พระธรรมพระมงคลชัย กิตติโสภโณ

วัดบ้านดู่ใน ตำบลจิกดู่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ
 
 
 
พระธรรม
 
 
พฤษภาคม 02, 2566

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เว็บธรรมะระดับสาม 5 ภาษา วัดบ้านหนองยอ ตำบลจิกดู่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำเจริญ
รวมกับ เพจ คนรักสุขภาพกายสุขภาพใจไม่เครียด ส่งเสริมให้ออกกำลังกาย กดclickเลย https://www.facebook.com/JeakCDThamma และ https://sitluangpormai.weebly.com
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา อิสลาม จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
 
 
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565
1 โน๊ต ซีดี 2 โน๊ต ซีดี
 
 

พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ
 
 
“เราจะนอนอย่างนี้ ให้ร่างกายมันเสื่อมไปหาความตายง่ายๆแบบนี้เลยหรือ..! 
 
ไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากที่ได้ร่างกายนี้มาจากพ่อจากแม่ มาอ่านธรรมะ มาทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาแก้ทุกข์ทางใจ ให้แก่ตนเองเลยหรือ ”
 
อันจะเป็นประโยชน์สองต่อทั้งปัจจุบันและโลกหน้า
 
ก็โลกหน้าคือสวรรค์นรกมีจริงหรือ?
 
หลายศาสนาต่างยืนยันว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
 
ศาสนาคริสก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
 
ศาสนาฮินดูหรือพรามก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ
 
 ศาสนาเซนก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มี นรกมีนะ
 
ศาสนาพุทธก็บอกว่า เทพเจ้ามีนะ สวรรค์มีนะ พรหมโลกมีนะ นรกมีนะ
 
นี่คือสิ่งที่น่าทึ่งมาก ที่แต่ละศาสนาต่างมีคำสอนยืนยันบอกว่า พระเจ้ามี เทพเจ้าบนสวรรค์มีนะ และนรกก็มีนะ โลกหลังความตายมีนะ บาปมีนะ
 
ก็แสดงว่าไม่ได้มีแค่โลกที่เราอยู่ แต่มันยังมีโลกอื่นอีกที่วิทยาศาสนาหายังไม่เจอ คือสวรรค์ นรก และโลกวิญญาณ ผีเปตรทั้งหลาย ซึ่งพุทธศาสนาเองมีวิธีให้พิสูดโดยการปฏิบัติในด้านสมาธิให้ถึงระดับเกิดอภิญญาจิตจนเห็นสิ่งที่อยู่เหนือวิสัยมนุษย์ธรรมดา ที่จะล่วงรู้เห็นได้”
 
และนอกจากนั้นแล้ว แม้ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องหลังความตายเลย พอเผาศพญาติหรือคนรู้จักแล้ว ก็ยังมาปรากฏตัวให้เห็น ไม่ใช่น้อยราย แม้ผู้ที่ไม่นับถือพุทธศาสนาเลยแต่ทำสมาธิได้ระดับจนเกิดตาทิพย์ ก็เห็นนรกและสวรรค์ เห็นคนที่ตายแล้ว อย่างไม่ต้องเชื่อศาสนาหรือลัทธิใดๆเลย เพราะเห็นเอง
 
ในทุกศาสนาจะมีคำสอนต่างกัน แต่ถ้ารวบย่อคำสอนลง ก็จะได้ ๓ ข้อ ดังต่อไปนี้ (ขอใช้ศัพท์พุทธนะครับ)
 
 1 ศาสนาอิสราม ๑ จะมีสอนเรื่องให้ทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ
 
2 ศาสนาคริส ๑ จะมีสอนเรื่องให้ทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ 
 
3 ศาสนาพรามหรือฮินดู ๑ จะมีสอนเรื่องทำทาน ๒ สอนเรื่องรักษาศีล ๓ สอนเรื่องทำสมาธิ
 
และที่ไม่เหมือนใคร คือศาสนาพุทธจะมี 1สอนทำทาน 2สอนรักษาศีล 3สอนสมาธิ และ4 วิปัสนา 
 
