สวัสดีครับ ผมเป็นกรรมการบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วถูกผู้ถือหุ้นฟ้อง ความผิดพระราชบัญญัติกําหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 42 เพราะผมได้แก้ไขรายชื่อผู้ถือหุ้น แบบ บอจ.5 เอาชื่อเขาออกจากหุ้นส่วนบริษัท เนื่องจากเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในการบริหารงานอะไรเลย ไม่เคยช่วย และไม่เคยออกเงินเลย เวลาคุยงานกันเขาไม่เคยเข้าประชุม และเขาก็ไม่ได้ลงเงินมาจริงๆด้วย
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจาก ผมจดบริษัทเมื่อปี 2564 ด้วยชื่อผมคนเดียวเป็นกรรมการและคนในครอบครัวอีก 2 คนที่แค่เอาขื่อมาใส่ให้ครบเฉยๆ
ต่อมาดําเนินธุรกิจมาได้ 1 ปี ได้เอาเพื่อนเข้ามาร่วมหุ้น 2 คน
คนที่ 1 ถือหุ้นสัดส่วน 60%
คนที่ 2 ถือหุ้นสัดส่วน 10% ** คนที่ฟ้อง**
ผมเอง ถือหุ้นสัดส่วน 30% (เป็นกรรมการคนเดียว)
ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และเป็นเงินของกรรมการคนเดียวเลยเพิ่มทุนเข้าไป
ต่อมา เมษายน 2566 ผมกับผู้ถือหุ้นคนที่ 1 ได้ประเมินกันว่า เพื่อนที่ถือหุ้นคนที่ 2 เขาไม่ช่วยงานอะไรเลย เงินลงทุนก็ไม่เคยให้จริงๆ
ตอนแรกเขาบอกจะมาช่วย แต่สุดท้ายก็เหมือนพยายามหาข้ออ้างที่ให้เขาไม่ต้องทําอะไรเลย เราได้พยายามใช้วิธีพูดคุยเจรจาบอกเขาไปตามตรงว่าตอนนี้บริษัทรายจ่ายเยอะมากเพราะต้องทําโปรเจคใหม่ๆเพิ่ม และยังมีปัญหาเรื่องเงินเดือนจะไม่พอจ่ายพนักงาน เราเลยจะขอปิดบริษัทภายในสิ้นปีนี้ และเขาเองก็ไม่เคยช่วยงานอะไรเลยด้วย เราจะขอแยกย้าย และออกไปทําบริษัทใหม่กับหุ้นส่วนคนที่ 1 และเนื่องด้วยบริษัทเราทํางานออนไลน์เป็นบริษัทเล็กๆ ก็เลยไม่ค่อยได้โฟกัสกับเรื่องเอกสาร เราแจ้งเขาด้วยวาจา ก่อนจบกันไปมีปากเสียงกันนิดหน่อย เพราะเขาไม่เชื่อว่าบริษัทเรารายจ่ายเยอะและพูดเชิงเหมือนว่าเราโกหกเขา เขาคิดว่าบริษัทมีกําไรมากแต่เราปลอมแปลงบัญชี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะอย่างที่ผมบอกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรเลย ไม่เคยมาประชุม ตอนทํางานร่วมกันต้องตามตลอด เขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับบริษัท เช่น รายได้ รายจ่าย พนักงาน เพราะเขามีงานหลักตัวเองด้วย เขาก็เลยไม่ได้ให้เวลากับเราเลย หลังจากคุยกันจบไป ผมก็คิดว่าเป็นเพื่อนกันมานาน เขาก็คงโกรธแต่ก็คงไม่เอาเรื่องติดใจอะไร ต่างคนต่างแยกย้าย ผมซึ่งเป็นกรรมการจึงนําชื่อเขาออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น 10% โดยที่ไม่ได้ให้เขาเซ็นหรือทําใบซื้อขายโอนหุ้น แค่แจ้งกรมพัฒ เพราะเขาคงไม่คุยอะไรแล้วตอนนั้นหายไปเลย ถามว่าจะเอายังไงก็ไม่ตอบ
ต่อมา 1 เดือน มีหมายศาลส่งมาที่บ้าน เขาฟ้องผม ในความผิดพระราชบัญญัติกําหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 42
ที่เอาชื่อเขาออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น 10% โดยอ้างว่าเขาชําระเงินแล้วเต็มจํานวน 100,000 บาท และเรียกค่าเสียหายมา 2 ล้านบาท
