พระอรหันต์เมื่อเห็นแล้ว ปัญญาเกิด รู้ความจริงของเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพที่มีจริง เป็นธาตุชนิด ๑ เห็นแล้วก็ดับไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/20

ตอนที่ ๒๐
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
 
ส.   นี้แสดงให้เห็นว่า จิตใจเศร้าหมอง ที่ใช้คำว่า เศร้าหมอง ที่นี้หมายความว่า ไม่สะอาด สกปรก เต็มไปด้วยอกุศล   เพราะฉะนั้น ถ้าจิตว่างเว้น หรือว่าปราศจากอกุศลบ้างในวันหนึ่งๆ ขณะนั้นกำลังสะสมสิ่งที่ดี เป็นกุศล เพราะฉะนั้น   เวลาพูดว่า อย่างนี้จะได้บุญมากไหม แสดงให้เห็นแล้วว่า คนนั้นเป็นโลภะ เป็นความต้องการ    แต่ถ้าทำกุศลและรู้ว่า ใจไม่ปรารถนา หรือว่าไม่ติดข้อง ไม่ต้องการอะไรเลยที่จะเป็นการตอบแทน จิตเบาสบาย สะอาดจริงๆ ขณะนั้น เป็นกุศลมาก ไม่ใช่ว่า ได้บุญมาก อย่าลืม เพราะโดยมากจะถามว่า ได้บุญมากไหม แต่ความจริงแล้ว จิตในขณะที่ไม่ได้ปราถนาสิ่งใดตอบแทน เป็นกุศลอย่างมาก ผ่องใส สะอาด เพราะฉะนั้น ผลมาก แต่ไม่ใช่ให้ไปติดในผลอีก    พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม โดยเหตุ โดยผล   ถ้าจิตใจผ่องแผ้วสะอาดจากอกุศลเท่าไหร่ เป็นกุศลเท่านั้น     เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุดีเท่าไหร่ ผลต้องมากเท่านั้น แสดงเหตุผลตามความเป็นจริง แต่คนส่วนมากไม่เข้าใจ ไม่ได้บอกอย่างนี้ว่า จุดมุ่ง คือ ให้จิตไม่เป็นอกุศล   แต่ว่าจุดมุ่งของคนทั่วๆ ไป บอกให้ทำบุญ เพื่อจะได้ผลบุญ นี้กลายเป็นลบกุศลซึ่งทำแล้ว ใช่ไหม เพราะว่า ไปติดข้องในผลที่จะได้รับ เพราะฉะนั้นรู้ว่า จิตใจเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น ทำกุศลทุกอย่างเพื่อที่จะให้โลภะ โทสะ น้อยลง    ถ้าโลภะน้อยลง จะเป็นคนที่มีความเบาสบายมาก ไม่เดือดร้อน ใช่ไหม ไม่ติดข้องในสิ่งซึ่งต้องไปขวนขวายหามา และกว่าจะได้มาก็แสนจะลำบาก บางทีลำบากต้องเดินทางไปถึงต่างจังหวัด ขึ้นเขา ลงห้วย กว่าจะได้เพชรน้ำใสๆ มาสักเม็ด เป็นเรื่องซึ่ง ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น จะสบายกว่า ใช่ไหม แต่เพราะไม่รู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่จะทำให้สบายจริงๆ    ถ้ายังติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในทรัพย์ ในวัตถุต่างๆ ขณะนั้น ไม่มีวันที่จะเป็นสุขอย่างสงบจริงๆ ได้ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอ คนที่มีความสุข คือ คนที่พอ เท่าไหร่ก็พอ มีเท่าไหร่ก็พอ แต่ว่า ถ้าคนที่ไม่พอ เท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ ในพระไตรปิฏกอุปมาว่า ถึงแม้ว่า จะให้ภูเขาทองคำลูก ๑ ก็ยังอยากได้อีกลูก ๑ คือ ไม่มีทางจะพอได้เลย สมบัติ หรือบางคนที่ทำบุญ มือนี้ให้ไป ส่วนมือนี้ก็ยื่นออกไปรับ หมายความว่า ให้ไป แล้วหวังผลที่จะได้ เลยไม่มีความหมาย คือว่า จะต้องทำอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาใช่ไหม แต่ว่าถ้าคนที่รู้ว่า ทุกข์ทั้งหมดเกิดจากอกุศลทุกชนิด เพราะฉะนั้นตอนหลังจะเริ่มเรียนว่า อกุศลเจตสิกมีอะไรบ้าง

