เราทำงานอยู่หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งเป็นเวลา 6 ปี เคยย้ายงานภายในหน่วยงาน 1 ครั้ง (ย้ายเพราะถูกหัวหน้าอคติและกลั่นแกล้ง) ตอนนี้เราทำงานปัจจุบันในแผนกใหม่ได้ 3 ปีแล้ว ค่อนข้างเอือมระอากับนิสัยของหัวหน้า เพราะหัวหน้าดูจะไม่ให้เกียรติเรื่องเวลาส่วนตัวของเรา
1. ชอบเรียกเราคุยงานตอนใกล้เวลาเลิกงาน หรือตอนที่เรากำลังจะกลับบ้าน แล้วก็คุยจนเลยเวลาเลิกงานไปเยอะ แต่พอเป็นในเวลางาน เราจะเข้าไปคุยงานกับเขา เขากลับไม่คุย บอกว่าไม่ว่าง นึกอยากเรียกคุยเมื่อไหร่ก็เรียก ไม่สนว่าเราพร้อมหรือไม่
2. ชอบไลน์/โทรมาสั่งงานหรือถามงานเรานอกเวลาทำงาน หรือในวันหยุด หรือในวันที่เราลา ในวันปกติหัวหน้าจะเลิกงานเลท 3 ชม. และวันเสาร์บางครั้งเขาก็จะมาทำงาน (เสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุด) และช่วงเวลานี้ถ้าเขาเกิดมีข้อสงสัยอะไรในงานเรา หรืออยากสั่งงานเรา เขาก็จะไลน์หรือโทรหาเรา ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นเวลาส่วนตัวของเรา เช่น สั่งให้เราสรุปงานมาคุยกับเขาพรุ่งนี้เช้า แต่สั่งวันนี้ตอนค่ำ เรากลับบ้านแล้ว และเราต้องใช้เวลาสรุปงานเป็นชั่วโมงๆ กลายเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราต้องรีบล่กๆ ไปสรุปงานให้เขา แถมพอสรุปแล้วหัวหน้าไม่ถูกใจ เราก็โดนบ่นอีก
3. อยากเร่งงานเราเมื่อไหร่ก็เร่ง ปกติเราจะมีงานเยอะมาก เยอะจนทำไม่ทัน และไม่มีคนช่วย เราก็จะต้องลำดับความสำคัญของงาน งานไหนเร่งด่วนกว่าก็จะทำก่อน ทยอยทำไป แต่หัวหน้าเราไม่ใช่แบบนั้น เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่างานไหนสำคัญสำหรับเขา เขาจะมาเร่งให้เราทำงานนั้น จนงานมันผิดแผนไปจากที่เราวางไว้ เราต้องสละเวลาส่วนตัวมาทำ เพราะในเวลางานเราต้องทำทั้งงานที่หัวหน้าเร่งไปพร้อมกับงานที่มันเร่งด่วนจริงๆด้วย และงานเราต้องดีลกับคนนอกหน่วยงาน บางคนให้ความร่วมมือ บางคนไม่ให้ความร่วมมือ มีปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกซึ่งเราคุมไม่ได้เยอะ หัวหน้าก็เร่งจะเอางานให้ได้ จนเราเครียดไปหมด
4. หัวหน้ารับงานทุกอย่างที่ผู้บริหารสั่งมา ไม่เคยปฏิเสธ ผู้บริหารสั่งอะไรมาก็ "ได้ค่ะ/รับทราบค่ะ" ตลอด แล้วตัวเองก็ทำคนเดียวไม่ไหว จนต้องกระจายงานให้ลูกน้อง เราคิดว่ามันไม่โอเค ผู้บริหารไม่ได้มารับรู้ว่าคนถูกสั่งจะทำไหวหรือเปล่า หรือมีจำนวนคนทำงานอยู่กี่คน แต่หัวหน้าที่รู้ศักยภาพของตัวเองและลูกน้องควรมีวิธีการสื่อสารกับผู้บริหารบ้างว่ารับงานไหวแค่ไหน ถ้ามันมากเกินก็ควรขอกำลังคนเพิ่ม แต่หัวหน้าเราไม่ทำ รับมาทุกอย่าง ไม่กล้าปฏิเสธ อ้างว่าระบบอาวุโสมันเยอะ ปฏิเสธไม่ได้ กลัวตกงาน