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีคำสอนเลยขั้นสมาธิไปอีก คือมีขั้นวิปัสนาให้รู้แจ้งในทุกข์ เห็นไตรลักษณ์ในทุกข ละอัตตาเป็นขั้นๆไป โดยอาศัยสมาธิและปัญญา
 
สมาธิ ในพุทธศาสนามีอยู่๒ ชนิด
 
1 อารมณูปนิจฌาน 2 ลักขณูปณิจฌาน
 
 ทำสมาธิแบบใดก็ตามถ้าเข้าถึงสมาธิระดับที่4 แล้ว ถ้าชาติก่อนเคยได้ของเก่า คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ เป็นต้น ก็จะบังเกิดขึ้นในฌานระดับสี่นี้
 
ชนิดที่หนึ่ง คือสมาธิที่สงบรวมลงเป็นอารมณ์อันเดียว เรียกว่า อารัมณูปนิฌาน เข้าสมาธิได้ถึงระดับที่แปด ฌาน8
 
ชนิดที่สอง คือสมาธิตั้งมั่น เห็นอารมณ์ไม่เที่ยง เรียกว่า ลักษณูปณิจฉาน เข้าสมาธิได้ถึงระดับที่เก้า ฌาน9 ระดับที่9นี่ คือนิโรธสมาบัต ซึ่งมีพระอนาคามีและพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะเข้าได้
 
ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นที่มีแต่สมาธิชนิดที่สงบ (อารัมณูปณิจฌาน)
 
ถ้าศาสนาอื่นจะมีสมาธิ(ลักขณูปนิจฌาน)แล้ว ก็แสดงว่า ศาสนาอื่นก็มีพระอริยะบุคลเกิดขึ้นได้ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสิอย่างนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยะบุคคลเกิดขึ้นได้เฉพาะในศาสนาพระอง์เท่านั้น (ศาสนา แปลว่า คำสอน) นอกเสียจากว่าเขานำคำสอนพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ
 
ดังนั้นศาสนาอื่น ไม่มีสมาธิชนิดที่ตั้งมั่นเห็นไตรลักษณ์(ลักขณูปณิจฉาน) เหมือนในศาสนาพุทธ
 
รวมความแล้วก็คือ พุทธศาสนา มีสอนทำทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิ(๒ชนิด) และ สอนวิปัสสนาชำแรกกิเลส ตัวทุกข์
 
ส่วนศาสนาอื่น มีการสอนให้ทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิจิต และก็ปรุงแต่งยกจิตให้อยู่ในภูมิของพรหม เมตตา นึกถึงผู้มีคุณใหญ่ในศาสนาตน 
 
ศาสนาพุทธเองพระพุทธเจ้าก็สอนให้ยกจิตขึ้นสู่อาการภูมิของพรหม คือเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาแบบสัมโพชฌงค์ และก็ให้รู้ว่าอาการของจิตไม่เที่ยง 
 
รวมความแล้วก็คือ พุทธศาสนา มีสอนทำทาน สอนรักษาศีล สอนทำสมาธิ(๒ชนิด) และ สอนวิปัสสนาชำแรกกิเลส ตัวทุกข์ ละอัตตาทีละขั้น
 
แล้วพวกที่เหาะได้ ลอยได้ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้อดีตคนอื่นได้ สะกดจิตได้ ได้ตาทิพย์เห็นสวรรค์นรกได้ ได้หูทิพย์ รู้ใจหรือรู้ความคิดคนอื่นได้ รู้ความคิดของสัตว์เดรัจฉานได้ อยู่ในขั้นไหน ตอบว่า ยังอยู่ในขั้นสมาธิ พวกที่มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ รู้จิตคนอื่นได้ มีหูทิพย์ เป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วนั้น ยังจัดอยู่ในขั้นสมาธิ ยังไม่ใช่วิปัสนาเพื่อสิ้นทุกข์ 
 