ถ. ต่อไปอีกนิดหนึ่ง ปัญญาที่เกิดในสมาธิ สมมติว่า มีสมาธิแล้ว แล้วจะทำให้เกิดปัญญาขึ้น ปัญญาที่เกิดจากสมาธิมีลักษณะอย่างไร

ส. นี้คือเรื่องฟังเขาบ้าง ตามๆ มาบ้าง อ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้บ้าง แต่ว่า ต้องเป็นผู้ตรง ว่า ปัญญารู้อะไร นี้สำคัญมาก ขณะนี้อะไรเป็นของจริง ปัญญาต้องรู้ของจริง    ของจริงนี้ ภาษาบาลีใช้คำว่า สัจจธรรม   และของจริงที่รู้แจ้งแล้ว ทำให้เป็นผู้เจริญ คือ อริยบุคคล เพราะฉะนั้น มีคำว่า อริยสัจจธรรม ธรรมที่ทำให้ผู้รู้เป็นผู้เจริญ เจริญที่นี้ไม่ใช่เจริญทางโลก แต่เจริญทางด้านจิตใจ ซึ่งได้สะสมความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะจริงๆ แล้ว เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ใช่ไหม    เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้คาดฝันไม่ได้ว่า จะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย เขาจะว่าอะไรพรุ่งนี้ เขาจะติจะชมอะไรพรุ่งนี้ ไม่สำคัญเท่ากับเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน   เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ    ถ้าเป็นพระอรหันต์ ๑ ท่านนั่งที่นี่ เห็นเหมือนเรา แต่ว่าใจของท่านต่างกับใจเราเพราะว่า ใจของเราเห็นแล้วปัญญาไม่เกิด   แต่พระอรหันต์ที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ เห็นแล้วปัญญาเกิดรู้ความจริงของเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพที่มีจริง เป็นธาตุชนิด ๑ เป็นธรรมชนิด ๑ เห็นแล้วดับไป    นี้คือผู้ที่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงสมาธิ หรือทำสมาธิแต่ต้องรู้ว่า ปัญญารู้อะไรก่อน ถ้าไม่รู้จักปัญญา หวังว่า นั่งแล้วปัญญาจะเกิด แต่ไม่รู้จักปัญญา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นปัญญาหรือเปล่าที่เกิด บางคนนั่งแล้วบอกว่า เหมือนจะเหาะได้ แล้วเป็นปัญญาอะไร เหาะได้เป็นปัญญาอะไร บางคนนั่งแล้วบอกว่า เหมือนเห็นนรกสวรรค์ แล้วเห็นนรกสวรรค์เป็นปัญญาอะไร ในเมื่อขณะนี้ เห็นเป็นของจริง เป็นสัจจะ ใครรู้ความจริงของเห็นในขณะนี้บ้างว่า เกิดแล้วดับ ทั้งๆ ที่กำลังเกิดดับ คนที่รู้ เป็นคนที่เจริญปัญญา แต่ถ้าไม่รู้จะชื่อว่า ปัญญา ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่า นั่งแล้วจะไปเกิดปัญญา ขณะนี้ กำลังเห็น กำลังนั่งด้วย ถ้าผู้มีปัญญา สามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนี้ได้ ผู้ที่ไม่รู้ความจริง ไปนั่งสักเท่าไหร่ ปัญญารู้ไม่ได้ และขณะนี้ กำลังเป็นของจริง ทำไมต้องไปนั่ง แค่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ รู้เห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็รู้ได้ยินเดี๋ยวนี้ ทำไมต้องไปนั่ง หนีไปนั่งทำไม หนีปัญญาไปทำไม ปัญญาเจริญได้