5. จากทุกข้อที่กล่าวมา หัวหน้ารู้อยู่แก่ใจว่าเรางานยุ่งจนทำไม่ทัน วันไหนเราลางาน แล้วมีงานเราเข้ามา เขาก็ต้องทำแทนเรา ซึ่งดูๆแล้วเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะงานของเขาเองก็เยอะจนตัวเขาเครียดเหมือนกัน เขาบอกให้เราไปลิสต์และคำนวณภาระงานของเรามาให้เห็นว่างานเรามันเยอะกว่าที่จะทำไหวในคนเดียว แต่ที่ผ่านมาเราเคยลิสต์ไปแล้ว และพอคำนวณออกมาว่าปริมาณงานเยอะเกินสำหรับ 1 คน หัวหน้าก็สั่งให้เราปรับลดจนกลายเป็นข้อมูลเท็จ และพอมาตอนนี้ก็จะให้เราทำใหม่ ซึ่งสำหรับเรา บางครั้งสาเหตุของการทำงานไม่ทัน ก็ไม่ได้เกิดจากงานเยอะเสมอไป แต่เกิดจากหัวหน้าเที่ยวมาเร่งให้ทำงานที่มันอยู่นอกแผนเรา แต่ให้เวลาทำน้อยจนเราทำไม่ทันในเวลางาน
เดี๋ยวจะหาว่าเราพูดแต่ในมุมตัวเอง เอามุมลูกน้องคนอื่นๆบ้าง เท่าที่เราฟังเสียงบ่นของลูกน้องคนอื่นๆมาตลอด 3 ปี พวกเขาจะพูดถึงหัวหน้าเราประมาณว่า "เขาคิดว่าตัวเขาเก่งที่สุด ถูกต้องที่สุด มีเหตุผลที่สุด คนอื่นๆไม่เก่งหรือดีเท่าเขาหรอก / รับงานมาเองทั้งหมด แต่คนซวยคือลูกน้อง" หรือเอาในมุมหัวหน้าที่ชอบบ่นเรื่องลูกน้องให้เราฟังบ้าง เขาชอบพูดประมาณว่า "พี่นี่อยากลาออกจากการเป็นหัวหน้าแล้วไปเป็นลูกน้องแทนจัง / หนักใจกับลูกน้องแต่ละคน / ก็ผู้บริหารสั่งงานมา จะให้พี่ทำไง พี่ก็ไม่ได้อยากทำนะ ปฏิเสธได้เหรอ ถ้าไม่ทำก็ต้องเตรียมหางานใหม่ / มีอะไรก็เอาเหตุผลและงานมาคุยกัน ไม่เอาอารมณ์และความรู้สึกมาคุย พี่รับฟังแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น"
ก่อนที่เราจะมาทำงานในหน่วยงานรัฐ เราเคยทำงานในหน่วยงานเอกชนมาก่อนหลายที่ หัวหน้าเราค่อนข้างมองหน่วยงานเอกชนในแง่ลบ บอกว่าไม่มั่นคง เจอความกดดันเยอะ ถ้าไม่เก่งจริงอยู่ไม่ได้หรอก (เรื่องนี้เราก็รู้ แต่ข้อดีมันก็มี) ที่แน่ๆคือเราไม่เคยเจอปัญหาที่เล่ามาในหน่วยงานเอกชน ไม่เคยเจอหัวหน้าสั่งงานนอกเวลา แทบไม่เคยต้องเลิกงานเลทเป็นชั่วโมง (ถ้าเลทก็เพราะงานที่ทำอยู่มันติดพัน ไม่ใช่เลทเพราะอยู่ๆหัวหน้าก็อยากจะเอางานั้นงานนี้) หัวหน้าค่อนข้างเคารพเวลาส่วนตัวของลูกน้อง วันหยุดวันลาก็ได้หยุดพักผ่อนจริงๆ ไม่ใช่ต้องเอางานมาทำเหมือน WFH