ซึ่งสมาธิเป็นหลักสากลมีสอนกันทุกศาสนาแต่มีอุบายวิธีที่ทำจิตให้สงบแตกต่างกันออกไป ทุกศาสนามีสอนทำสมาธิทั้งนั้น เมื่อทำแล้วก็มีการได้คุณวิเศษที่แตกต่างกัน บ้างได้ตาทิพย์ บ้างได้หูทิพย์ บ้างรู้จิตผู้อื่น บ้างระลึกชาติได้ ดังที่กล่าวแล้ว
 
การทำสมาธิของศาสนาคริสต์
 
http://www.belongtothetruth.com/Holy/meditation/meditation02.htm
 
http://sinchaichao.blogspot.com/2008/11/blog-post_6317.html
 
การทำสมาธิ ของศาสนาอิสลาม
 
http://islamhouse.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=30&id=19584
 
 
 
ดังเช่นในลิงค์คลิบวิดีโอ ด้านล่างนี้ เขาได้สมาธิระดับไม่ธรรมดาแล้ว จึงทำได้
 
https://www.youtube.com/watch?v=MSFdP2SRjUA
 
https://www.youtube.com/watch?v=Fw3LB87KqrE
 
https://www.youtube.com/watch?v=w8cA8ukTfms
 
https://www.youtube.com/watch?v=zKkswv7gN_E
 
https://www.youtube.com/watch?v=H0E6KKHECDY
 
https://www.youtube.com/watch?v=Seaz5ZmvXyI
 
ถ้าดูวิดีโอจบ แล้วมีคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไมไม่เห็นพระเหาะให้ดู แสดงฤทธิ์ให้ดู 
 
ก็จะขอตอบว่า บารมีพระในสมัยนี้ต่างจากสมัยพุทธกาล บางองค์ทำได้แต่ไม่แสดงให้รู้ ให้รู้กันเฉพาะศิษย์ บางองค์ก็ทำไม่ได้
 
พระที่แสดงฤทธิ์ทำปาฏิหารย์ได้ในปัจจุบันก็น้อยกว่าสมัยพุทธกาลครับ
 
และพระพุทธเจ้าท่านมีความเห็นเกี่ยวกับการแสดงฤทธิ์ ตามพระสูตรนี้จะเห็นว่าท่านไม่สรรเสิญเพราะไม่เป็นไปเพื่อพ้นทุกข์
 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=432&pagebreak=0
 
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=94
 
สมาธิเป็นของสากล ส่วนวิปัสสนานั้น มีเฉพาะในศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มี คนพุทธเองก็ไม่ค่อยรู้ ซึ่งน่าสลดสังเวชยิ่ง ของดีเจาะแทงทำลายความทุกข์ร้อนกังวนใจ มีอยู่ในศาสนาตนเองแท้ๆ แต่ก็ไม่รู้จักศึกษาใช้เอามาปราบทุกข์ใจให้ตน และผู้อื่นในเครือญาติครอบครัวที่มีทุกข์ 
 
วิปัสสนาเป็นคำสอนที่ ผู้ปฏิบัติตามแล้ว ทุกข์มีแต่จะสิ้นไปหมดไป เบาบางไป น้อยลงไป อย่างอรรศจรรย์ ถ้าถึงขั้นทำที่สุดแห่งทุกข์ คือไม่มีทุกข์ทางใจอย่างถาวร อันนี้ก็จบกิจสำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงจุดหมายปลายทางในพุทธศาสนา มรณะภาพแล้วก็นิพพาน ถึงซึ่งบรมสุขคือความดับไปแห่งกองทุกข์ขันธ์ทั้งหลาย ก็ขอกล่าวเพียงย่นยอแค่นี้กับนิพพาน
 
