปกับเก้าอี้นวมตัวราคาหลายบาทที่คุณพ่อจัดหามาให้สำหรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชี เหลียวมองไปยังกรอบรูปขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง เป็นรูปของฉันถ่ายคู่กับคุณแม่และรูปของคุณพ่อที่ฉันเอามาแปะเข้าด้วยกัน เสมือนว่าเป็นรูปถ่ายครอบครัวของเรา
หากลองมองย้อนกลับไปดี ๆ ก็พบว่าจริง ๆ แล้วฉันแทบจะไม่มีรูปถ่ายครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกเลย ก็คงเพราะเหตุผลเดียวนั่นละ ทว่ารูปที่ฉันถ่ายคู่กับคุณพ่อสองคนก็พอมีบ้าง
ฉันถอนหายใจกับความจริงของชาติกำเนิด แม้ทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม ฉันยังอยู่ที่บ้านฉัตรบดินทร์ คุณนายศจีอ่อนข้อกับฉันลงบ้าง แต่ก็นะฉันก็ยังรู้สึกแปลกแยกไม่เหมือนเก่า ยังเสียใจที่ตัวเองไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ ฉันเคยขอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแต่คุณพ่อกับพี่องศาไม่ยอมให้ฉันไปอย่างเด็ดขาด จึงจำต้องอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไป
ระหว่างที่กำลังจะเปิดแฟ้มเอกสารโทรศัพท์มือถือของฉันก็มีสายเรียกเข้า หยิบมาดูว่าเป็นใครโทรฯ หาพอเห็นชื่อก็ทำให้ปวดหนึบที่หัวใจขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็นอย่างเขายังมีหน้าโทรฯ หาฉันอีกหรือ
ชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกดรับ บางทีเขาผู้นั้นอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้
“ค่ะ...มีธุระสำคัญอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ คุณอาวุธ” ฉันเน้นคำสุดท้ายให้เขารู้ว่าฉันไม่มีเยื่อใยอะไรอีกแล้ว
“ต้องมีธุระสำคัญด้วยเหรอพี่ถึงจะโทรฯ หาไมล์ได้ อ่อเรียกพี่ว่าพี่วุฒิเหมือนเดิมก็ได้นะไม่ต้องคุณหรอก”
มนตร์รักออนไลน์ 1
จากเรื่องราวสายฟ้าฟาดที่เกิดขึ้นถึงวันนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม ฉันยอมรับว่าทำใจไม่ได้อยากจะไปจากบ้านหลังนี้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของทุกคน ทว่าคุณพ่อกับพี่องศาก็ไม่ยอม ให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านอย่างที่ผ่านมา คุณพ่อบอกกับฉันว่าถึงฉันไม่ใช่สายเลือดฉัตรบดินทร์โดยตรงแต่ก็นับว่าเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของฉัตรบดินทร์เชียวละ
ส่วนเรื่องมันเป็นอย่างไรนั้นคุณพ่อไม่ยอมบอกท่านบอกว่าให้มันตายไปพร้อมกับพ่อมานพนั่นละดีแล้ว
คุณนายศจีมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมกับฉันนิดหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะพูดดีด้วยเสียทีเดียว ทว่าก็เบาลงจากเมื่อก่อนมาก มากจนทุกคนในบ้านยังอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็ดีแล้วฉันจะได้สงบศึกกับเธอเสียที
คุณพ่อและพี่องศาก็ยังคงทำราวกับว่าฉันเป็นสายเลือดฉัตรบดินทร์จริง ๆ แต่คนที่เหมือนมีอะไรในใจกลับเป็นฉันเอง ใครจะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมได้ล่ะเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พ่อแท้ ๆ แค่คิดถึงเรื่องนี้น้ำตาของฉันก็เอ่อล้นขอบตาออกมาจนได้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ฉันร้องไห้กับเรื่องนี้