เราไม่ค่อยอยากไปสอบเข้ารับราชการ เพราะถ้าไปสอบตอนนี้ เราต้องไปเริ่มสตาร์ทเงินเดือนใหม่ที่ 15K (ตอนนี้เงินเดือนเรา 25K แต่ไม่ได้เป็นข้าราชการ) และบางครั้งเราก็รู้สึกอยากย้ายงานภายในหน่วยงานอีกครั้ง แต่ดูแล้วไม่ง่ายเลย เพราะการจะย้ายงาน หัวหน้าเราต้องอนุมัติก่อน ถ้าไม่อนุมัติก็ย้ายไม่ได้ ซึ่งแผนกงานที่เราทำอยู่ตอนนี้ขาดคนตั้ง 2 คน และก็หาคนยากมาก เปิดรับสมัครไปหลายรอบก็ยังหาคนไม่ได้ (แต่ไม่ได้รับมาช่วยงานเรา) หัวหน้าเราเคยพูดเรื่องการย้ายงานว่า ถ้าเป็นลูกน้องที่ขยันทำงาน เขาไม่ยอมเสียไปให้คนอื่นหรอก แต่ถ้าเป็นลูกน้องที่ไม่ขยันหรือไม่น่ารัก เขาจะไม่รั้ง ซึ่งเราถือเป็นลูกน้องที่ขยันทำงานคนหนึ่ง จึงคิดว่าหัวหน้าคงไม่อนุมัติให้ย้ายงานได้ง่ายๆ ข้อดีของหัวหน้าคนนี้คือไม่เอาเปรียบลูกน้อง ลูกน้องทำงานหนักมาก เขาก็ทำงานหนักมากเช่นกัน และเวลาถึงช่วงประเมินผลงาน เขาจะให้คะแนนลูกน้องทุกคนค่อนข้างดี (แต่คะแนนประเมินไม่มีผลต่อการขึ้นเงินเดือนสักเท่าไหร่) และในเวลางานหากลูกน้องจะขอแวบไปทำธุระส่วนตัวสัก 2-3 ชม. เขาก็ไม่ขัดข้อง สรุปคือถ้าไม่นับเรื่องงาน ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่น่ารักมากๆคนหนึ่ง
ตอนนี้เราจึงคิดเรื่องการย้ายหน่วยงานมากกว่า เคยคิดว่าถ้าไปทำงานในหน่วยงานเอกชนจะดีกว่าไหม ถ้าทำงานในหน่วยงานรัฐแล้วเหนื่อยขนาดนี้ เราอายุ 30+ แล้ว คิดยากเหมือนกันว่าถ้าไม่ทำงานที่นี่แล้วจะไปทำงานที่ไหนดี จะมีหน่วยงานเอกชนที่ไหนอยากรับเราในอัตราเงินเดือนเริ่มต้น 25K แล้วได้มีวันหยุดเหมือนหน่วยงานรัฐบ้าง ยังคิดไม่ออก เคยลงประวัติใน Linkedin แล้วก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อมา จึงยังต้องทนทำงานที่เดิมต่อไป
เราควรย้ายงานไปทำเอกชนแทนหน่วยงานรัฐดีไหม
1. ชอบเรียกเราคุยงานตอนใกล้เวลาเลิกงาน หรือตอนที่เรากำลังจะกลับบ้าน แล้วก็คุยจนเลยเวลาเลิกงานไปเยอะ แต่พอเป็นในเวลางาน เราจะเข้าไปคุยงานกับเขา เขากลับไม่คุย บอกว่าไม่ว่าง นึกอยากเรียกคุยเมื่อไหร่ก็เรียก ไม่สนว่าเราพร้อมหรือไม่
2. ชอบไลน์/โทรมาสั่งงานหรือถามงานเรานอกเวลาทำงาน หรือในวันหยุด หรือในวันที่เราลา ในวันปกติหัวหน้าจะเลิกงานเลท 3 ชม. และวันเสาร์บางครั้งเขาก็จะมาทำงาน (เสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุด) และช่วงเวลานี้ถ้าเขาเกิดมีข้อสงสัยอะไรในงานเรา หรืออยากสั่งงานเรา เขาก็จะไลน์หรือโทรหาเรา ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นเวลาส่วนตัวของเรา เช่น สั่งให้เราสรุปงานมาคุยกับเขาพรุ่งนี้เช้า แต่สั่งวันนี้ตอนค่ำ เรากลับบ้านแล้ว และเราต้องใช้เวลาสรุปงานเป็นชั่วโมงๆ กลายเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราต้องรีบล่กๆ ไปสรุปงานให้เขา แถมพอสรุปแล้วหัวหน้าไม่ถูกใจ เราก็โดนบ่นอีก
