มุมมอง ‘ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม’ ขอเปิดกว้าง-ก้าวข้ามขัดแย้ง
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_4309440
หมายเหตุ –
ความเห็นและมุมมองของนักวิชาการต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับพรรคก้าวไกล ที่จะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ส่วนตัวยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทั้งหมด แต่เท่าที่ได้ทราบจากสื่อมวลชนร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลค่อนข้างครอบคลุมและกว้างไกลในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวความคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงเห็นด้วยและสนับสนุนว่าควรผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้
กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปพูดคุยกับคนหลายกลุ่ม รวมถึงเจรจากับนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพุทธะอิสระ จนกลายเป็นประเด็นให้คนที่ไม่เห็นด้วยนำมาเป็นจุดอ่อนว่าอาจมีเจตนาเบื้องหลัง หวังนิรโทษกรรมให้กับแกนนำของพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ อาจมองไปว่าเหตุที่ยอมเจรจากับฝ่ายตรงข้ามก็เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ สะท้อนว่าคนที่ทำให้เป็นประเด็นยังคงมองการเมืองแบบแบ่งขั้วตามเดิม ยังมีคนที่ไม่ยอมก้าวข้าม
โดยหลักแล้วถ้าจะยุติความแตกแยก ความขัดแย้งทางความคิดได้ ทุกคนต้องออกจากกะลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มีหลายกะลา พอออกมาแล้วต้องลืมตาด้วย แต่แสงข้างนอกมันสว่าง พอตาเปิดไม่ได้ ก็จะหลับตา หรือหาแว่นดำมาใส่ เลยไม่เห็นโลกแห่งความเป็นจริง ก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องเปิดหูเปิดตากันให้หมดทุกฝ่าย แล้วพูดตามเนื้อผ้า
ประเด็นเรื่องยุตินิติสงคราม ส่วนตัวเห็นด้วยอย่างมาก เพราะเป็นการบิดเบือนกฎหมาย กฎหมายต้องอยู่เหนือความขัดแย้งส่วนตัวปลีกย่อยโดยเฉพาะอุดมการณ์ความคิด รวมถึงการนำประเด็นความมั่นคงของชาติมาอ้าง อย่างการเจรจาสันติภาพทางภาคใต้ หากใช้กฎหมายที่หมิ่นเหม่และแคบ จะกลายเป็นการกดดันองค์กรอิสระทั้งหลายให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อฝ่ายที่ใช้กฎหมายมีรัฐรองรับ องค์กรเหล่านั้นก็ต้องทำตาม เพราะขัดนโยบายรัฐไม่ได้ ดังนั้นต้องเอานิติออกมาจากการต่อสู้ทางการเมือง
ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ล่าสุดเมื่อปี 2565 ศาลสูงสุด (Supreme Court of the United States: SCOTUS) พิพากษายกเลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่เคยพิพากษาเมื่อปี 2516 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ กล่าวคือการทำแท้งผิดกฎหมาย ผู้กระทำมีความผิด ซึ่งประเด็นนี้ มีความเห็นแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ เอากับไม่เอา คนที่มองว่าไม่ผิดก็ต้องไปฟ้องสู้กันไปจนถึงศาลสูง อย่างนี้รับได้ ไม่ใช่มัดตราสัง บอกว่าเป็นกบฏ
โคทม อารียา
ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับพรรคก้าวไกลส่วนตัวเห็นด้วยโดยหลักการ แต่รายละเอียดต่างๆ ต้องไปคุยกันในสภา เมื่อสภารับหลักการถัดไปก็คุยต่อในคณะกรรมาธิการ แต่ก็เข้าใจทางพรรคเพื่อไทยที่เคยยุบสภามาแล้ว 1 ครั้ง โดยในครั้งนั้นเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เราเรียกกันว่า ฉบับสุดซอย เพราะฉะนั้นพรรคก้าวไกลต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญคือ ทางพรรคร่วมรัฐบาลจะว่าอย่างไร
ในจุดที่ติดขัดก็มีกระแสว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังเปิดทางให้พิจารณาเป็นรายกรณี
เราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เปิดพื้นที่พูดคุย แม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐยังเคยชูคำขวัญ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ทางพรรคพลังประชารัฐจะเอาด้วยหรือไม่ ถ้าเอาด้วยก็ต้องคุยกัน เมื่อที่ใดมีความขัดแย้ง หากคุยกันโดยตรงไม่ได้ ก็ต้องคุยกันในพื้นที่ซึ่งมีคนกลาง หรือตัวกลาง อย่างเช่นสงครามในฉนวนกาซา เมื่อคนจากต่างประเทศเข้าไปเป็นคนกลาง ก็ได้ผลบ้าง อย่างน้อยก็มีการปล่อยตัวประกัน สถานการณ์บ้านเมืองเราไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นนั้น หากสามารถคุยกันได้ อย่าปฏิเสธกันจะดีที่สุด
การนิรโทษกรรมสำหรับทุกกลุ่มสี ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล เหมือนกับว่ายังเปิดโอกาสให้คุยเป็นการเบื้องต้นว่าอย่างไรจึงจะดีที่สุด และคลี่คลายกันไป ถ้ามีการพูดคุยกันโดยมีกระบวนการให้พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการที่เขาเสนอค่อนข้างรวบรวมจากหลายฝ่าย ดูมีน้ำหนักพอสมควรที่จะมาพิจารณาว่ากรณีไหนเข้าข่ายนิรโทษกรรมบ้าง
สำหรับกรณีที่จะนิรโทษโดยเว้นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงนั้น ส่วนตัวมองว่าหากจะนิรโทษกรรมกันทั้งทีก็ขอให้รวมกันไปเลย ยกเว้นบุคคลที่ไม่ได้ทำตามหน้าที่ และเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นการทำร้ายผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงนอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยต้องพิจารณาความหนักหนาสาหัสจากการกระทำ ยกตัวอย่างกรณี พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เมื่อเดือนเมษายนปี พ.ศ.2553 ที่กลุ่ม นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ชุมนุมกันที่สี่แยกคอกวัว วันนั้นมีนายทหารเสียชีวิต การกระทำแบบนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครทำ
ส่วนตัวคิดว่ากรณีทำนองอย่างนี้ กฎหมายอาจจะเขียนไว้ว่าให้ดำเนินคดีตามปกติ เพราะเป็นการกระทำที่อุกฉกรรจ์มาก กระทำเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิต แบบนี้ดำเนินคดีได้ แต่ถ้าหากเป็นกรณีทั่วๆ ไป กับบุคคลที่เป็นตำรวจ ทหาร หรือใครก็ตามที่ไม่ได้จงใจวางแผนทำร้ายใครให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส ก็น่าจะรวมอยู่ได้ใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถนิรโทษกรรมได้สักที การจำกัดวงเฉพาะผู้ชุมนุมก็ไม่ถูก ต้องครอบคลุมไปถึงเจ้าหน้าที่ด้วย
หากถามว่าจะทำอย่างไรให้สามารถยุติความขัดแย้งทางการเมืองได้นั้น ต้องดูภาพรวมที่เป็นองค์ประกอบของปรากฏการณ์ ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น การชุมนุม การรัฐประหาร ซึ่งมีโทษอาญาหนักสุด และมีผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2553 ต่อมา ก็มีผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร และฝ่าย กปปส. นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคดีอาญามาตรา 112 รวมถึงผู้ถูกดำเนินคดีจากการกระทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับนโยบายทวงคืนผืนป่านับหมื่นคน
ดังนั้น ต้องเข้าใจว่ามันมีมูลเหตุแห่งความขุ่นเคืองและขัดแย้ง เราจะดำเนินการกับความขัดแย้งอย่างไร เมื่อดูมูลเหตุดูข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ทำเป็นกระบวนการที่หลายๆ อย่างประกอบกันซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ทำกันเพียงแค่ช่วงสั้นๆ อย่างการเยียวยาอดีต มีการบอกว่าให้เงินไปแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่การเยียวยาอดีต เพราะการเยียวยาอดีตหมายถึงการทำให้สังคมมองดูเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้น ส่วนตัวยังติดในอยู่ในใจเสมอ เพราะเป็นคนรุ่นเก่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ยังเป็นบาดแผลลึก เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 47 ปี ก็ยังมีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันไม่ยุติธรรมต่อผู้เสียชีวิต ภายหลังก็มีคนจำคุกอยู่ประมาณ 2 ปี หลายพันคน