ฉันอ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับความจริงได้ภายในเร็ววันกับคนที่คิดว่าเป็นพ่อมาทั้งชีวิตแต่แล้วก็ไม่ใช่เป็นใครจะยอมรับไหว
ห้าทุ่มแล้วฉันยังนอนไม่หลับ ยังนั่งจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนเองดูซีรีส์เรื่องโปรดเพื่อให้ลืมเรื่องเศร้าพรรค์นั้นไป แม้ซีรีส์จะสนุกแค่ไหนความสนุกมันก็รู้สึกกร่อยไปหมด
ก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมงฉันได้ระบายความรู้สึกของตนเองลงไปสู่สายตาเพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ที่กำลังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในตอนนี้
ฉันเองก็สมัครเป็นสมาชิกเอาไว้ดูข่าวความเคลื่อนไหวของสังคม แต่ส่วนมากจะมีแต่เรื่องโอ้อวดกันมากกว่า ฉันไม่เคยโพสต์เรื่องส่วนตัวอะไรลงไปในนั้น อาจจะมีรูปถ่ายตัวเองบ้างเท่านั้นแต่ก็เนิ่นนานที่ฉันจะลงรูปถ่ายสักรูปให้ผู้คนได้ชม
วันนี้ฉันโพสต์ข้อความเพื่อระบายความเศร้าในใจลงไป เพียงอยากระบายเท่านั้น
‘ทำไมนะ...ชีวิตถึงได้เล่นตลกกับฉันถึงเพียงนี้ มันน่าสนุกนักหรือไร ไม่คิดบ้างหรือว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของผู้หญิงคนนี้มันจะอ่อนแอเกินกว่าจะรับได้’
ฉันพิมพ์ข้อความและแชร์ในหน้าฟีดข่าวของเฟซบุ๊ก มีเพื่อน ๆ ที่สนิทหลายคนมากดอิโมจิห่วงใยให้ อีกทั้งคนไม่รู้จักอีกมากมายที่เข้ามาแสดงความห่วงใย
พี่องศาก็เข้ามาแสดงความห่วงใยกับฉันด้วย ฉันอ่านและตอบคอมเมนต์ของทุกคนจนครบ ก่อนจะเลิกสนใจกลับมาดูซีรีส์ต่อ แต่ว่าอยู่ ๆ ก็มีข้อความของคนที่ไม่เคยรู้จักเด้งขึ้นมาโชว์ที่หน้าจอ รูปโพรไฟล์เป็นรูปการ์ตูน ชื่อเป็นภาษาอังกฤษใครกันนะ
‘สู้ ๆ นะครับ อย่าคิดมากกับชีวิต ทุกคนย่อมมีปัญหา ไม่มีใครไม่มีปัญหา ไม่ว่าจนหรือรวยสวยหรือขี้เหร่ทุกคนก็ย่อมมีปัญหากันทั้งนั้น’
ฉันขมวดคิ้วกับข้อความที่เด้งขึ้นมาแทรกระหว่างซีรีส์ที่กำลังเล่นอยู่ อาจจะเป็นพวกผู้ชายขี้เหงาในอินเทอร์เน็ตก็ได้ พอเห็นฉันโพสต์อะไรเศร้า ๆ ก็อยากจะมีตัวตน ฉันอ่านจบแล้วจึงคลิกกากบาทตรงหัวมุมทิ้งไป ไม่ต้องการที่จะคุยกับคนแปลกหน้าโดยเฉพาะในสังคมโลกเสมือนอย่างนี้
‘ว้าใจดำจังอ่านแล้วไม่ยอมตอบ ไอ้เราก็เป็นห่วงอยากปลอบใจไม่ให้คิดมาก’
เขาส่งข้อความกลับมาอีก ฉันอ่านแล้วก็ต้องขมวดคิ้วชนกันอีกรอบ จากที่ไม่คิดจะตอบจึงตอบกลับไปให้มันจบ ๆ ไหน ๆ เขาก็อุตส่าห์มีความห่วงใยส่งมาให้
‘คุณจะปลอบใจฉันเรื่องอะไรคะ’ ฉันถามกลับ
‘ก็เรื่องที่คุณกำลังเศร้าอยู่ไง ตกลงเศร้าจริงหรือเศร้าปลอมล่ะถึงได้ไม่รู้ว่าจะให้ปลอบใจเรื่องอะไร’
ฉันอ่านแล้วอ้าปากเหวอชักจะกวนโอ๊ยเข้าแล้ว ตกลงอยากปลอบใจหรืออยากมากวนอะไรที่ใช้เดินกันแน่ ฉันเริ่มคันปากคันไม้คันมือขึ้นมาจึงรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างเร็ว