3. อยากเร่งงานเราเมื่อไหร่ก็เร่ง ปกติเราจะมีงานเยอะมาก เยอะจนทำไม่ทัน และไม่มีคนช่วย เราก็จะต้องลำดับความสำคัญของงาน งานไหนเร่งด่วนกว่าก็จะทำก่อน ทยอยทำไป แต่หัวหน้าเราไม่ใช่แบบนั้น เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่างานไหนสำคัญสำหรับเขา เขาจะมาเร่งให้เราทำงานนั้น จนงานมันผิดแผนไปจากที่เราวางไว้ เราต้องสละเวลาส่วนตัวมาทำ เพราะในเวลางานเราต้องทำทั้งงานที่หัวหน้าเร่งไปพร้อมกับงานที่มันเร่งด่วนจริงๆด้วย และงานเราต้องดีลกับคนนอกหน่วยงาน บางคนให้ความร่วมมือ บางคนไม่ให้ความร่วมมือ มีปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกซึ่งเราคุมไม่ได้เยอะ หัวหน้าก็เร่งจะเอางานให้ได้ จนเราเครียดไปหมด
4. หัวหน้ารับงานทุกอย่างที่ผู้บริหารสั่งมา ไม่เคยปฏิเสธ ผู้บริหารสั่งอะไรมาก็ "ได้ค่ะ/รับทราบค่ะ" ตลอด แล้วตัวเองก็ทำคนเดียวไม่ไหว จนต้องกระจายงานให้ลูกน้อง เราคิดว่ามันไม่โอเค ผู้บริหารไม่ได้มารับรู้ว่าคนถูกสั่งจะทำไหวหรือเปล่า หรือมีจำนวนคนทำงานอยู่กี่คน แต่หัวหน้าที่รู้ศักยภาพของตัวเองและลูกน้องควรมีวิธีการสื่อสารกับผู้บริหารบ้างว่ารับงานไหวแค่ไหน ถ้ามันมากเกินก็ควรขอกำลังคนเพิ่ม แต่หัวหน้าเราไม่ทำ รับมาทุกอย่าง ไม่กล้าปฏิเสธ อ้างว่าระบบอาวุโสมันเยอะ ปฏิเสธไม่ได้ กลัวตกงาน
5. จากทุกข้อที่กล่าวมา หัวหน้ารู้อยู่แก่ใจว่าเรางานยุ่งจนทำไม่ทัน วันไหนเราลางาน แล้วมีงานเราเข้ามา เขาก็ต้องทำแทนเรา ซึ่งดูๆแล้วเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะงานของเขาเองก็เยอะจนตัวเขาเครียดเหมือนกัน เขาบอกให้เราไปลิสต์และคำนวณภาระงานของเรามาให้เห็นว่างานเรามันเยอะกว่าที่จะทำไหวในคนเดียว แต่ที่ผ่านมาเราเคยลิสต์ไปแล้ว และพอคำนวณออกมาว่าปริมาณงานเยอะเกินสำหรับ 1 คน หัวหน้าก็สั่งให้เราปรับลดจนกลายเป็นข้อมูลเท็จ และพอมาตอนนี้ก็จะให้เราทำใหม่ ซึ่งสำหรับเรา บางครั้งสาเหตุของการทำงานไม่ทัน ก็ไม่ได้เกิดจากงานเยอะเสมอไป แต่เกิดจากหัวหน้าเที่ยวมาเร่งให้ทำงานที่มันอยู่นอกแผนเรา แต่ให้เวลาทำน้อยจนเราทำไม่ทันในเวลางาน
เดี๋ยวจะหาว่าเราพูดแต่ในมุมตัวเอง เอามุมลูกน้องคนอื่นๆบ้าง เท่าที่เราฟังเสียงบ่นของลูกน้องคนอื่นๆมาตลอด 3 ปี พวกเขาจะพูดถึงหัวหน้าเราประมาณว่า "เขาคิดว่าตัวเขาเก่งที่สุด ถูกต้องที่สุด มีเหตุผลที่สุด คนอื่นๆไม่เก่งหรือดีเท่าเขาหรอก / รับงานมาเองทั้งหมด แต่คนซวยคือลูกน้อง" หรือเอาในมุมหัวหน้าที่ชอบบ่นเรื่องลูกน้องให้เราฟังบ้าง เขาชอบพูดประมาณว่า "พี่นี่อยากลาออกจากการเป็นหัวหน้าแล้วไปเป็นลูกน้องแทนจัง / หนักใจกับลูกน้องแต่ละคน / ก็ผู้บริหารสั่งงานมา จะให้พี่ทำไง พี่ก็ไม่ได้อยากทำนะ ปฏิเสธได้เหรอ ถ้าไม่ทำก็ต้องเตรียมหางานใหม่ / มีอะไรก็เอาเหตุผลและงานมาคุยกัน ไม่เอาอารมณ์และความรู้สึกมาคุย พี่รับฟังแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น"
