นิด้าโพลเผยปชช. 29.39% โสดไม่มีแฟน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_621117/
นิด้าโพลเผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง “มีลูกกันเถอะน่า” พบ 29.39%โสดไม่มีแฟน รองลงมาแต่งงานมีลูกแล้ว ไม่กังวลหากอนาคตเด็กเกิดใหม่น้อย ขอรัฐบาลสนับสนุนการศึกษาฟรี
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “
มีลูกกันเถอะน่า” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 จากประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18-40 ปี กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการมีลูกในปัจจุบัน การสำรวจอาศัย การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “
นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงสถานะการแต่งงานและการมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.39 ระบุว่า เป็นโสดและไม่มีแฟน รองลงมา ร้อยละ 26.57 ระบุว่า แต่งงานจดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว ร้อยละ 20.92 ระบุว่า เป็นโสดแต่มีแฟนแล้ว ร้อยละ 10.99 ระบุว่า แต่งงานไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว ร้อยละ 4.58 ระบุว่า แต่งงานจดทะเบียนสมรสแต่ไม่มีลูก ร้อยละ 2.52 ระบุว่า เป็นแม่หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว (หม้ายที่มีลูกแล้ว โสดและมีลูกแล้ว) ร้อยละ 1.98 ระบุว่า แต่งงานไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ไม่มีลูก และมีคู่ครอง (อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน) และมีลูกแล้ว ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 1.07 ระบุว่า มีคู่ครอง (อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน) แต่ไม่มีลูก
เมื่อสอบถามผู้ที่ยังไม่มีลูก (จำนวน 759 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการอยากมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.89 ระบุว่า อยากมี รองลงมา ร้อยละ 44.00 ระบุว่า ไม่อยากมี และร้อยละ 2.11 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อสอบถามผู้ที่ไม่อยากมีลูก (จำนวน 334 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับสาเหตุที่ไม่อยากมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก และเป็นห่วงว่าลูกเราจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน ในสัดส่วนที่เท่ากัน รองลงมา ร้อยละ 37.72 ระบุว่า ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก ร้อยละ 33.23 ระบุว่า ต้องการชีวิตอิสระ ร้อยละ 17.66 ระบุว่า กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี ร้อยละ 13.77 ระบุว่า อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า ร้อยละ 5.39 ระบุว่า สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี ร้อยละ 2.10 ระบุว่า กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย และร้อยละ 0.90 ระบุว่า กลัวกรรมตามสนองเนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อ แม่
ส่วนความกังวลต่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ในอนาคตว่าจะมีน้อยมาก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.53 ระบุว่า ไม่กังวลเลย รองลงมา ร้อยละ 23.13 ระบุว่า ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 17.79 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล และร้อยละ 8.55 ระบุว่า กังวลมาก
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงมาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 65.19 ระบุว่า สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก รองลงมา ร้อยละ 63.66 ระบุว่า รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก ร้อยละ 21.91 ระบุว่า มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด ร้อยละ 19.92 ระบุว่า อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว
ร้อยละ 17.18 ระบุว่า พัฒนาและอุดหนุนการเงินศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก ร้อยละ 9.85 ระบุว่า มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ร้อยละ 7.48 ระบุว่า เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก ร้อยละ 5.50 ระบุว่า รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น ร้อยละ 4.89 ระบุว่า รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย ร้อยละ 2.75 ระบุว่า รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใด ๆ และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
หมอพรทิพย์ กลับถึงไทย เล่านาทีโดนชี้หน้าด่า รับผิดถ่ายภาพบนลาวามอส ข้องใจคนเกลียดชัง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7893051
หมอ
พรทิพย์ กลับถึงไทย เล่านาทีโดนชี้หน้าด่า ลั่นใช้ธรรมะข่ม จนรู้สึกเฉยๆ ยอมรับผิดพลาดถ่ายภาพบนลาวามอส ข้องใจคนเกลียดชังนำไปขยายผล
หลังมีชายคนหนึ่ง บุกไล่ พญ.คุณหญิง
พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สว. ออกจากร้านอาหารในประเทศไอซ์แลนด์ เนื่องจากรับไม่ได้กับสิ่งที่ทำในบทบาท สว.
