มนตร์รักออนไลน์ 2

กระทู้สนทนา

.

“โอ๊ย” ฉันวิ่งหกล้มร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บ จากนั้นก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้น รวมถึงช่วยปัดเศษใบไม้ใบหญ้าออกจากหัวเข่าให้ด้วย

“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะไม่เจ็บนะครับน้องน้อยของพี่ มันไกลหัวใจมาก ๆ เลย เดี๋ยวพี่ช่วยเป่าให้นะ โอมเพี้ยงหายแล้ว” เด็กชายคนนั้นปลอบใจฉัน แววตาของเขาทอดมองมาด้วยความห่วงใย ฉันซึ้งใจในดวงตาคู่ใสนั้นมาก

“ไมล์เจ็บ ฮือ พี่องศาอยู่ไหนไมล์เจ็บ” แม้จะถูกช่วยเหลือจากเขาแล้ว ทว่าฉันก็ยังไม่หยุดร้องไห้เรียกหาพี่ชายอยู่ดีแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว

“พี่จะเป็นคนดูแลไมล์เอง ถึงองศาไม่อยู่ไมล์ก็ยังมีพี่ทั้งคนนะ”

“พี่จะคอยปกป้องไมล์เหรอคะ” ฉันถาม หยุดร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“ใช่...พี่จะเป็นคนปกป้องไมล์เอง”

แต่แล้วภาพทุกอย่างก็อันตรธานหายไปพร้อม ๆ กับเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันสะดุ้งตื่นก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าปิดมันเอาไว้

ฝันเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว เด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งใบหน้าเลือนราง จำไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกันถึงได้เก็บไปฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง แถมยังเรียกฉันว่า ‘น้องน้อย’ เหมือนพี่องศาอีกด้วย

จะเป็นใครก็ช่างเถอะฉันไม่พยายามจะนึกหรอกจากนั้นก็ลุกจากเตียงนอนเพื่อจะไปอาบน้ำ นาทีนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือมีข้อความของใครบางคนโชว์อยู่ ‘ลิปดา’ เขาส่งข้อความอะไรมาแต่เช้า

‘มอร์นิ่งครับไมล์’ ลิปดาพิมพ์เป็นข้อความภาษาไทยส่งมาให้ฉัน ข้อความที่อ่านให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนคุยกันมานานแสนนาน ทั้งที่เพิ่งจะคุยกันแค่ไม่กี่วันเอง

‘เช้านี้ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับคุณมากนักหรอกนะคุณลิปดา วันนี้ฉันมีธุระกับคุณนาย...’ ฉันชะงักมือ ไม่แน่ใจว่าจะพิมพ์ไปตามความจริงไหม แต่มาคิด ๆ ดูแล้วบนโลกออนไลน์ไม่จำเป็นต้องบอกความจริงทุกเรื่องก็ได้นี่ ก่อนจะพิมพ์ต่อไปว่า

‘วันนี้ฉันมีธุระต้องไปทำกับคุณแม่ค่ะ’

‘ผมหาเรื่องคุณที่ไหนผมมาบอกมอร์นิ่งคุณต่างหาก ไม่เหมือนคุณไม่คิดจะมอร์นิ่งผมบ้างเลย ว่าแต่จะไปไหนกันเหรอครับบอกได้ไหมล่ะ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ไม่ต้องบอกก็ได้’

อ่านจบแล้วก็ต้องกลอกตามองเพดาน ทำไมเขาช่างเป็นผู้ชายพูดกวนประสาทเอาแต่ได้ขนาดนี้ เรื่องอะไรฉันต้องมอร์นิ่งด้วยไม่มีทาง ส่วนเรื่องธุระไม่ได้สำคัญอะไรเลยก็แค่งานอวดรวยของพวกคุณหญิงคุณนายที่ต้องนัดกันไปอวดทุก ๆ เดือน