ผู้ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ย่อมกล้าทำบาปใหญ่ได้
 
มีการฆ่า การปล้น การโกง เป็นต้น เพราะไม่เชื่อว่าจะมีนรกมีสถานที่ลงทัฑณ์ที่โหดร้ายแบบนั้น พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะได้ตรัสรู้ธรรมขั้นสูง หลายภพชาติที่ผ่านมาของท่าน ท่านเคยเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกระทำบาปกรรม จนเป็นเหตุให้ไปเกิดในนรก 
 
ท่านก็เอามาเล่าให้สาวกฟังว่า เราไม่เคยเห็นการจองจำลงทัฑณ์อื่นใด ที่เจ็บปวด แสบเผ็ด โหดร้าย ทรมาณ ทารุณเหมือนในนรกเลย จึงเตือนสาวกทั้งหลายของท่านอย่าได้ประมาท ให้รีบทำความเพียรในกุศลที่เป็นไปเพื่อหลุดพ้น และอายุในนรกก็ไม่ใช่น้อยๆ 1 วันในนรกขุมที่ตื้นที่สุด ก็เท่ากับ เวลา 9 ล้านปีของมนุษย์เรา จึงจะเป็น1วันของนรกขุมตื้นที่สุดนี้ ดังนั้น จะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ถ้าทำชั่วแล้วไปตกนรกนี่ถือว่าซวยมากครับ
 
ในทางพุทธผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าคือสวรรค์นรกเปตร ถือว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นที่ผิดมาก ซึ่งมิจฉาทิฏฐิแล้ว ถ้าไม่มีการทำทาน ไม่มีการรักษาศีล โทษของมันก็คือ ทำให้เข้าถึงนรกหรือกำเนิดเดรัจฉานได้ อันนี้คือคำตอบตามคำสอนพระพุทธเจ้า ดังนั้นต้องแก้ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อเรื่องโลกหลังความตาย จะได้มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อันเป็นกุศลใหญ่
 
 
 
ก็ขณะที่ร่างกายไหลไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา เราจะเพลิดเพลินกับโลก กับแสงสีเสียงกลิ่นรส ไปวันๆแค่นั้นหรือ” 
 
คนเราเกิดมา มาใช้ร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน เสพกาม แล้วก็ตายแค่นั้นหรือ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา
 
เราจะหาแต่ทรัพย์ทางโลกอย่างเดียว โดยไม่แสวงหาประโยชน์ที่แท้จริงของตนในทางธรรมเลยหรือ หรือมัวหลงไปแต่กับธรรมของโลก เขาแต่งรถ เราก็ต้องแต่งรถ เขามีกิ๊ก เราก็ต้องมีกิ๊ก เขาโกง เราก็ต้องโกง เขามีบ้านหลังใหญ่ เราก็ต้องมีหลังใหญ่ เขามีแฟน เราก็ต้องมีแฟน เขาแต่งงาน เราก็ต้องแต่งงาน จนเป็นทุกข์เพราะการตามธรรมของโลกียะ
 
 ประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษย์ที่เกิดมาอยู่ชั่วคราวร้อยปีนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกไว้แล้วว่า ขณะมาอยู่ชัวคราวนี้ให้สร้างคุณงามความดีในบารมีขั้นต่างๆ ให้มาก ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา อันเป็นแก่นแท้ เพราะร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารหรอก ถึงจะตกแต่งให้มันหล่อให้มันสวยแค่ไหน สุดท้ายมันก็เน่าเล๊ะตุ้มเปะตายเหม็น ไม่เหลือความทรงตัวความหล่อความงามไว้ได้เลย เพราะแก่นสารมันอยู่ที่จิตที่ใจ ผู้ใดทำจิตใจให้เป็นบุญเป็นกุศลได้นั่นแหละคือแก่สารแท้
 
