JJNY : ศิริกัญญาเหน็บรบ.เศรษฐา│จีนพลาดเป้าวีซ่าฟรีไม่ช่วย│ชี้ปี’67 ค่าแรงขึ้น-สินค้าจีนทะลัก│อิสราเอลโจมตีภาคตอ.ซีเรีย

ศิริกัญญา เหน็บ รบ.เศรษฐา จัดงบไม่ต่างบิ๊กตู่ พบซ้ำซ้อนหลายหน่วยงาน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4354813

ศิริกัญญา เหน็บ รบ.เศรษฐา จัดงบไม่ต่างบิ๊กตู่ พบซ้ำซ้อนหลายหน่วยงาน
 
‘ศิริกัญญา’ เหน็บรบ. ‘เศรษฐา’ จัดงบไม่ต่างรบ. ‘บิ๊กตู่’ พบงบซ้ำซ้อนหลายหน่วยงาน ชี้เม็ดเงินลงเอสเอ็มอีเยอะแต่อุดหนุนน้อย แนะเปลี่ยนจากให้ทุนเป็นรับประกันสินเชื่อ หวังอุ้มผู้ประกอบการรายย่อยได้หลายพันราย

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดสรรงบประมาณภายใต้รัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน ว่า น่าผิดหวังมาก เพราะเรารอเวลานี้มา 9 ปี เพื่อให้มีผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง และคาดหวังว่าการจัดสรรงบประมาณ จะต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การจัดงบประมาณแทบไม่แตกต่างจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเรื่องการจัดงบในแผนยุทธศาสตร์ มีบางแผนงานที่เพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็ซ้ำซ้อนกับแผนบูรณาการ เช่น ยุทธศาสตร์เรื่องถนนและโลจิสติกส์ ก็ซ้ำซ้อนกับแผนบูรณาการถนนและโลจิสติกส์ ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ ก็ซ้ำกับแผนบูรณาการบริหารจัดการน้ำ
 
หากดูระดับโครงการ เราก็ตกใจมากว่ามีโครงการใหม่เพียง 200 กว่าโครงการ ซึ่งน้อยมาก และเม็ดเงินมีเพียง 13,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดหวังได้ค่อนข้างยากมาก ว่าจะเกิดสิ่งใหม่ๆ หรือการขับเคลื่อนนโยบายที่มาจากการหาเสียง ในช่วงปีงบประมาณนี้ โครงการที่ออกมาใหม่ และชัดเจนที่สุด คือเรื่องของกองทุนต่างๆ กองทุนจะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นมากที่สุด ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ คือ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยงบเพิ่มขึ้นมาประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนนี้ เคยได้งบประมาณครั้งสุดท้ายในปี 2561 เป็นเงิน 10,000 ล้านบาท เรื่อยมาจนถึงปี 2567 มีการใช้งบประมาณเบิกจ่ายไปเพียง 18 ล้านบาทเท่านั้น
 
จู่ๆ รัฐบาลก็บอกว่า อยากเพิ่มงบให้ตรงนี้ เพื่อใช้ในการดึงดูดนักลงทุน รวมไปถึงให้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพ เราก็กังวลใจเหลือเกินว่า หากไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ปรับปรุงในเรื่องการขอสนับสนุนจากกองทุนนี้ งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เวลาผ่านไป 6 ปี ใช้แค่ 18 ล้านบาทรัฐบาลให้เพิ่มอีก 15,000 ล้านบาท ก็คงต้องรออีกหลายปีกว่าจะใช้หมด” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า กองทุนถัดมาคือกองทุนเอสเอ็มอี ที่ได้งบประมาณเพิ่มไปถึง 5 พันล้านบาท ซึ่งตอนแรกเราก็ยินดี เพราะเอสเอ็มอีเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญ และต้องเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงนี้ แต่เมื่อดูรายละเอียดเราก็ผิดหวัง เพราะเป็นการให้ matching funds หมายความว่า เป็นการสนับสนุนเงินทุนให้รายละไม่เกิน 10 ล้านบาท ไม่เกิน 600 ราย ซึ่งในความเป็นจริง เรามีวิธีการใช้เงินที่น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่านี้ เช่น การนำไปสนับสนุนให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดย่อม ในการรับประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี ด้วยวงเงิน 5 พันล้านบาท จะสามารถสนับสนุนเอสเอ็มอีได้อีกหลายพันราย ไม่ใช่แค่ 600 รายอย่างแน่นอน และงบที่นำมาสนับสนุนตรงนี้ ก็ซ้ำซ้อนกับกองทุนเพิ่มขีดฯ, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ ก็มีโครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพเช่นนี้ กลายเป็นงบประมาณที่ซ้ำซ้อน
 