‘ไม่สำคัญอะไรหรอกงานสังคมน่ะ’ ฉันตอบกลับไป

พอนึกถึงคำว่างานสังคมฉันก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือก มันน่าเบื่อที่ต้องไปแสร้งยิ้มประหนึ่งว่าเด่นดังกว่าใคร ชีวิตดีมีความสุขกว่าใคร ทั้งที่ข้างหลังยุ่งเหยิงโดยเฉพาะความสัมพันธ์ของฉันกับคุณนายศจี ที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณนายเกลียดฉันเข้ากระดูกดำแค่ไหน

เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อ เวลามีงานสังคมทีไรจึงทำให้คุณนายหิ้วฉันไปออกงานสังคมด้วยเสมอ เพื่อสร้างภาพให้เพื่อน ๆ ในแวดวงผู้ดีเห็นถึงความใจกว้างของตน ที่ยอมอุปการะฉันทั้งที่เป็นหอกข้างแคร่ก็ตาม

‘อ่อมีลูกสาวสวยก็งี้แหละคุณ ใคร ๆ ก็อยากอวด’ ลิปดาชมฉันซึ่ง ๆ หน้า บ้าไปแล้ว! คนอะไรปากหวานชะมัด ฉันรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า บ้าน่าฉันจะไปเขินอะไรกับคนคารมเป็นต่อแบบนี้

‘รู้ได้ยังไงว่าฉันสวย’ ฉันทำเป็นปฏิเสธ

‘รู้ก็แล้วกัน’

‘คุณเคยเจอฉันมาแล้วเหรอ คุณลิปดาคุณเป็นใครคะ’ ฉันถามไปตรง ๆ ด้วยความหวั่นไหว เกรงว่าจะเป็นใครบางคนที่รู้จักมาแกล้ง

‘นี่คุณคิดมากไปได้ ผมจะไปเคยเจอคุณได้ยังไงผมไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ นะ ผมก็ตัดสินเอาจากรูปถ่ายที่คุณลงไว้ไงล่ะ’ อ่านข้อความที่เขาพิมพ์บอกจบก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างคนโล่งอก

‘นั่นมันรูปเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปมาก’ ก็จริงฉันไม่ได้โกหก รูปถ่ายที่ลงไว้ในโซเชียลเป็นรูปสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมและตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ลงรูปถ่ายตัวเองอีกเลย นอกจากพวกรูปสัตว์เลี้ยงรูปเมนูอาหารและรูปวิวต่าง ๆ

‘ไม่เป็นไรครับปัจจุบันผมก็รู้ว่าคุณสวย’

‘ปากหวานนะ พวกตำรวจนี่ปากหวานจริง ๆ เนอะ คารมคงจะเป็นต่อรูปหล่อเอาไว้ทีหลัง นี่คงเที่ยวไปพูดกับสาว ๆ ในเน็ตมาหลายคนแล้วล่ะสิ แต่เสียใจนะฉันไม่หลงคารมตำรวจอย่างคุณหรอก เพราะฉันเชื่อในคำโบราณสี่อย่างที่เขาพูดเอาไว้มันยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน’

ฉันตอบกลับไปอย่างหมั่นไส้ที่สุด อยากเห็นตัวจริงของเขามาก ๆ จะหน้าตาดีขนาดไหน ถึงเที่ยวหยอดคำหวานได้ไม่หยุดตั้งแต่วันแรกที่คุยกันจนวันนี้ก็นับไม่ถ้วน ฉันคิดว่าเป็นพวกคารมเป็นต่อรูปหล่อไม่มีมากกว่า

‘คุณรู้ได้ไงว่าผมปากหวานเคยชิมมาแล้วหรือไง’

‘บ้า ใครจะไปอยากชิมอย่ากวนให้มากได้ไหม อย่าทะลึ่งด้วยไม่ค่อยชอบ ถ้าอยากคุยกันต่อก็อย่าทะลึ่ง’ ฉันแหวอย่างหงุดหงิด มือก็กดแป้นพิมพ์แบบสัมผัสรัว ๆ พิมพ์ข้อความต่อว่ากลับไป