ล่าสุด หมอ
พรทิพย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก
Porntip Rojanasunan ความว่า
กลับถึงไทยแล้ว ขออนุญาตเรียนตามที่บอกไว้เรื่องทริปนี้ ส่วนเรื่องการถูกไล่ออกจากร้านอาหารที่ไอซ์แลนด์ ได้เป็นบททดสอบธรรมะในตน ทันทีที่ทราบว่าเขาเกลียดมากจนชี้หน้าด่า
หมอกลับรู้สึกเฉยและมองไปข้างหลังและข้างหน้าของเขาที่จะเป็นเช่นไร ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำแนะนำ แต่ขออนุญาตเลือกที่จะใช้ธรรมะจัดการมากกว่าใช้กฎหมายจัดการ
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพบนลาวามอสก็ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ศึกษากฎระเบียบให้ชัดเจน ในบริเวณที่ลงถ่ายไม่มีป้ายจึงทำไม่ถูกระเบียบ แจ้งมาก็เพื่อให้รู้ว่าหมอผิดพลาดเอง และแก้ไขทันทีที่ทราบทันที จึงลบออกตั้งแต่ยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่ทันสำหรับคนที่เกลียดชังนำไปขยายผล
ขอบคุณอีกครั้ง
https://www.facebook.com/khunyingporntip.rojanasunan/posts/6478208198968821?ref=embed_post
‘เจโทร’ เตือนนโยบายค่าแรง 400 บาท ดูผลกระทบบริษัทต่างชาติด้วย
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1091326
‘เจโทร’ ยื่นข้อเสนอรัฐบาลไทย พิจารณาให้รอบคอบ ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ดูผลกระทบทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย
การปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ผลักดันโดยจะบริหารเศรษฐกิจให้ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5% เพื่อให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ในระยะแรกรัฐบาลมีเป้าหมายจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2566 โดยคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) จะพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดในเดือน ต.ค.2566 และเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบในเดือน พ.ย.2566
ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 400 บาท ทั่วประเทศหรือไม่ โดยล่าสุดนายพิพัฒน์ รัฐกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ให้กระทบเอสเอ็มอี และคณะกรรมการไตรภาคีจะเป็นผู้สรุปว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท หรือไม่
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทำให้ทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติจับตานโยบายดังกล่าว รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน ซึ่งแม้ว่าจะมีการจ่ายค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ
นายจุนอิชิโร คุโรดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ (เจโทร กรุงเทพ) กล่าวว่า แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำไทยว่า อยากให้รัฐบาลพิจารณาถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ทั้งเอกชนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติเพื่อให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในภูมิภาค
“เราคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างแรงงานฝีมือขั้นสูงให้พร้อมรับการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต”
นอกจากนี้ แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยงโดยการกระจายบทบาทการผลิตไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการเปิดโรงงานเฟสใหม่ของมูราตะได้ตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นของไทยและญี่ปุ่น และการเดินหน้าร่วมสร้างสรรค์ (co-creation) สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต
ขณะที่การลงทุนของมูราตะในภาคเหนือของประเทศไทยจะเป็นการบริหารความเสี่ยงซัพพลายเชน รวมทั้งเป็นการเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบรับความต้องการของตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัว ซึ่งเจโทร กรุงเทพฯ พร้อมที่จะสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นในไทยขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาการผลิตให้พร้อมรับเทรนด์อุตสาหกรรมใหม่เหมือนกับที่มูราตะตัดสินใจขยายการผลิตที่มีเทคโนโลยีใหม่ในไทย
รวมทั้งเชิญนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีศักยภาพเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่สนใจ อาทิ การแพทย์ เกษตร และกลุ่มสตาร์ทอัป
JJNY : 29.39% โสดไม่มีแฟน│หมอพรทิพย์รับผิดถ่ายภาพบนลาวามอส│‘เจโทร’เตือนนโยบายค่าแรง│สหรัฐฯ ผ่านร่างกม.หลีกเลี่ยงชัตดาวน์
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_621117/
นิด้าโพลเผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง “มีลูกกันเถอะน่า” พบ 29.39%โสดไม่มีแฟน รองลงมาแต่งงานมีลูกแล้ว ไม่กังวลหากอนาคตเด็กเกิดใหม่น้อย ขอรัฐบาลสนับสนุนการศึกษาฟรี