ทั้งๆ ที่เอสเอ็มอีควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมมากกว่านี้ หรือนำไปเป็นเงินอุดหนุนสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตในด้านต่างๆ มากขึ้น  เป็น 2 กองทุนที่มีงบเพิ่มมาถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่ยังคงจัดงบได้อย่างน่าผิดหวัง ซึ่งงบ 2 หมื่นล้านบาทนี้ ก็นำเงินมาจากการลดการชำระหนี้ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) รัฐบาลบริหารมา 3 เดือน ใช้เงินจาก ธ.ก.ส. ไปเยอะมากผ่านนโยบายกึ่งการคลัง แต่พอจะใช้หนี้ กลับใช้หนี้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ปัจจุบันวงเงินของการกู้ตามมาตรา 28 ก็เต็มแล้ว อยู่ที่ 31.99 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่ใช้ไปก่อน แต่รัฐบาลก็ยังตั้งงบใช้หนี้คืนเพียงแค่ 6 หมื่นล้านบาท หากปีหน้ามีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินจาก ธ.ก.ส. ในด้านนโยบายเกี่ยวกับการเกษตร ก็จะเป็นไปได้ยาก


 
ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 27 ล้านคน มาเลย์มากสุด จีนพลาดเป้าวีซ่าฟรีไม่ช่วย
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/213622

รัฐบาลเผยชาวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2566 สะสมกว่า 27 ล้านคน ชาวมาเลเซียครองแชมป์มากสุด ส่วนชาวจีนพลาดเป้า แม้มีวีซ่าฟรีมาช่วยกระตุ้นในช่วงท้ายของปี

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสมตลอดปี 2566 (1 ม.ค. - 24 ธ.ค.2566) มีจำนวนกว่า 27 ล้านคน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำหนดไว้ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2566 ให้ได้ประมาณ 25 - 28 ล้านคน โดยรัฐบาลได้ตั้งโจทย์วางแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยว ปี 2567 เพิ่มเป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3.5 ล้านล้านบาท
 
จากข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 - 24 ธ.ค.2566) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 796,808 คน เพิ่มขึ้นถึง 16.60% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวเกือบทุกกลุ่ม ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสมตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ 27,252,488 คน
 
โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียเดินทางเข้าไทยมากที่สุดถึง 4,439,480 คน รองลงมาได้แก่ จีน 3,418,732 คน, เกาหลีใต้ 1,616,858 คน, อินเดีย 1,587,090 คน และรัสเซีย 1,428,985 คน ตามลำดับ
 
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้รัฐบาลของนายเศรษฐา ได้ออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ วีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายปีนี้ไว้ที่ 4-4.4 ล้านคน และได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุที่ให้วีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย และช่วงก่อนเกิดสถานการโควิด-19 ปี 2561 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนถึง 10 ล้านคน



กสิกรไทย ชี้ ปี’67 ภาคผลิตอ่วม เจอต้นทุนค่าแรงขึ้น-สินค้าจีนทะลักไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4354828

กสิกรไทย ชี้ปี’67 ภาคผลิตอ่วม เจอต้นทุนค่าแรงขึ้น-สินค้าจีนทะลักไทย
 
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากทิศทางค่าแรงขั้นต่ำจะปรับสูงขึ้นในปี 2567 ปัจจัยนี้จะส่งผลต่อผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นต้นทุนการทำธุรกิจหลัก หรือคิดเป็น 50% ของต้นทุนทั้งหมด รองลงมาคือค่าวัตถุดิบ และค่าเช่าสถานที่และอุปกรณ์
 
ขณะเดียวกัน การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน แต่ดูจากข้อมูลธุรกิจแล้ว รายจ่ายด้านดอกเบี้ยคิดเป็น 5% ของต้นทุน ยอมรับว่าดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการบ้าง แต่มีผลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการขึ้นค่าแรง ดังนั้น เมื่อค่าแรงงานต้องปรับประสิทธิภาพของแรงงาน รวมถึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมากขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจมีปัญหาแตกต่างกัน เช่น อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมค้าปลีก มีสัดส่วนต้นทุนด้านวัตถุดิบสูง ในการบริหารธุรกิจจะต้องคำนึงถึงต้นทุนว่าทำอย่างไรให้ซื้อวัตถุดิบได้ในราคาที่ถูกลง ขณะที่อุตสาหกรรมบริการ มีสัดส่วนการใช้แรงงานสูง จึงต้องมีการบริหารต้นทุนเข้มข้นกว่า” น.ส.ขัตติยา กล่าว
 
น.ส.ขัตติยากล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2566 ดีขึ้นต่อเนื่องแต่การขยายตัวไม่ได้เร็วอย่างที่คาดการณ์ จากที่มองว่าภาคการท่องเที่ยวจะดีขึ้นและควรขยายตัวเร็วและแรง จากที่ประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้าไทยมากขึ้นแต่กลับชะลอตัวลง ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะดีขึ้น จากเดิมคิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยลดลง แต่ยังมีสินค้าในกลุ่มจำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์เกี่ยวกับสุขภาพยังขยายตัวได้
ขณะเดียวกัน บางกลุ่มอุตสาหกรรมยังได้รับผลกระทบ เช่น โรงงานจากจีนมาตั้งในไทย ที่ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการผลิตของไทยลดลง หลังสินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมาก
 
จากที่จีนลุกเข้าไทยมากขึ้น คิดว่าไม่ช้าก็เร็วประเทศจีนจะเข้ามาในประเทศไทยอยู่แล้ว จากศักยภาพและเทคโนโลยีของจีนที่มีสูงมาก ดังนั้น ไทยจึงต้องปรับตัวให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้” น.ส.ขัตติยากล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่