‘โอเค ๆ ดุจังแม่เสือสาว’ ได้อ่านข้อความของเขาที่ตอบกลับมาแล้วก็ต้องกลอกตามองบนถอนหายใจอีก

‘แล้วกระผมจะจำเอาไว้ครับ ว่าแต่สี่อย่างที่ว่าไว้ใจไม่ได้คือช้างสารงูเห่าข้าเก่าเมียรักใช่ไหม ผมเข้าใจ ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน’

‘เปล่าสี่อย่างที่ว่าคือรถไฟเรือเมล์ลิเกตำรวจต่างหากล่ะ แค่นี้ก่อนนะนี่ก็กินเวลามากแล้ว ขืนฉันลงไปสายแม้แต่นาทีเดียวมีหวังคุณแม่ได้กินหัวฉันแน่’

ลิปดาส่งเลขห้ามาหลายตัวพร้อมข้อความ ‘โอเค...บายครับ’ ฉันอ่านข้อความสุดท้ายจากเขาจากนั้นก็ออฟไลน์แล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัว

....


ภายในโรงแรมสุดหรูย่านแม่น้ำเจ้าพระยาฉันเดินเคียงคู่มากับคุณนายศจี คุณนายย้ำเตือนตลอดเวลาระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันว่า อย่าทำให้เธอเสียหน้าไม่อย่างนั้นฉันจะต้องรับโทษสถานหนักเมื่อกลับมาถึงบ้าน

เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ และฉันก็ไม่เคยทำให้คุณนายผิดหวังเลยสักครั้ง เผลอ ๆ อาจจะสร้างภาพเก่งกว่าด้วยซ้ำ

เราสองคนเดินเคียงคู่ประหนึ่งแม่ลูกกันจริง ๆ เข้ามาในงานสมาคมของพวกคุณหญิงคุณนาย เป็นงานที่พวกไฮโซรวมตัวกันจัดขึ้น จุดประสงค์จริง ๆ น่ะหรือ ฉันคิดว่าก็แค่อยากมาโอ้อวดฐานะความเป็นอยู่หรือไม่ก็มาจับคู่ให้ลูกสาวลูกชายตัวเองเท่านั้นละ

อย่างคู่ของฉันกับพี่อาวุธก็ถูกคุณนายนั่นละจับคู่ให้ แต่คู่ของเราต่างกันที่เราสองคนพอใจซึ่งกันและกันไม่ได้ถูกคลุมถุงชน เราสองคนคบกันมาก่อนที่จะทราบว่าทั้งสองครอบครัวรู้จักกันเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ทำให้คุณนายศจีพอใจเป็นอย่างมาก เพราะจะได้ให้ครอบครัวของพี่อาวุธเกื้อหนุนธุรกิจของคุณพ่อ

แต่พอฉันถูกพี่อาวุธหักหลังก็โดนคุณนายศจีด่าสาดเสียเทเสียว่าโง่ให้ผู้ชายหลอกได้ง่าย ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าตนเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย แท้จริงแล้วฉันว่าคุณนายเสียหน้าและเสียดายเงินของครอบครัวนั้นมากกว่า

คุณนายพาฉันเดินไปพบปะเพื่อน ๆ ของตนเองในงาน บางคนที่มีฐานะต่ำกว่าครอบครัวของเรา คุณนายก็ทำเป็นหน้าเชิดคอตั้ง ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไป แต่พอเจอกับใครที่เหนือกว่า คุณนายก็มักจะรีบเข้าไปพะเน้าพะนอคุยด้วยอย่างเป็นมิตร

ระหว่างนั้นคุณหญิงวิมลก็เดินมาทักทายด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากว่าจะหลบเลี่ยงก็ไม่ทันเสียแล้ว คุณหญิงวิมลเป็นแม่ของพี่อาวุธ เมื่อคุณนายศจีเห็นว่าใครเดินมาหาตนก็หน้าตั้งคอเชิดไม่ยอมมองหน้าคนมาหา