ถ. ……

ส. เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจเลยมีตัวตนไปทำ แต่ว่า ธรรมแต่ละอย่างทำหน้าที่ของธรรมนั้น เช่น สติ ทำหน้าที่ของสติ วิริยะ ความเพียรทำหน้าที่ของความเพียร สมาธิทำหน้าที่ของสมาธิ เวลานี้สมาธิกำลังเกิด ในขณะที่ได้ยินและกำลังเข้าใจ กำลังรู้เรื่อง นี้เป็นสมาธิทั้งนั้น และเป็นสัมมาสมาธิด้วย แล้วปัญญาค่อยๆ เกิด ขณะที่เข้าใจไม่ใช่เรา เป็นปัญญาซึ่งเริ่มจะเจริญขึ้น จนกว่าจะเกิดบ่อยๆ และรู้ชัดขึ้น คนในสมัยก่อน พอไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะที่กำลังฟังพระธรรมเป็นพระอริยบุคคล กำลังฟังไม่ได้หนีไปนั่งตรงไหนเลย ท่านอนาถบิณฑิกะท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านเป็นเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี ท่านเดินทางไปพระนครราชคฤห์ พอได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคประทับที่นั่น ท่านไปเฝ้า ขณะที่กำลังฟังธรรม พอฟังจบ ท่านเป็นพระโสดาบัน เพราะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ากำลังตรัส   พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็น การเห็นกำลังมี เป็นของจริง ปัญญาของท่านสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของเห็นในขณะนี้ว่า เป็นสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป และกำลังได้ยินเป็นสภาพธรรมมาอีกประเภทหนึ่ง เห็นไม่มีแล้ว ขณะนั้นจิตเกิดขึ้นได้ยิน เป็นสภาพธรรมมาอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่เราซึ่งยังไม่เข้าใจอย่างนั้น ต้องฟังมากกว่านั้น และไม่ต้องหนีไปนั่งด้วย เดี๋ยวนี้กำลังเป็นของจริง

ถ. จะเป็นได้ทั้ง ๒ อย่างไหม คือ สมมติฟังแล้วเข้าใจธรรม ฟังธรรมเเล้วเข้าใจ อันนี้เกิดปัญญา อันนี้ถือว่า เป็นกุศล

ส. ขณะนั้น เป็นศีล สมาธิ ปัญญาพร้อม

ถ. ที่นี้อีกทางหนึ่ง สมมติถ้าไม่ปฏิเสธ สมมติว่า พระกรรมฐาน พระวิปัสสนา พระเกจิอาจารย์ ท่านนั่งวิปัสสนา หรือว่าทำกรรมฐาน ท่านอาจจะได้ความรู้ ได้ปัญญาเกิดขึ้น นั้นเป็นไปได้อีกทางหนึ่งอย่างนั้นใช่ไหม

ส. เป็นไปไม่ได้ และไม่ใช่ เพราะว่า ถ้าเป็นผู้ที่รู้จริง จะไม่มีการสอนให้นั่ง เพราะว่า สภาพธรรมในขณะนี้กำลังปรากฏ สามารถที่จะเข้าใจจนกระทั่งสติเกิด ระลึกรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้   ถ้าเป็นผู้ที่ยังมีแบบแผน คือ การนั่ง แล้วยืน เดิน รับประทานอาหาร ปัญญาเกิดได้ไหม ถ้าปัญญาเกิดไม่ได้ ผิดหรือถูก และเป็นปัญญาหรือเปล่า นี้เป็นสัจจธรรม แข็งเป็นสัจจธรรม และเกิดดับจริงๆ เสียงเป็นสัจจธรรม เป็นของจริง ไม่มีใครสร้าง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับด้วย ทำไมไม่ให้รู้ความจริงอย่างนี้    แต่ว่า ผู้ที่ฟังพระธรรม ฟังเหตุผล อย่าลืม มีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่นี้ คือ พระอริยบุคคล ซึ่งเป็นพระอริยบุคคล ท่านต้องสามารถที่จะพูดเรื่องสัจจธรรม และสอนให้อบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้แจ้งสัจจธรรม ของจริงในขณะนี้ทุกขณะ ไม่มีการบอกว่า ต้องไปทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้แล้วจะรู้ เห็นในป่ากับเห็นที่นี่ ต่างกันหรือเหมือนกัน เห็นในห้องเล็กๆ ในรถยนต์ หรือว่าที่สนามหญ้า หรือว่าในห้องนี้ สภาพเห็นต่างกันหรือเหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ รู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเห็นอะไร ที่ไหน แล้วผู้นั้นจะไม่กลัวด้วย จะติดคุก บังเอิญกรรมเก่า หรือว่าจะอยู่ใต้ตึกถล่ม หรือจะอะไรก็ตามแต่ สภาพธรรมก็เป็นสภาพธรรม ปัญญาเกิดได้ทั้งหมดทุกแห่ง ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอยู่ในห้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่