แต่ก็มีการนิรโทษกรรมให้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน สังคมส่วนหนึ่งก็ยังมองว่าคนพวกนั้นเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง มีเรื่องเล่าที่ทำให้เสียหายแก่เหยื่อบ้าง เมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจจะไม่ต้องเยียวยาด้วยเงินตรา แต่เป็นการเยียวยาทางสังคมด้วยการยอมรับว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 มีผู้เสียชีวิต และต้องให้เกียรติเขา อาจจะทำเป็นอนุสรณ์เล็กๆ บ้าง หรือเป็นการทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง กับผู้เห็นต่างทางการเมือง เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง เรียกง่ายๆ ว่า การอโหสิกรรมซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าวิเคราะห์แล้วว่าความขัดแย้งแต่ละอย่างนั้นมีบาดแผล ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าในการต่อสู้ทางการเมืองมีการใช้ลวดลายต่างๆ ที่นำมาซึ่งชัยชนะทางการเมือง จนกระทั่งถึงการรัฐประหาร การยุบพรรค ล้มรัฐบาลโดยกระบวนการของรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
การต่อสู้ทางการเมืองพอมาถึงจุดหนึ่ง เราต้องคืนดี หรือสมานไมตรีต่อกัน เมื่อทราบว่าอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ค้างคาใจก็ให้มันผ่านพ้นไป เพื่อจะได้มองไปข้างหน้าด้วยกัน เราอาจต้องมองอนาคตทางการเมืองต่อไป จะทำอย่างไรให้เห็นพ้องกันว่า เราจะใช้ประชาธิปไตยใช่หรือไม่
ถึงคุณจะมีความคิดอนุรักษนิยมมากๆ คุณก็ต้องสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อต่อสู้ ต้องค่อยๆสร้างประชาธิปไตย อย่าใช้วิธีการแบบเดิมๆ คือคิดอะไรไม่ออกก็ไปบอกทหารว่าช่วยปฏิวัติหน่อย แบบนั้นไม่เอาแล้ว
นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดการทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ และมีกระบวนการสมานไมตรี หรือความปรองดองขึ้น โดยองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการนี้คือการมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุย คนที่จะทำต้องมีใจต้องการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 อุณหภูมิมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
https://www.dailynews.co.th/news/2953322/
รายงานโดยหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ ระบุว่า 2566 เป็นปีที่โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ และอุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในปี 2567
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ว่า องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) เผยแพร่รายงานว่า 2566 จะเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยร้อนขึ้น 1.4 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำลายสถิติปี 2559 ซึ่งอุณหภูมิโลกปีนั้นร้อนขึ้น 1.2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
แม้สถิติดังกล่าวยังไม่ได้หมายความว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็น “
เกณฑ์อันตราย” ตามที่ระบุอยู่ในข้อตกลงปารีส ฉบับปี 2558 และดับเบิลยูเอ็มโอเชื่อว่า โลกจะยังไม่น่าร้อนขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่โลกจะเริ่มได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งก่อตัวในปีนี้
รายงานของดับเบิลยูเอ็มโอระบุด้วยว่า ปีนี้ธารน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ ละลายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในปี 2566 โดยมีพื้นที่ลดลงมากกว่า 1 ล้านตารางกิโลเมตร ขณะที่ธารน้ำแข็งในสวิตเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ลดลงประมาณ 10% ภายในช่วงสองปีที่ผ่านมา และไฟป่าในแคนาดาปีนี้ มีความรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำลายพื้นที่ป่าในประเทศไปประมาณ 5%.