“คุณพี่เป็นยังไงบ้างคะ น้องไม่เจอเสียนานเลยสบายดีนะคะ” คุณหญิงวิมลเอ่ยถามด้วยใบหน้าปั้นยิ้มแต่แววตาเศร้า ก่อนจะหันมายิ้มให้กับฉันที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

ฉันเข้าใจและสงสารคุณหญิงวิมลมาก ความผิดของพี่อาวุธไม่เกี่ยวกับใครเลย ไม่มีใครคาดคิดว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาเป็นอย่างนี้ โดยเฉพาะฉันที่ไว้ใจมากเกินไปจนไม่คิดเผื่อใจ

คุณนายศจีเหยียดยิ้ม “สบายกายก็คงสบายอยู่หรอกค่ะแต่ใจนี่สิ...” คุณนายหยุดพูดจากที่หน้าตั้งคอเชิดก็เปลี่ยนมาเป็นจ้องมองคู่สนทนาไม่วางตา

“น้องต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ค่ะ น้องยังอยากได้หนูไมล์มาเป็นลูกสะใภ้เหมือนเดิม แต่ตาวุฒิก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ตาวุฒิไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น หากคุณพี่กับลูกสาวจะให้โอกาสตาวุฒิก็พร้อมปรับปรุงตัวเองค่ะ” คุณหญิงวิมลอธิบาย

คุณนายศจีเหยียดยิ้มแต่แววตาแข็งกร้าวจ้องมองคู่สนทนา

“ถึงยัยไมล์จะเป็นเพียงลูกเลี้ยงของฉันแต่ฉันก็เลี้ยงดูบ่มเพาะขัดเกลามา ไมล์เป็นลูกสาวของคุณวินัยก็เหมือนเป็นลูกสาวของฉันด้วย ลูกสาวของฉันเจ็บคนเป็นแม่เลี้ยงอย่างฉันก็เจ็บ คนเป็นลูกสาวเสียใจฉันก็ย่อมเสียใจด้วย ลูกสาวของฉันเสียหน้าเสียหายฉันก็ย่อมเป็นด้วย” คุณนายหยุดพูดเหมือนกำลังดูพฤติกรรมของคู่สนทนาอยู่ พอไม่มีอะไรคุณนายจึงพูดต่อ

“คุณหญิงยังคิดว่าฉันสมควรจะให้ลูกสาวของตัวเองกลับไปรับของเหลือ ๆ จากคนอื่นด้วยเหรอคะ คนสวยและเก่งอย่างยัยไมล์ อ่อตระกูลฉัตรบดินทร์ของฉันมีสิทธิ์เลือกค่ะ ขอตัวไปทักทายคนอื่น ๆ นะคะ” พูดจบคุณนายก็ดึงแขนของฉันเดินพรวดจากมา ไม่สนใจว่าคุณหญิงวิมลจะรู้สึกแบบไหนก็ตาม

ฉันยอมรับว่าอึ้งและขอบคุณคุณนายมากที่ปกป้อง นี่เป็นครั้งแรกที่คุณนายออกตัวปกป้องฉัน รู้สึกว่าตนเองกำลังซึ้งใจมากจริง ๆ

ก็ตั้งแต่ที่คุณนายรู้ความจริงว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไหมของฉันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องทางใจต่อกัน คุณนายก็เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง แม้จะยังปากร้ายแต่ทว่าบางอย่างฉันก็รับรู้ได้ว่าคุณนายเริ่มยอมรับในตัวกาฝากอย่างฉันบ้างแล้ว

อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่รู้ความจริงมีหรือคนอย่างคุณนายจะออกโรงปกป้องฉัน แม้จะไม่ยอมเสียหน้าอย่างที่พูดไปก็ตาม คุณนายก็มีวิธีจัดการเอง