ก่อนที่เราจะมาทำงานในหน่วยงานรัฐ เราเคยทำงานในหน่วยงานเอกชนมาก่อนหลายที่ หัวหน้าเราค่อนข้างมองหน่วยงานเอกชนในแง่ลบ บอกว่าไม่มั่นคง เจอความกดดันเยอะ ถ้าไม่เก่งจริงอยู่ไม่ได้หรอก (เรื่องนี้เราก็รู้ แต่ข้อดีมันก็มี) ที่แน่ๆคือเราไม่เคยเจอปัญหาที่เล่ามาในหน่วยงานเอกชน ไม่เคยเจอหัวหน้าสั่งงานนอกเวลา แทบไม่เคยต้องเลิกงานเลทเป็นชั่วโมง (ถ้าเลทก็เพราะงานที่ทำอยู่มันติดพัน ไม่ใช่เลทเพราะอยู่ๆหัวหน้าก็อยากจะเอางานั้นงานนี้) หัวหน้าค่อนข้างเคารพเวลาส่วนตัวของลูกน้อง วันหยุดวันลาก็ได้หยุดพักผ่อนจริงๆ ไม่ใช่ต้องเอางานมาทำเหมือน WFH
เราไม่ค่อยอยากไปสอบเข้ารับราชการ เพราะถ้าไปสอบตอนนี้ เราต้องไปเริ่มสตาร์ทเงินเดือนใหม่ที่ 15K (ตอนนี้เงินเดือนเรา 25K แต่ไม่ได้เป็นข้าราชการ) และบางครั้งเราก็รู้สึกอยากย้ายงานภายในหน่วยงานอีกครั้ง แต่ดูแล้วไม่ง่ายเลย เพราะการจะย้ายงาน หัวหน้าเราต้องอนุมัติก่อน ถ้าไม่อนุมัติก็ย้ายไม่ได้ ซึ่งแผนกงานที่เราทำอยู่ตอนนี้ขาดคนตั้ง 2 คน และก็หาคนยากมาก เปิดรับสมัครไปหลายรอบก็ยังหาคนไม่ได้ (แต่ไม่ได้รับมาช่วยงานเรา) หัวหน้าเราเคยพูดเรื่องการย้ายงานว่า ถ้าเป็นลูกน้องที่ขยันทำงาน เขาไม่ยอมเสียไปให้คนอื่นหรอก แต่ถ้าเป็นลูกน้องที่ไม่ขยันหรือไม่น่ารัก เขาจะไม่รั้ง ซึ่งเราถือเป็นลูกน้องที่ขยันทำงานคนหนึ่ง จึงคิดว่าหัวหน้าคงไม่อนุมัติให้ย้ายงานได้ง่ายๆ ข้อดีของหัวหน้าคนนี้คือไม่เอาเปรียบลูกน้อง ลูกน้องทำงานหนักมาก เขาก็ทำงานหนักมากเช่นกัน และเวลาถึงช่วงประเมินผลงาน เขาจะให้คะแนนลูกน้องทุกคนค่อนข้างดี (แต่คะแนนประเมินไม่มีผลต่อการขึ้นเงินเดือนสักเท่าไหร่) และในเวลางานหากลูกน้องจะขอแวบไปทำธุระส่วนตัวสัก 2-3 ชม. เขาก็ไม่ขัดข้อง สรุปคือถ้าไม่นับเรื่องงาน ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่น่ารักมากๆคนหนึ่ง
ตอนนี้เราจึงคิดเรื่องการย้ายหน่วยงานมากกว่า เคยคิดว่าถ้าไปทำงานในหน่วยงานเอกชนจะดีกว่าไหม ถ้าทำงานในหน่วยงานรัฐแล้วเหนื่อยขนาดนี้ เราอายุ 30+ แล้ว คิดยากเหมือนกันว่าถ้าไม่ทำงานที่นี่แล้วจะไปทำงานที่ไหนดี จะมีหน่วยงานเอกชนที่ไหนอยากรับเราในอัตราเงินเดือนเริ่มต้น 25K แล้วได้มีวันหยุดเหมือนหน่วยงานรัฐบ้าง ยังคิดไม่ออก เคยลงประวัติใน Linkedin แล้วก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อมา จึงยังต้องทนทำงานที่เดิมต่อไป