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- ตอนเอาชื่อเขาเข้ามาถือหุ้นตอนปี 2565 ไม่มีใบซื้อขายหุ้น เขาไม่ได้ให้เงินผม เพียงแต่ตอนนั้นเขาบอกว่าจะให้ทีหลังและเป็นเพื่อนกันผมก็เลยเอาชื่อเข้า
แต่ในเอกสารลงไว้ว่าชําระแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานนะครับ เพราะเขาไม่เคยให้เงินจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่บริษัทดําเนินงานมา ผู้ถือหุ้นไม่เคยโอนเงินเข้าบริษัท ไม่เคยให้เงินสดกรรมการ ทุกครั้งที่เงินไม่พอหมุนเวียน ก็จะเป็นชื่อผมซึ่งเป็นกรรมการ เติมเงินเข้าไปตลอด บริษัทไม่เคยปันผลเพราะกําไรไม่ได้เยอะขนาดนั้น
- เขาไม่เคยมีส่วนร่วมในการช่วยบริหารงานอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้เขาคิดว่าเราโกงปลอมแปลงบัญชี เพราะเขาไม่รู้ด้วยซํ้า ว่าเรามีรายจ่ายเยอะแค่ไหน พนักงานกี่คน ซึ่งผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ปลอมแปลงอะไรเลย ทั้งผู้ตรวจสอบบัญชี กรมสรรพากร ก็เคยตรวจสอบบริษัทไปแล้วไม่มีปัญหาอะไร ยื่นงบการเงินปกติ
*** สรุป เขาไม่เคยให้เงินจริง ไม่เคยช่วยงาน แต่พยายามเรียกร้องว่าตัวเองเสียหายคงเพราะคิดว่าบริษัทมีกําไรมากมาย อะไรประมาณนี้ครับ
ที่ผมประเมินอาจจะพลาดจริง ก็คือตอนที่เอาชื่อเขาออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยไม่ได้ทําใบซื้อขาย-โอน หรือแจ้งเขาเป็นเอกสาร แต่ความจริงเขาก็ไม่ได้ให้เงินผมจริงๆ ไม่ช่วยงานเลยด้วย ตอนร่วมงานกันเวลาพูดถึงรายจ่ายหรือปัญหา เขาจะหาย ติดต่อไม่ได้เลย แต่พอแบบนี้เขาจะฟ้องเอาเงิน รู้สึกผิดเลยที่เลือกคบเพื่อนผิด
แบบนั้นมีโอกาสกี่% ที่ผมจะแพ้คดีครับ และผมควรสู้ในประเด็นไหน จะถามค้านเขาอย่างไรในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง...
โดนฟ้อง ความผิดพระราชบัญญัติกําหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 42
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจาก ผมจดบริษัทเมื่อปี 2564 ด้วยชื่อผมคนเดียวเป็นกรรมการและคนในครอบครัวอีก 2 คนที่แค่เอาขื่อมาใส่ให้ครบเฉยๆ
ต่อมาดําเนินธุรกิจมาได้ 1 ปี ได้เอาเพื่อนเข้ามาร่วมหุ้น 2 คน
คนที่ 1 ถือหุ้นสัดส่วน 60%
คนที่ 2 ถือหุ้นสัดส่วน 10% ** คนที่ฟ้อง**
ผมเอง ถือหุ้นสัดส่วน 30% (เป็นกรรมการคนเดียว)
ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และเป็นเงินของกรรมการคนเดียวเลยเพิ่มทุนเข้าไป
ต่อมา เมษายน 2566 ผมกับผู้ถือหุ้นคนที่ 1 ได้ประเมินกันว่า เพื่อนที่ถือหุ้นคนที่ 2 เขาไม่ช่วยงานอะไรเลย เงินลงทุนก็ไม่เคยให้จริงๆ
ตอนแรกเขาบอกจะมาช่วย แต่สุดท้ายก็เหมือนพยายามหาข้ออ้างที่ให้เขาไม่ต้องทําอะไรเลย เราได้พยายามใช้วิธีพูดคุยเจรจาบอกเขาไปตามตรงว่าตอนนี้บริษัทรายจ่ายเยอะมากเพราะต้องทําโปรเจคใหม่ๆเพิ่ม และยังมีปัญหาเรื่องเงินเดือนจะไม่พอจ่ายพนักงาน เราเลยจะขอปิดบริษัทภายในสิ้นปีนี้ และเขาเองก็ไม่เคยช่วยงานอะไรเลยด้วย เราจะขอแยกย้าย และออกไปทําบริษัทใหม่กับหุ้นส่วนคนที่ 1 และเนื่องด้วยบริษัทเราทํางานออนไลน์เป็นบริษัทเล็กๆ ก็เลยไม่ค่อยได้โฟกัสกับเรื่องเอกสาร เราแจ้งเขาด้วยวาจา