‘ฉันเศร้าหรือไม่เศร้าก็ไม่ได้ต้องการคำปลอบใจจากใครโดยเฉพาะคุณ ฉันแค่อยากระบายความรู้สึกตัวเองลงในโซเชียลบ้างก็เท่านั้น’
มันก็จริง ปกติฉันเพียงสมัครเพื่อให้บอกคนอื่นว่าเล่นก็เท่านั้น ฉันแทบจะไม่โพสต์อะไรลงไปเลยแม้แต่รูปภาพตัวเองก็มีไม่กี่รูปเท่านั้น
ฉันไม่ชอบนำเรื่องของตัวเองมาพรีเซนต์ให้ใครรู้สักเท่าไหร่ ทว่าบางครั้งก็อดใจไม่ได้จริง ๆ ก็แค่เพียงระบายก็เท่านั้น
‘ปกติไม่สนใจเฟซบุ๊กเลยล่ะสิ เห็นรูปมีนิดเดียวเอง’
‘คุณค้นดูโพรไฟล์ของฉันแล้วเหรอ’
ฉันแหวออกมาแม้เขาจะไม่ได้ยินก็ตามพร้อมพิมพ์ออกไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นสาธารณะที่ใคร ๆ ก็สามารถดูได้แต่อดไม่ได้ที่จะไม่ชอบใจ
‘ก็แหงสิคุณ แต่อย่าบล็อกผมเลยนะ หรือไม่ก็อย่าเปลี่ยนแปลงการมองเห็นเลย ผมอยากดูรูปคุณน่ะ’
‘โรคจิต’
ฉันรีบตอบกลับไป รู้สึกแปลกใจตัวเองขึ้นมาบ้างทำไมคนแปลกหน้าพูดมาขนาดนี้ฉันกลับรู้สึกไม่อยากบล็อกเขาไว้ ไม่ตั้งค่าเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงรูปภาพและข้อความที่ฉันโพสต์เอาไว้ด้วย ยังปล่อยให้มันเป็นสาธารณะเช่นเดิม
‘ไม่ได้เป็นโรคจิตครับ แค่อยากปลอบใจคนคิดมาก’
‘คุณเป็นใครกันแน่’ ฉันตัดสินใจถาม
‘เป็นคนที่คุณกล่าวหาว่าเป็นโรคจิต’ เขาตอบกลับมาฉันยิ่งฉุนเข้าไปอีก จะกวนแบบนี้อีกนานไหม
‘กวนเหรองั้นไม่ต้องคุยอีก’ พูดจบฉันก็ออฟไลน์ออกจากระบบแล้วปิดโน้ตบุ๊กนอน ปล่อยให้โรคจิตอึ้งตายไปเลยที่โดนฉันชิ่งหนีออกจากระบบไปก่อน
ซีรีส์ที่ตั้งใจจะดูก็ไม่ได้ดูเพราะมัวแต่คุยกับคนแปลกหน้า ฉันดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแล้ว ฉันจึงตัดสินใจปิดไฟเพื่อนอนแม้จะนอนไม่หลับก็ตาม พรุ่งนี้ฉันต้องไปช่วยงานคุณพ่อที่บริษัทตามปกติ
....
สายสิบนาทีจากเวลาอาหารเช้า ฉันรีบวิ่งลงบันไดมาแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวมายังห้องอาหาร มาถึงก็เห็นทั้งสามคนที่เป็นฉัตรบดินทร์ของแท้นั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว
คุณพ่อยิ้มกว้างที่เห็นฉันก่อนจะเอ่ยเชิญให้ฉันนั่งทานข้าวด้วยกัน อีกทั้งพี่องศาด้วยที่ยิ้มกว้างให้ฉันพร้อมแววตาที่บอกว่าเอ็นดูน้องน้อยคนนี้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยกเว้นก็แต่ภรรยาของเจ้าของฉัตรบดินทร์นั่นล่ะที่ยังคงหน้าบึ้งกับฉันไม่เลิกแม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม
“ตื่นสายแบบนี้แล้วจะพาฉัตรบดินทร์เจริญงอกงามไปได้ยังไง” คุณนายศจีประชด แต่คำประชดนั้นก็แฝงด้วยนัยอะไรบางอย่าง คุณพ่อกับพี่องศาหันมามองหน้ากันพร้อมยิ้มบางให้กัน
“ไมล์สายแค่สิบนาทีเองนะคะยังไม่เท่าไหร่” ฉันเถียงด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะผิดจริง ๆ แต่ทว่าเพียงสิบนาทีเองคงไม่ทำให้นั่งหิวจนท้องกิ่ว
“สายหนึ่งนาทีก็คือสาย ทำงานไม่ตรงต่อเวลาลูกน้องใครจะนับถือ แล้วอย่างนี้จะฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณนายศจียังคงจิกกัดฉันไม่หยุด แต่ฉันกลับไม่โกรธเหมือนเมื่อก่อน