ความสวยหาใช่แก่นไม่ จิตใจที่ดีงามเปี่ยมด้วยความเมตตาและไผ่ในกุศต่างหากจึงจะใช่แก่น ความหล่อก็หาใช่แก่นไม่ ถ้าหล่อแล้วจิตใจโหดเหี่ยมทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน กินข้าวแล้วก็ข่มเหงรังแกผู้อื่น อย่างนี้ถือว่าใช่ความหล่อจากบุญเก่าไปในทางผิดไม่เป็นประโยชน์แล้ว
 
การมียศการมีตำแหน่งมีเก้าอี้ใหญ่ให้นั่ง เก้าอี้ไม่ได้มีไว้ให้ทำชั่วแก่คนหมู่มาก แต่มีไว้ให้ทำคุณงามวามดีแก่คนหมู่มากอันเป็นบารมีใหญ่ให้ตน ไม่ใช่ให้ทำบาปใหญ่ให้ตน เหมือนเทวทัต เทวทัตจุดจบนรก2กัป มันธรรมดาเหรอสิ่งที่ทำกับคนหมู่มากไม่ใช่ของเล่นๆนะ เพราะถ้าเป็นทางดีก็เป็นบุญบารมีใหญ่มาก ถ้าทางไม่ดีก็ตรงกันข้ามเป็นมหาอกุศลบาปใหญ่มาก
 
และการที่ใครก็ตามถ้าได้มาเจริญสมถะ(ความสงบ)ให้เป็นฐานของวิปัสสนา(เห็นไตรลักษณ์ในทุกข) จะเป็นห้วงบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่หลวงมาก มาเกิดขึ้นที่ใจเขา เปรียบเสมือนห้วงน้ำจากมหาสมุทรทั้งสี่ไหลมารวมลงที่เดียวกัน ฉันใดห้วงบุญกุศลบารมีใหญ่หลวงนั้น ก็มาเกิดขึ้นรวมอยู่ที่ใจเขาอย่างหาประมาณมิได้
 
เมื่อท่านก็รู้อย่างนี้แล้ว ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของเล่น ท่านก็จงอย่าทำเล่นๆกับชีวิตนะ ถ้านับถือพุทธก็ควรศึกษาวิธีเจริญวิปัสนาให้เป็น เห็นความทุกข์กังวนใจไม่เที่ยง ทุกข์จึงจะครอบงำท่านไม่ได้ และทุกข์นั้นมีแต่จะสิ้นไปๆหดหายไปๆ จนบรรลุโสดาบัน รอดพ้นจากอบายภูมินรกถาวร
 
เพราะคนพุทธเป็นอันมากยังไร้จุดหมายที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต
 
ยังมัวใช้ชีวิตปล่อยไปตามเวรตามกรรมอย่างไม่รู้เหตุไม่รู้ผล
 
ถ้าว่า ได้เกิดมามีรูปร่างกายที่ดี มีใบหน้าที่สวย ยิ้มได้อย่างมั่นใจ
 
หรือเกิดเป็นชายที่รูปร่างหน้าตาดี หล่อเท่มีฐานะที่ดีมั่น
 
 ก็คิดกันว่าเป็นความบังเอิญที่โชคดีจริงๆ หรือใครมาบันดานให้ช่างดีจริงๆ
 
ที่เราได้เกิดมามีหน้าตาแบบนี้มีครอบครัวแบบนี้ 
 
 แต่ความจริงหารู้เหตุรู้ผลไม่ ว่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากสักแค่ไหน 
 
ต้องเคยทำกุศลกรรมตั้ง 10 ข้อ มาก่อน (กรรม แปลว่า การกระทำ) จึงมีสิทธิ์ในการเข้าครรภ์มาเกิด
 
การที่ได้มาซึ่งความเป็นมนุษย์ทั้งร่างนี้ที่กำลังหายใจอยู่ นั้นก็แสดงว่าเราทุกคนในหลายชาติที่ผ่านมาต้องเคยทำกรรมด้านกุศลมาก่อน จึงมีสิทธิ์มาเข้าท้องคนได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเข้าไปสิงอยู่ในอสุจิและไข่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่