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “มีลูกกันเถอะน่า” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 จากประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18-40 ปี กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการมีลูกในปัจจุบัน การสำรวจอาศัย การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงสถานะการแต่งงานและการมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.39 ระบุว่า เป็นโสดและไม่มีแฟน รองลงมา ร้อยละ 26.57 ระบุว่า แต่งงานจดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว ร้อยละ 20.92 ระบุว่า เป็นโสดแต่มีแฟนแล้ว ร้อยละ 10.99 ระบุว่า แต่งงานไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีลูกแล้ว ร้อยละ 4.58 ระบุว่า แต่งงานจดทะเบียนสมรสแต่ไม่มีลูก ร้อยละ 2.52 ระบุว่า เป็นแม่หรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว (หม้ายที่มีลูกแล้ว โสดและมีลูกแล้ว) ร้อยละ 1.98 ระบุว่า แต่งงานไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ไม่มีลูก และมีคู่ครอง (อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน) และมีลูกแล้ว ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 1.07 ระบุว่า มีคู่ครอง (อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน) แต่ไม่มีลูก
เมื่อสอบถามผู้ที่ยังไม่มีลูก (จำนวน 759 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการอยากมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.89 ระบุว่า อยากมี รองลงมา ร้อยละ 44.00 ระบุว่า ไม่อยากมี และร้อยละ 2.11 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อสอบถามผู้ที่ไม่อยากมีลูก (จำนวน 334 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับสาเหตุที่ไม่อยากมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก และเป็นห่วงว่าลูกเราจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน ในสัดส่วนที่เท่ากัน รองลงมา ร้อยละ 37.72 ระบุว่า ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก ร้อยละ 33.23 ระบุว่า ต้องการชีวิตอิสระ ร้อยละ 17.66 ระบุว่า กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี ร้อยละ 13.77 ระบุว่า อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า ร้อยละ 5.39 ระบุว่า สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี ร้อยละ 2.10 ระบุว่า กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย และร้อยละ 0.90 ระบุว่า กลัวกรรมตามสนองเนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อ แม่
ส่วนความกังวลต่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ในอนาคตว่าจะมีน้อยมาก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.53 ระบุว่า ไม่กังวลเลย รองลงมา ร้อยละ 23.13 ระบุว่า ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 17.79 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล และร้อยละ 8.55 ระบุว่า กังวลมาก
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงมาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 65.19 ระบุว่า สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก รองลงมา ร้อยละ 63.66 ระบุว่า รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก ร้อยละ 21.91 ระบุว่า มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด ร้อยละ 19.92 ระบุว่า อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว
ร้อยละ 17.18 ระบุว่า พัฒนาและอุดหนุนการเงินศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก ร้อยละ 9.85 ระบุว่า มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ร้อยละ 7.48 ระบุว่า เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก ร้อยละ 5.50 ระบุว่า รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น ร้อยละ 4.89 ระบุว่า รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย ร้อยละ 2.75 ระบุว่า รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใด ๆ และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
หมอพรทิพย์ กลับถึงไทย เล่านาทีโดนชี้หน้าด่า รับผิดถ่ายภาพบนลาวามอส ข้องใจคนเกลียดชัง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7893051
หมอพรทิพย์ กลับถึงไทย เล่านาทีโดนชี้หน้าด่า ลั่นใช้ธรรมะข่ม จนรู้สึกเฉยๆ ยอมรับผิดพลาดถ่ายภาพบนลาวามอส ข้องใจคนเกลียดชังนำไปขยายผล
หลังมีชายคนหนึ่ง บุกไล่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สว. ออกจากร้านอาหารในประเทศไอซ์แลนด์ เนื่องจากรับไม่ได้กับสิ่งที่ทำในบทบาท สว.
ล่าสุด หมอพรทิพย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Porntip Rojanasunan ความว่า
กลับถึงไทยแล้ว ขออนุญาตเรียนตามที่บอกไว้เรื่องทริปนี้ ส่วนเรื่องการถูกไล่ออกจากร้านอาหารที่ไอซ์แลนด์ ได้เป็นบททดสอบธรรมะในตน ทันทีที่ทราบว่าเขาเกลียดมากจนชี้หน้าด่า
หมอกลับรู้สึกเฉยและมองไปข้างหลังและข้างหน้าของเขาที่จะเป็นเช่นไร ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำแนะนำ แต่ขออนุญาตเลือกที่จะใช้ธรรมะจัดการมากกว่าใช้กฎหมายจัดการ
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพบนลาวามอสก็ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ศึกษากฎระเบียบให้ชัดเจน ในบริเวณที่ลงถ่ายไม่มีป้ายจึงทำไม่ถูกระเบียบ แจ้งมาก็เพื่อให้รู้ว่าหมอผิดพลาดเอง และแก้ไขทันทีที่ทราบทันที จึงลบออกตั้งแต่ยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่ทันสำหรับคนที่เกลียดชังนำไปขยายผล
ขอบคุณอีกครั้ง
https://www.facebook.com/khunyingporntip.rojanasunan/posts/6478208198968821?ref=embed_post
‘เจโทร’ เตือนนโยบายค่าแรง 400 บาท ดูผลกระทบบริษัทต่างชาติด้วย
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1091326
‘เจโทร’ ยื่นข้อเสนอรัฐบาลไทย พิจารณาให้รอบคอบ ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ดูผลกระทบทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย
การปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ผลักดันโดยจะบริหารเศรษฐกิจให้ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5% เพื่อให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ในระยะแรกรัฐบาลมีเป้าหมายจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2566 โดยคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) จะพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดในเดือน ต.ค.2566 และเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบในเดือน พ.ย.2566
ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 400 บาท ทั่วประเทศหรือไม่ โดยล่าสุดนายพิพัฒน์ รัฐกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ให้กระทบเอสเอ็มอี และคณะกรรมการไตรภาคีจะเป็นผู้สรุปว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท หรือไม่
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทำให้ทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติจับตานโยบายดังกล่าว รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน ซึ่งแม้ว่าจะมีการจ่ายค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ
นายจุนอิชิโร คุโรดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ (เจโทร กรุงเทพ) กล่าวว่า แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำไทยว่า อยากให้รัฐบาลพิจารณาถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ทั้งเอกชนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติเพื่อให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในภูมิภาค
“เราคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างแรงงานฝีมือขั้นสูงให้พร้อมรับการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต”
นอกจากนี้ แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยงโดยการกระจายบทบาทการผลิตไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการเปิดโรงงานเฟสใหม่ของมูราตะได้ตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นของไทยและญี่ปุ่น และการเดินหน้าร่วมสร้างสรรค์ (co-creation) สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต
ขณะที่การลงทุนของมูราตะในภาคเหนือของประเทศไทยจะเป็นการบริหารความเสี่ยงซัพพลายเชน รวมทั้งเป็นการเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบรับความต้องการของตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัว ซึ่งเจโทร กรุงเทพฯ พร้อมที่จะสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นในไทยขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาการผลิตให้พร้อมรับเทรนด์อุตสาหกรรมใหม่เหมือนกับที่มูราตะตัดสินใจขยายการผลิตที่มีเทคโนโลยีใหม่ในไทย
รวมทั้งเชิญนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีศักยภาพเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่สนใจ อาทิ การแพทย์ เกษตร และกลุ่มสตาร์ทอัป