บางทีความจริงที่ได้รับรู้ในวันนั้นมันก็ไม่ได้โหดร้ายสักเท่าไหร่ พอคุณนายรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกเมียน้อยของคุณพ่อ คุณพ่อไม่ได้นอกใจเธอไปรักกับแม่ไหมของฉันอย่างที่เข้าใจมาโดยตลอด คุณนายก็เหมือนจะยอมรับในตัวของฉันมากขึ้น
ยอมให้เข้าทำงานในบริษัทแม้จะในฐานะลูกจ้างก็ตาม แต่ทว่าหน้าที่สำคัญหลายอย่างในเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป คุณนายก็ยอมมอบหมายให้ฉันรับผิดชอบ และฉันก็ตั้งใจทำงานมาก ๆ ตอบแทนคุณพ่อผู้มีพระคุณของฉันกับคุณแม่
“เอาล่ะ ๆ จะเถียงกันอีกนานไหม พ่อหิวจะแย่แล้ว” คุณพ่อสงบศึก
“ไมล์ขอโทษค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษจากนั้นก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของตนเองแล้วนั่งทานข้าวเงียบ ๆ ฟังประมุขทั้งสองของบ้านคุยกัน ฉันไม่มีสิทธิ์ได้ออกความคิดเห็นตั้งแต่ไหนแต่ไร มีบ้างที่จะตอบคำถามที่ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านถาม
วันนี้ฉันขอติดรถไปบริษัทกับพี่องศา เพราะฉันยังไม่มีรถส่วนตัว ฉันไม่กล้าขอคุณพ่ออีกอย่างไม่อยากมีปัญหากับคุณนายศจีด้วย สู้ค่อย ๆ เก็บเงินซื้อเองดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเลิศหรูอย่างคันที่ฉันกำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ก็ได้ แค่ไม่ต้องอาศัยไปกับพี่ชายทุก ๆ วันก็พอ
ระหว่างที่ฉันกำลังเพลินไปกับเพลงสากลที่พี่องศาเปิดให้ฟังระหว่างทางไปบริษัทโทรศัพท์มือถือของเขาก็มีคนโทรฯ เข้า
“อือว่าไงคุณสารวัตรเถื่อน โทรฯ มาหาฉันได้แล้วเหรอ” พี่องศาประชดคนในสายทันทีที่กดรับ ฉันแอบเงี่ยหูฟังอย่างเสียมารยาทว่าสองคนคุยอะไรกัน
ฉันมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับคนในสายเพราะพี่องศาเรียกแทนชื่อเขาว่า ‘สารวัตร’ ซึ่งฉันก็ไม่เคยเห็นเลยว่าเพื่อนคนไหนของพี่องศาจะเป็นตำรวจสักคน
“อ่อ ๆ ยินดีด้วย นี่แกต้องกลับมาฉลองตำแหน่งใหม่ยศใหม่ที่กรุงเทพฯ ไหมวะ ฉันจะจัดเต็มให้ อ่อ ๆ เค ๆ แล้วเจอกัน” จากนั้นพี่องศาก็วางสายไป
ฉันนั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ถามสักคำว่าใครโทรฯ มา พี่องศาเองก็ดูจะไม่อยากบอกด้วย ปกติเขามักจะเล่าให้ฉันฟังว่าเพื่อนคนโน้นคนนี้โทรฯ มาหากมีฉันนั่งรับฟังด้วยอย่างในตอนนี้
“ไมล์...” จู่ ๆ พี่องศาก็เรียกฉันทำลายความเงียบให้พังลง
“คะ” ฉันหันมามอง
“ตอนนี้ไมล์ก็เรียนจบแล้วไมล์ควรจะมีรถเป็นของตัวเองสักคันนะ เอ่อ...อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าพี่ไม่อยากให้น้องสาวติดรถมาด้วย คือพี่กับคุณพ่อเห็นว่าไมค์ควรจะมีรถสักคันเป็นของตนเองเผื่ออยากไปไหนมาไหนจะได้สะดวก” พี่องศาอธิบาย
ฉันยิ้มรับด้วยความซาบซึ้งใจแต่ก็ปฏิเสธไปเช่นกัน “ไมล์ขอทำงานเก็บเงินสักพักก่อนค่ะ เอ่อ วันไหนที่พี่องศาติดธุระไมล์นั่งแท็กซี่หรือรถเมล์ไปทำงานก็ได้ ไม่มีปัญหา” ฉันพูดจริง ๆ และไม่ติดขัดอะไรจริง ๆ หากพี่องศาไม่อยากให้ฉันติดรถไปด้วย