ก่อนจบกันไปมีปากเสียงกันนิดหน่อย เพราะเขาไม่เชื่อว่าบริษัทเรารายจ่ายเยอะและพูดเชิงเหมือนว่าเราโกหกเขา เขาคิดว่าบริษัทมีกําไรมากแต่เราปลอมแปลงบัญชี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะอย่างที่ผมบอกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรเลย ไม่เคยมาประชุม ตอนทํางานร่วมกันต้องตามตลอด เขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับบริษัท เช่น รายได้ รายจ่าย พนักงาน เพราะเขามีงานหลักตัวเองด้วย เขาก็เลยไม่ได้ให้เวลากับเราเลย หลังจากคุยกันจบไป ผมก็คิดว่าเป็นเพื่อนกันมานาน เขาก็คงโกรธแต่ก็คงไม่เอาเรื่องติดใจอะไร ต่างคนต่างแยกย้าย ผมซึ่งเป็นกรรมการจึงนําชื่อเขาออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น 10% โดยที่ไม่ได้ให้เขาเซ็นหรือทําใบซื้อขายโอนหุ้น แค่แจ้งกรมพัฒ เพราะเขาคงไม่คุยอะไรแล้วตอนนั้นหายไปเลย ถามว่าจะเอายังไงก็ไม่ตอบ
ต่อมา 1 เดือน มีหมายศาลส่งมาที่บ้าน เขาฟ้องผม ในความผิดพระราชบัญญัติกําหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน มาตรา 42
ที่เอาชื่อเขาออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น 10% โดยอ้างว่าเขาชําระเงินแล้วเต็มจํานวน 100,000 บาท และเรียกค่าเสียหายมา 2 ล้านบาท
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- ตอนเอาชื่อเขาเข้ามาถือหุ้นตอนปี 2565 ไม่มีใบซื้อขายหุ้น เขาไม่ได้ให้เงินผม เพียงแต่ตอนนั้นเขาบอกว่าจะให้ทีหลังและเป็นเพื่อนกันผมก็เลยเอาชื่อเข้า
แต่ในเอกสารลงไว้ว่าชําระแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานนะครับ เพราะเขาไม่เคยให้เงินจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่บริษัทดําเนินงานมา ผู้ถือหุ้นไม่เคยโอนเงินเข้าบริษัท ไม่เคยให้เงินสดกรรมการ ทุกครั้งที่เงินไม่พอหมุนเวียน ก็จะเป็นชื่อผมซึ่งเป็นกรรมการ เติมเงินเข้าไปตลอด บริษัทไม่เคยปันผลเพราะกําไรไม่ได้เยอะขนาดนั้น
- เขาไม่เคยมีส่วนร่วมในการช่วยบริหารงานอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้เขาคิดว่าเราโกงปลอมแปลงบัญชี เพราะเขาไม่รู้ด้วยซํ้า ว่าเรามีรายจ่ายเยอะแค่ไหน พนักงานกี่คน ซึ่งผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ปลอมแปลงอะไรเลย ทั้งผู้ตรวจสอบบัญชี กรมสรรพากร ก็เคยตรวจสอบบริษัทไปแล้วไม่มีปัญหาอะไร ยื่นงบการเงินปกติ
*** สรุป เขาไม่เคยให้เงินจริง ไม่เคยช่วยงาน แต่พยายามเรียกร้องว่าตัวเองเสียหายคงเพราะคิดว่าบริษัทมีกําไรมากมาย อะไรประมาณนี้ครับ
ที่ผมประเมินอาจจะพลาดจริง ก็คือตอนที่เอาชื่อเขาออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยไม่ได้ทําใบซื้อขาย-โอน หรือแจ้งเขาเป็นเอกสาร แต่ความจริงเขาก็ไม่ได้ให้เงินผมจริงๆ ไม่ช่วยงานเลยด้วย ตอนร่วมงานกันเวลาพูดถึงรายจ่ายหรือปัญหา เขาจะหาย ติดต่อไม่ได้เลย แต่พอแบบนี้เขาจะฟ้องเอาเงิน รู้สึกผิดเลยที่เลือกคบเพื่อนผิด
แบบนั้นมีโอกาสกี่% ที่ผมจะแพ้คดีครับ และผมควรสู้ในประเด็นไหน จะถามค้านเขาอย่างไรในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง...