ยางพาราไทยโดยสวมสิทธิ

บริษัทข้ามชาติในเมียนมา-ลาวยางล้นสต๊อก ดีลขายถูก-หนีภาษีเข้าไทย
.
บริษัทยักษ์ข้ามชาติใน “เมียนมา-ลาว-กัมพูชา” เจอวิกฤตยางล้นสต๊อก ดีลพ่อค้าคนกลางไทยเสนอขาย “ยางก้อนถ้วย ยางแผ่น ยางแท่ง” หนีภาษี เข้าโรงงานแปรรูปในไทยราคาต่ำกว่ายางไทย ฟันส่วนต่างเพียบ แถมสวมสัญชาติไทยส่งไปขายต่อมาเลเซีย
.
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราส่งออก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกบางแห่งที่เข้าไปลงทุนเปิดโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางในประเทศเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ได้มีการเสนอขายยางก้อนถ้วย ยางแผ่น ยางแท่ง ผ่านพ่อค้าคนกลางทั้งขนาดกลาง ขนาดเล็กในประเทศไทย เพื่อให้ขายยางต่อกับกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปยางในประเทศไทย เนื่องจากตลาดหลักจีนชะลอการรับซื้อ
.
โดยบริษัทผู้ผลิตล้อยางบางแห่ง และโรงงานผลิตถุงมือยางในจีนมีสต๊อกยางคงค้างอยู่มากส่งผลให้บริษัทข้ามชาติที่มาตั้งใน 3 ประเทศเพื่อนบ้านมีสต๊อกคงค้างต้องการเทขายออก โดยยางพาราจากประเทศเพื่อนบ้านมีราคาต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย จึงขายได้ราคาถูก
.
“มีพ่อค้าคนกลางจำนวนหนึ่งนำเข้ายางพาราจากเมียนมา ลาว และกัมพูชาสวมเป็นยางไทยส่งไปขายมาเลเซีย ซึ่งได้ส่วนต่างกำไรดี”
ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ปลูกยางพาราและให้ผลผลิตแล้วรวมหลายล้านไร่ แต่การทำตลาดยางพาราใน 3 ประเทศยังแคบไม่กว้างเหมือนกับไทย จึงมีการส่งออกมายังตลาดยางพาราไทย ซึ่งจะมีราคาดีกว่าขายภายในประเทศน่าจะได้ส่วนต่างประมาณ 3-4 บาท/กิโลกรัม ซึ่งจะมียางพาราทุกประเภท ตั้งแต่เศษยาง ยางก้อนถ้วย ยางแผ่นดิบ และน้ำยางสด
.
“ตอนนี้ยางราคาได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยบางพื้นที่ เนื่องจากฝนตกและภัยแล้งต่อเนื่อง ชาวสวนจึงไม่ได้กรีดยางเต็มที่ อีกทั้งน้ำยางสดก็หดตัวมาก และยังมีการทิ้งสวนยางไม่ได้กรีด เป็นเหตุให้ยางเกิดการขาดแคลน ส่งผลให้ราคายางปรับตัวขึ้น เพราะแข่งขันกันซื้อเพื่อส่งมอบตามสัญญาที่ทำกันไว้กับตลาดต่างประเทศเป็นสำคัญ
.
โดยตลาดกลางยางประมูลซื้อขายที่ 41 บาท/กก. แต่เวลาปรับตัวทยอยลงเป็น 4-5 บาท/กก. ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 63.40 บาท/กก. ตอนนี้ยังขาดทุนอยู่ที่ 20 บาท/กก. รัฐบาลจะต้องลงมาดูแล” ดร.อุทัยกล่าว
.
นายสุรชัย บุญวรรโณ ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยเขตภาคใต้ตอนล่าง (กยท.) เปิดเผยว่า ประเด็นที่มีรายงานข่าวออกมาว่ามีการส่งออกยางพาราจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังตลาดประเทศไทย เพราะขายได้ราคาที่ดีกว่า เนื่องจากมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าอยู่ที่ประมาณ 27-28 บาท/กก. อัตราค่าแรงงานก็ถูกกว่า ขณะที่ยางพาราไทยมีต้นทุนการผลิตสูงอยู่ที่ประมาณ 40 กว่าบาท/กก. ปัจจัยจากอัตราค่าแรงงาน ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมัน ฯลฯ ในขณะเดียวกันราคายางพาราของไทยมีการปรับตัวในการซื้อขาย ซึ่งบางช่วงอยู่ที่ 40-43 บาทกว่า/กก. ฯลฯ ทำให้ได้กำไรส่วนต่างมากกว่า
.