ศาลยกฟ้อง ‘กบฎ’ กปปส.ชุดเล็ก แต่ลงโทษข้อหาอื่นๆคุก 6เดือน-5 ปี 9 เดือน ‘ตั๊น’โดน9เดือน
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4310136
ศาลอาญาพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก “นัสเซอร์” ไม่รอดจำคุก 6 เดือน ส่วนจำเลยอื่นแม้กระทำผิดมีโทษจำคุกตั้งแต่ 9เดือน- 5 ปี ปรับหมื่น-2แสนบาท แต่ศาลเมตตาชี้กล้าหาญต่อสู้คดีไม่หลบหนีให้รอการลงโทษจำ 2 ปี
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณา801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก ร่วมกันกบฏ ก่อการร้าย คดีหมายเลขดำ อ.2732/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ฟ้องนาย
นัสเซอร์ ยีหมะ จำเลยที่1 ,นาย
อุทัย ยอดมณี จำเลยที่ 2,นาย
นิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา จำเลยที่ 3 ,น.ส.
จิตภัสร์ หรือ
ตั๊น กฤดากร จำเลยที่ 4,นาย
พานสุวรรณ ณ แก้ว จำเลยที่ 5 ,นาย
ประกอบกิจ อินทร์ทองจำเลยที่ 6 และนาย
กิตติศักดิ์ ปรกติ จำเลยที่ 7 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมเป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ฯ
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2562 สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย.2556-1พ.ค.2557 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มคณะกรรมกาประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข( กปปส.) โดยมีนาย
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จำเลย ที่ศาลพิพากษาลงโทษได้ร่วมกันกับพวกจำเลยคดีนี้ มั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินและขับไล่รัฐบาลน.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง ยุยง ปลุกระดม ให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง
พวกจำ
JJNY : มุมมอง ‘ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม’│โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์│ศาลยกฟ้อง‘กบฎ’ กปปส.ชุดเล็ก│ชาวนาโอดข้าวหอมถูกนายทุนกด
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_4309440
หมายเหตุ – ความเห็นและมุมมองของนักวิชาการต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับพรรคก้าวไกล ที่จะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ส่วนตัวยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทั้งหมด แต่เท่าที่ได้ทราบจากสื่อมวลชนร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลค่อนข้างครอบคลุมและกว้างไกลในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวความคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงเห็นด้วยและสนับสนุนว่าควรผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้
กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปพูดคุยกับคนหลายกลุ่ม รวมถึงเจรจากับนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพุทธะอิสระ จนกลายเป็นประเด็นให้คนที่ไม่เห็นด้วยนำมาเป็นจุดอ่อนว่าอาจมีเจตนาเบื้องหลัง หวังนิรโทษกรรมให้กับแกนนำของพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ อาจมองไปว่าเหตุที่ยอมเจรจากับฝ่ายตรงข้ามก็เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ สะท้อนว่าคนที่ทำให้เป็นประเด็นยังคงมองการเมืองแบบแบ่งขั้วตามเดิม ยังมีคนที่ไม่ยอมก้าวข้าม
โดยหลักแล้วถ้าจะยุติความแตกแยก ความขัดแย้งทางความคิดได้ ทุกคนต้องออกจากกะลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มีหลายกะลา พอออกมาแล้วต้องลืมตาด้วย แต่แสงข้างนอกมันสว่าง พอตาเปิดไม่ได้ ก็จะหลับตา หรือหาแว่นดำมาใส่ เลยไม่เห็นโลกแห่งความเป็นจริง ก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องเปิดหูเปิดตากันให้หมดทุกฝ่าย แล้วพูดตามเนื้อผ้า
ประเด็นเรื่องยุตินิติสงคราม ส่วนตัวเห็นด้วยอย่างมาก เพราะเป็นการบิดเบือนกฎหมาย กฎหมายต้องอยู่เหนือความขัดแย้งส่วนตัวปลีกย่อยโดยเฉพาะอุดมการณ์ความคิด รวมถึงการนำประเด็นความมั่นคงของชาติมาอ้าง อย่างการเจรจาสันติภาพทางภาคใต้ หากใช้กฎหมายที่หมิ่นเหม่และแคบ จะกลายเป็นการกดดันองค์กรอิสระทั้งหลายให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อฝ่ายที่ใช้กฎหมายมีรัฐรองรับ องค์กรเหล่านั้นก็ต้องทำตาม เพราะขัดนโยบายรัฐไม่ได้ ดังนั้นต้องเอานิติออกมาจากการต่อสู้ทางการเมือง
ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ล่าสุดเมื่อปี 2565 ศาลสูงสุด (Supreme Court of the United States: SCOTUS) พิพากษายกเลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่เคยพิพากษาเมื่อปี 2516 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ กล่าวคือการทำแท้งผิดกฎหมาย ผู้กระทำมีความผิด ซึ่งประเด็นนี้ มีความเห็นแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ เอากับไม่เอา คนที่มองว่าไม่ผิดก็ต้องไปฟ้องสู้กันไปจนถึงศาลสูง อย่างนี้รับได้ ไม่ใช่มัดตราสัง บอกว่าเป็นกบฏ
โคทม อารียา
ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับพรรคก้าวไกลส่วนตัวเห็นด้วยโดยหลักการ แต่รายละเอียดต่างๆ ต้องไปคุยกันในสภา เมื่อสภารับหลักการถัดไปก็คุยต่อในคณะกรรมาธิการ แต่ก็เข้าใจทางพรรคเพื่อไทยที่เคยยุบสภามาแล้ว 1 ครั้ง โดยในครั้งนั้นเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เราเรียกกันว่า ฉบับสุดซอย เพราะฉะนั้นพรรคก้าวไกลต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญคือ ทางพรรคร่วมรัฐบาลจะว่าอย่างไร
ในจุดที่ติดขัดก็มีกระแสว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังเปิดทางให้พิจารณาเป็นรายกรณี
เราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เปิดพื้นที่พูดคุย แม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐยังเคยชูคำขวัญ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ทางพรรคพลังประชารัฐจะเอาด้วยหรือไม่ ถ้าเอาด้วยก็ต้องคุยกัน เมื่อที่ใดมีความขัดแย้ง หากคุยกันโดยตรงไม่ได้ ก็ต้องคุยกันในพื้นที่ซึ่งมีคนกลาง หรือตัวกลาง อย่างเช่นสงครามในฉนวนกาซา เมื่อคนจากต่างประเทศเข้าไปเป็นคนกลาง ก็ได้ผลบ้าง อย่างน้อยก็มีการปล่อยตัวประกัน สถานการณ์บ้านเมืองเราไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นนั้น หากสามารถคุยกันได้ อย่าปฏิเสธกันจะดีที่สุด
การนิรโทษกรรมสำหรับทุกกลุ่มสี ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล เหมือนกับว่ายังเปิดโอกาสให้คุยเป็นการเบื้องต้นว่าอย่างไรจึงจะดีที่สุด และคลี่คลายกันไป ถ้ามีการพูดคุยกันโดยมีกระบวนการให้พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการที่เขาเสนอค่อนข้างรวบรวมจากหลายฝ่าย ดูมีน้ำหนักพอสมควรที่จะมาพิจารณาว่ากรณีไหนเข้าข่ายนิรโทษกรรมบ้าง
สำหรับกรณีที่จะนิรโทษโดยเว้นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงนั้น ส่วนตัวมองว่าหากจะนิรโทษกรรมกันทั้งทีก็ขอให้รวมกันไปเลย ยกเว้นบุคคลที่ไม่ได้ทำตามหน้าที่ และเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นการทำร้ายผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงนอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยต้องพิจารณาความหนักหนาสาหัสจากการกระทำ ยกตัวอย่างกรณี พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เมื่อเดือนเมษายนปี พ.ศ.2553 ที่กลุ่ม นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ชุมนุมกันที่สี่แยกคอกวัว วันนั้นมีนายทหารเสียชีวิต การกระทำแบบนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครทำ
ส่วนตัวคิดว่ากรณีทำนองอย่างนี้ กฎหมายอาจจะเขียนไว้ว่าให้ดำเนินคดีตามปกติ เพราะเป็นการกระทำที่อุกฉกรรจ์มาก กระทำเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิต แบบนี้ดำเนินคดีได้ แต่ถ้าหากเป็นกรณีทั่วๆ ไป กับบุคคลที่เป็นตำรวจ ทหาร หรือใครก็ตามที่ไม่ได้จงใจวางแผนทำร้ายใครให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส ก็น่าจะรวมอยู่ได้ใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถนิรโทษกรรมได้สักที การจำกัดวงเฉพาะผู้ชุมนุมก็ไม่ถูก ต้องครอบคลุมไปถึงเจ้าหน้าที่ด้วย
หากถามว่าจะทำอย่างไรให้สามารถยุติความขัดแย้งทางการเมืองได้นั้น ต้องดูภาพรวมที่เป็นองค์ประกอบของปรากฏการณ์ ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น การชุมนุม การรัฐประหาร ซึ่งมีโทษอาญาหนักสุด และมีผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2553 ต่อมา ก็มีผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร และฝ่าย กปปส. นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคดีอาญามาตรา 112 รวมถึงผู้ถูกดำเนินคดีจากการกระทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับนโยบายทวงคืนผืนป่านับหมื่นคน
ดังนั้น ต้องเข้าใจว่ามันมีมูลเหตุแห่งความขุ่นเคืองและขัดแย้ง เราจะดำเนินการกับความขัดแย้งอย่างไร เมื่อดูมูลเหตุดูข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ทำเป็นกระบวนการที่หลายๆ อย่างประกอบกันซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ทำกันเพียงแค่ช่วงสั้นๆ อย่างการเยียวยาอดีต มีการบอกว่าให้เงินไปแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่การเยียวยาอดีต เพราะการเยียวยาอดีตหมายถึงการทำให้สังคมมองดูเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้น ส่วนตัวยังติดในอยู่ในใจเสมอ เพราะเป็นคนรุ่นเก่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ยังเป็นบาดแผลลึก เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 47 ปี ก็ยังมีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นมันไม่ยุติธรรมต่อผู้เสียชีวิต ภายหลังก็มีคนจำคุกอยู่ประมาณ 2 ปี หลายพันคน แต่ก็มีการนิรโทษกรรมให้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน สังคมส่วนหนึ่งก็ยังมองว่าคนพวกนั้นเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง มีเรื่องเล่าที่ทำให้เสียหายแก่เหยื่อบ้าง เมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจจะไม่ต้องเยียวยาด้วยเงินตรา แต่เป็นการเยียวยาทางสังคมด้วยการยอมรับว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 มีผู้เสียชีวิต และต้องให้เกียรติเขา อาจจะทำเป็นอนุสรณ์เล็กๆ บ้าง หรือเป็นการทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง กับผู้เห็นต่างทางการเมือง เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง เรียกง่ายๆ ว่า การอโหสิกรรมซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าวิเคราะห์แล้วว่าความขัดแย้งแต่ละอย่างนั้นมีบาดแผล ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าในการต่อสู้ทางการเมืองมีการใช้ลวดลายต่างๆ ที่นำมาซึ่งชัยชนะทางการเมือง จนกระทั่งถึงการรัฐประหาร การยุบพรรค ล้มรัฐบาลโดยกระบวนการของรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
การต่อสู้ทางการเมืองพอมาถึงจุดหนึ่ง เราต้องคืนดี หรือสมานไมตรีต่อกัน เมื่อทราบว่าอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ค้างคาใจก็ให้มันผ่านพ้นไป เพื่อจะได้มองไปข้างหน้าด้วยกัน เราอาจต้องมองอนาคตทางการเมืองต่อไป จะทำอย่างไรให้เห็นพ้องกันว่า เราจะใช้ประชาธิปไตยใช่หรือไม่
ถึงคุณจะมีความคิดอนุรักษนิยมมากๆ คุณก็ต้องสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อต่อสู้ ต้องค่อยๆสร้างประชาธิปไตย อย่าใช้วิธีการแบบเดิมๆ คือคิดอะไรไม่ออกก็ไปบอกทหารว่าช่วยปฏิวัติหน่อย แบบนั้นไม่เอาแล้ว
นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดการทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ และมีกระบวนการสมานไมตรี หรือความปรองดองขึ้น โดยองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการนี้คือการมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุย คนที่จะทำต้องมีใจต้องการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 อุณหภูมิมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
https://www.dailynews.co.th/news/2953322/
รายงานโดยหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ ระบุว่า 2566 เป็นปีที่โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ และอุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในปี 2567
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ว่า องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) เผยแพร่รายงานว่า 2566 จะเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยร้อนขึ้น 1.4 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำลายสถิติปี 2559 ซึ่งอุณหภูมิโลกปีนั้นร้อนขึ้น 1.2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
แม้สถิติดังกล่าวยังไม่ได้หมายความว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็น “เกณฑ์อันตราย” ตามที่ระบุอยู่ในข้อตกลงปารีส ฉบับปี 2558 และดับเบิลยูเอ็มโอเชื่อว่า โลกจะยังไม่น่าร้อนขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่โลกจะเริ่มได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งก่อตัวในปีนี้
รายงานของดับเบิลยูเอ็มโอระบุด้วยว่า ปีนี้ธารน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ ละลายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในปี 2566 โดยมีพื้นที่ลดลงมากกว่า 1 ล้านตารางกิโลเมตร ขณะที่ธารน้ำแข็งในสวิตเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ลดลงประมาณ 10% ภายในช่วงสองปีที่ผ่านมา และไฟป่าในแคนาดาปีนี้ มีความรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำลายพื้นที่ป่าในประเทศไปประมาณ 5%.
ศาลยกฟ้อง ‘กบฎ’ กปปส.ชุดเล็ก แต่ลงโทษข้อหาอื่นๆคุก 6เดือน-5 ปี 9 เดือน ‘ตั๊น’โดน9เดือน
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4310136
ศาลอาญาพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก “นัสเซอร์” ไม่รอดจำคุก 6 เดือน ส่วนจำเลยอื่นแม้กระทำผิดมีโทษจำคุกตั้งแต่ 9เดือน- 5 ปี ปรับหมื่น-2แสนบาท แต่ศาลเมตตาชี้กล้าหาญต่อสู้คดีไม่หลบหนีให้รอการลงโทษจำ 2 ปี
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณา801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก ร่วมกันกบฏ ก่อการร้าย คดีหมายเลขดำ อ.2732/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ฟ้องนายนัสเซอร์ ยีหมะ จำเลยที่1 ,นายอุทัย ยอดมณี จำเลยที่ 2,นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา จำเลยที่ 3 ,น.ส.จิตภัสร์ หรือตั๊น กฤดากร จำเลยที่ 4,นายพานสุวรรณ ณ แก้ว จำเลยที่ 5 ,นายประกอบกิจ อินทร์ทองจำเลยที่ 6 และนายกิตติศักดิ์ ปรกติ จำเลยที่ 7 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมเป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ฯ
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2562 สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย.2556-1พ.ค.2557 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มคณะกรรมกาประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข( กปปส.) โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จำเลย ที่ศาลพิพากษาลงโทษได้ร่วมกันกับพวกจำเลยคดีนี้ มั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินและขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง ยุยง ปลุกระดม ให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง
พวกจำ