“เฮ้ยจะบ้า!” พี่องศาหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของฉันแล้วโยกเบา ๆ “จริง ๆ แล้วคุณพ่อดูรถไว้ให้ไมล์เป็นของขวัญวันเรียนจบแล้ว อีกอย่างให้รางวัลคนเก่งด้วยที่จบมาด้วยรางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ขนาดพี่ยังทำไม่ได้เลย” พี่องศาชมฉัน
ฉันอ้าปากเหวอคุณพ่อจัดการซื้อรถให้ฉันเสร็จสรรพแล้วงั้นหรือ
ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากคำพูดและแววตาที่เปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจของพี่ชาย คงจะดีหากฉันยังไม่รู้ความจริงเรื่องสายเลือดที่แท้จริงของตัวเอง ที่วันนี้ฉันไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับพี่องศาแม้แต่นิดเดียว
“อย่าเกรงใจไปเลยน้องพี่ ไมล์เป็นน้องสาวของพี่นะ เป็นลูกสาวของคุณพ่อ ไมค์มีสิทธิ์ทุกอย่างในบ้านฉัตรบดินทร์ แม้ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ไมล์ยังเป็นฉัตรบดินทร์เข้าใจไหม”
พี่องศาพูดก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามายังบริษัทเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป เมื่อลงจากรถแล้วเราสองคนก็แยกย้ายกัน พี่องศาขึ้นไปยังชั้นผู้บริหารส่วนฉันก็มาปะปนอยู่กับพนักงานทั่วไป โชคดีหน่อยที่คุณนายศจียอมให้ฉันขึ้นแท่นหัวหน้าหลังจากฝึกงานจบ
....
ฉันเอนกายไปกับเก้าอี้นวมตัวราคาหลายบาทที่คุณพ่อจัดหามาให้สำหรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชี เหลียวมองไปยังกรอบรูปขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง เป็นรูปของฉันถ่ายคู่กับคุณแม่และรูปของคุณพ่อที่ฉันเอามาแปะเข้าด้วยกัน เสมือนว่าเป็นรูปถ่ายครอบครัวของเรา
หากลองมองย้อนกลับไปดี ๆ ก็พบว่าจริง ๆ แล้วฉันแทบจะไม่มีรูปถ่ายครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกเลย ก็คงเพราะเหตุผลเดียวนั่นละ ทว่ารูปที่ฉันถ่ายคู่กับคุณพ่อสองคนก็พอมีบ้าง
ฉันถอนหายใจกับความจริงของชาติกำเนิด แม้ทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม ฉันยังอยู่ที่บ้านฉัตรบดินทร์ คุณนายศจีอ่อนข้อกับฉันลงบ้าง แต่ก็นะฉันก็ยังรู้สึกแปลกแยกไม่เหมือนเก่า ยังเสียใจที่ตัวเองไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ ฉันเคยขอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแต่คุณพ่อกับพี่องศาไม่ยอมให้ฉันไปอย่างเด็ดขาด จึงจำต้องอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไป
ระหว่างที่กำลังจะเปิดแฟ้มเอกสารโทรศัพท์มือถือของฉันก็มีสายเรียกเข้า หยิบมาดูว่าเป็นใครโทรฯ หาพอเห็นชื่อก็ทำให้ปวดหนึบที่หัวใจขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็นอย่างเขายังมีหน้าโทรฯ หาฉันอีกหรือ
ชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกดรับ บางทีเขาผู้นั้นอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้
“ค่ะ...มีธุระสำคัญอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ คุณอาวุธ” ฉันเน้นคำสุดท้ายให้เขารู้ว่าฉันไม่มีเยื่อใยอะไรอีกแล้ว
“ต้องมีธุระสำคัญด้วยเหรอพี่ถึงจะโทรฯ หาไมล์ได้ อ่อเรียกพี่ว่าพี่วุฒิเหมือนเดิมก็ได้นะไม่ต้องคุณหรอก”