ทั้งนี้ ยางพาราถือเป็นสินค้าควบคุมและนำเข้ามาไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เพราะหากมีการนำเข้ามาจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราภายในประเทศไทย ดังนั้น ยางพาราที่เข้ามาจึงเป็นลักษณะของการหลบเลี่ยง จะส่งผลกระทบให้เกิดปริมาณยางพาราล้นตลาด และกดดันให้ราคาลงในที่สุด ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีพื้นที่ปลูกยางพาราถึงประมาณ 23-24 ล้านไร่ และมีผลผลิตแล้วประมาณ 4 ล้านต้น/ปี ตลาดยางพาราของประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกในตลาดโลก
.
นายสุรชัยกล่าวถึงสถานการณ์โรคยางพาราใบร่วงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ยางพาราเกิดโรคใบร่วง ส่งผลกระทบ
ต่อชาวสวนยางพาราเป็นอย่างมากในเรื่องรายได้ เพราะปริมาณน้ำยางสดได้หดหายไปถึง 50-60% โดยเฉพาะสวนยางพาราจังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.นราธิวาส มาเป็นอันดับต้นๆ รองลงมา จ.ยะลา จ.สงขลา จ.พัทลุง จ.ตรัง จดไปถึงภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ฝั่งอันดามัน จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.กระบี่ จ.พังงา
.
“เฉพาะ จ.นราธิวาสหนักมาก ซึ่งปี 2565 ยางพาราจำนวน 900,000 ไร่ ได้รับความเสียหายจากโรคใบร่วงไป 800,000 ไร่ จ.ยะลา 200,000 ไร่ แต่มาในปี 2566 จ.นราธิวาส เป็นโรคใบร่วงประมาณ 88,000 ไร่ ฯลฯ ส่งผลให้น้ำยางสดหดหายไป 50-60 เปอร์เซ็นต์ จนต้องทำยางก้อนถ้วยกัน ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้เป็นอย่างมาก”
.
นายสุรชัยกล่าวต่อไปว่า ในที่สุดชาวสวนยางพาราจึงหาทางออก ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปลูกยางพาราเปลี่ยนไปปลูกปาล์มน้ำมันที่ จ.นราธิวาสและ จ.ยะลา เปลี่ยนแปลงไปปลูกทุเรียน ฯลฯ
.
สำหรับโรคยางใบร่วงสาเหตุสำคัญเกิดจากปัญหาดินเสื่อมสภาพ เพราะหลายพื้นที่มีการปลูกยางต่อเนื่อง 3-4 รุ่น และมีการใช้กับสารเคมี ส่งผลให้ดินแข็ง ทาง กยท.แก้ไขปัญหาโดยการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อบำรุงดิน โดยใส่ปุ๋ยเคมี 1 ครั้ง/ปี สลับกับปุ๋ยอินทรีย์ 2 ครั้ง/ปี ซึ่งการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้ปริมาณน้ำยางอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการใช้ปุ๋ยเคมี ลดต้นทุนการผลิตได้มาก
.
นายกัมปนาท วงศ์ชูวรรณ ผู้จัดการ กลุ่มเกษตรกรทำสวนธารน้ำทิพย์ สถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราเพื่อส่งออก เปิดเผยว่า ทิศทางยางพาราไตรมาส 3 และ 4 ยังมีแนวโน้มถดถอย เพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในตลาดโลก โดยเฉพาะจีนไม่ตอบรับในการซื้อขายทั้งยางแท่งและยางก้อนถ้วย เนื่องจากล้อยางมีสต๊อกเหลือจำนวนมากในต่างประเทศ จนมีการลดกำลังการผลิต ส่งผลต่อการซื้อขายยางในตลาดโลกที่มีผลตอบรับไม่ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่