ไวรัสตับอักเสบ ต้นเหตุของมะเร็งตับ

ตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบเกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับผิดปกติ นำไปสู่การเจ็บป่วยไม่สบาย 
 ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ขณะที่ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา คือ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ exclaim

วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้   ideaไวรัสตับอักเสบ ต้นเหตุของมะเร็งตับidea

ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ 
เมื่อเชื้อเข้าไปในร่างกาย อาการจะไม่รุนแรง ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบแล้ว 
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี จะทราบได้ก็ต่อเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ 
และตรวจเลือดพบการติดเชื้อ ด้วยความที่ไม่ปรากฏอาการ หรืออยู่ในช่วงโรคสงบหรือการอักเสบไม่มากมักไม่ก่อให้เกิดอาการที่ชัดเจน

ไวรัสตับอักเสบมี 5 ชนิด ได้แก่ A B C D และ E โดยจะมีลักษณะการติดต่อที่แตกต่างกันไปตามชนิด 
ไวรัสตับอักเสบ A  พบได้บ่อย  สามารถติดต่อผ่านการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ดีซ่าน
ไวรัสตับอักเสบเอ ไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่ป้องกันได้โดยการดูแลความสะอาดสม่ำเสมอ และการฉีดวัคซีน
ไวรัสตับอักเสบ B  พบได้บ่อย ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
การติดต่อ มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการติดเชื้อ HIV โดยติดต่อทางเลือด ทางเข็ม ทางเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูก
ผู้ได้รับเชื้อมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบรุนแรง ตับอักเสบเรื้อรัง และร้ายแรงจนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบ C ภาวะการอักเสบของตับเรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืดในตับ จนกลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ
สามารถติดต่อได้จากการติดเชื้อทางเลือด เข็มฉีดยา ทางเพศสัมพันธ์ ส่วนมากมักไม่แสดงอาการทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกาย
ไวรัสตับอักเสบ D เป็นไวรัสตับอักเสบที่พบได้น้อย เมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี  
เป็นไวรัสที่ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบ บี แม้ว่าจะมีโอกาสเกิดอาการตับอักเสบได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นแล้ว 
อาการจะลุกลามรวดเร็ว และรุนแรงมากกว่าผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น 10 เท่า 80% ของผู้ที่มีอาการจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน
ไวรัสตับอักเสบ E เกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ ติดต่อจากสัตว์ที่มีเชื้อ การถ่ายเลือดกับผู้ติดเชื้อ 
และติดต่อจากแม่สู่ลูก ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน 
นอกจากทำให้เกิดตับอักเสบแบบเฉียบพลันแล้ว ยังทำให้เกิดตับอักเสบแบบเรื้อรัง และตับแข็งได้อีกด้วย



ideaผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และซีส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ
จะดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจมีอาการน้อยและอาการเหมือนโรคทั่วไป เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน
ปัสสาวะสีเข้ม เป็นต้น จึงไม่ได้สนใจ หากไม่ได้ไปพบแพทย์หรือตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง
จนโรคจะดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะตับแข็ง และส่งผลทำให้เกิดโรคมะเร็งตับในที่สุด

ideaการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ในเบื้องต้นสามารถทำเองได้โดยการสังเกตอาการที่เกิดขึ้น
เช่น ปวดท้อง มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งหากผู้ป่วยพบว่าตัวเองมีโอกาส มีความเสี่ยง
หรือพบว่ามีอาการของไวรัสตับอักเสบ ให้ไปพบแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด การตรวจอัลตราซาวด์ตับและการตรวจพังผืดในตับ (Fibroscan)

ideaการรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน ซึ่งสามารถหายได้เอง
แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัว เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูง
และดื่มน้ำในปริมาณมากๆ เพราะร่างกายกำลังต่อสู้ในการกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่
หากได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง 
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคตับที่รุนแรง และป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น 
โดยการรักษานั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วย ใช้การรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส ยาอินเตอร์เฟอรอน เป็นต้น
การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด 
การรักษาขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของตับ ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสชนิดรับประทานที่ได้ผลดี 
สามารถรักษาจนหายขาดได้ ถ้าหากตับวาย หรือมะเร็งตับ แพทย์จะไม่รักษาด้วยยารักษาไวรัสตับอักเสบซี 
เพราะจะเน้นที่การรักษามะเร็งมากกว่า หรือหากมีภาวะตับวายการรักษาจะมีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

loveการดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับอักเสบlove
ควรรับประทานอาหารเหมาะสม เป็นอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาดและครบทุกหมู่
หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพร ยาลูกกลอนและอาหารเสริมจำนวนมาก
ผู้ป่วยตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรง
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ทุกชนิด
ออกกำลังกายสม่ำเสมอผู้ป่วยตับอักเสบควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมเหมาะกับวัย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ
ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา
ควรตรวจเลือดทุก 3-6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่การเจาะ สักผิวหนัง การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก และป้องกันความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์
หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ 
เพื่อป้องกันทารกการติดเชื้อ
การฉีดวัคซีน โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จะมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ม (0,1,6 เดือน) 
สามารถสร้างภูมิต้านทานได้มากกว่าร้อยละ 95 ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต รวมทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอด้วยเช่นกัน

ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=t_jJZTZ0uK4
https://www.thonburihospital.com/specialisecenter/gastrointestinal-liver-center/
https://www.thonburihospital.com/package/pk_health_check/

lovelove
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่