“ต่อไปถ้าจะเลือกคบใครก็ดูดี ๆ อย่าทำให้ฉันต้องขายขี้หน้าใครอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดเธออกจากกองมรดก ไล่เธอออกจากบ้านของฉัน หึ” คุณนายกระซิบข้างหูของฉันก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปหาเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ปล่อยให้ฉันยืนอึ้งอยู่คนเดียว

กองมรดกอย่างนั้นหรือ เมื่อก่อนคุณนายไม่เคยพูดถึงเสียด้วยซ้ำ และพร่ำบอกย้ำเตือนฉันเสมอว่าของทุกอย่างในบ้านฉัตรบดินทร์เป็นทรัพย์สินของคุณนายทั้งหมดฉันไม่มีสิทธิ์ แต่วันนี้คุณนายพูดถึงเรื่องมรดก จะตัดฉันออกจากกองมรดกก็แปลว่า...ฉันยิ้มก่อนจะเดินไปหามุมนั่งคนเดียวเงียบ ๆ รอคุณนายชวนกลับบ้าน ไม่อยากปั้นหน้ากับใครอีก

“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” เสียงที่คุ้นเคยมากเอ่ยขออนุญาต พอเงยหน้ามองว่าเป็นใครก็เป็นพี่อาวุธจริง ๆ

“พี่วุฒิมาด้วยเหรอคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุด มองด้วยแววตาเฉยชาและทำตัวให้ห่างเหินที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แล้วภรรยาล่ะคะใกล้จะคลอดหรือยัง” เจ็บปวดกับคำถามของตนเองไม่น้อยแต่จะไม่แสดงอาการออกมาเด็ดขาด

พี่วุฒินิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “เขาใกล้จะคลอดแล้วแต่เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่รับผิดชอบแค่ลูกเท่านั้น”

“เหรอคะ แต่ดูคุณทอฝันเขารักพี่วุฒิมากนะคะ และการที่พี่วุฒิมาคุยกับถ่านไฟเก่าอย่างนี้คุณทอฝันรู้คงไม่ชอบใจ ยิ่งท้องยิ่งไส้อยู่เครียดมาก ๆ จะไม่ดีต่อลูกในท้องค่ะ” ฉันประชดเสียดสีแต่ก็เป็นไปด้วยความห่วงใยลูกของเขา บางครั้งก็นึกสงสารคุณทอฝันเหมือนกันที่ต้องมาเจอกับผู้ชายอย่างพี่อาวุธ

พี่อาวุธเอื้อมมือมากุมมือของฉันแต่ว่าฉันรีบชักมือออกอย่างรวดเร็วทำเอาพี่อาวุธอึ้งไม่น้อย

“พี่รักไมล์ พี่...พี่ขอโทษ”

“เลิกขอโทษไมล์แล้วเอาเวลาไปใส่ใจลูกเมียดีกว่าค่ะ ถ้าคุณแม่เห็นไมล์นั่งคุยกับพี่วุฒิแบบนี้คุณแม่โกรธไมล์แย่เลย ไมล์ขอตัวนะคะ” ฉันพูดจบก็รีบลุกพรวดจากเก้าอี้หันหลังเดินจากอดีตรักร้าวมา

น้ำตาของฉันเอ่อขอบตาจึงรีบเช็ดออกไม่ให้ใครเห็น ทว่าระหว่างที่ทั้งเดินทั้งเช็ดน้ำตาไปด้วยนั้นก็เกิดเหตุชวนน่าอายขึ้น ฉันเดินไปชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย!!!” เราสองคนร้องอุทานพร้อมกัน

ฉันเงยหน้ามองคนที่ตัวเองเดินชน เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนสมาร์ต ใบหน้าเกลี้ยงเกลานัยน์ตาสีสนิมคมดุแต่ก็ดูอบอุ่น

ผิวกายที่โผล่พ้นสูทราคาแพงเผยให้เห็นขาวเนียน ผู้ชายอะไรดูหล่อเนี้ยบเป็นบ้า ฉันเห็นแวบแรกรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เรื่องเสน่ห์คงไม่ต้องพูดถึงคงจะแพรวพราวสาวติดตรึม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่