ขนิกสมาธิไม่ได้ทำให้จิตสงบ

ฌานคือสภาพธรรมที่เพ่ง หรือ เผา ธรรมฝ่ายตรงกันข้าม
 ดังนั้นฌานจึงมีทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล ที่เป็นการเพ่งหรือเผา 
 ธรรมที่เป็นข้าศึกคือกิเลสในขณะนั้นที่เป็นนิวรณ์ เป็นต้น  
โดยนัยตรงกันข้าม ฌานที่เป็นอกุศลก็มี  
 ซึ่งขณะนั้นก็เผา  กุศล  คุณความดี เพราะเป็นอกุศลในขณะนั้นครับ 
ดังนั้นธรรมเป็นเรื่องละเอียด  
 เมื่อไม่ศึกษาหรือฟังให้เข้าใจก็สำคัญสิ่งที่ทำ
 คิดว่าเป็นฌานแล้วจะต้องเป็นกุศล  ซึ่งไม่เสมอไปหากเริ่มจากความเข้าใจผิดครับ
    สมาธิ เป็นความตั้งมั่น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง 
ทุกขณะที่จิตเกิดขึ้น จะต้องมีสมาธิเกิดร่วมด้วย   
สมาธิ คือ เอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง 
 มีความเสมอกันกับจิตที่เกิดร่วมด้วย
 เป็นไปได้ทั้งกุศล อกุศล วิบาก และกิริยา ตามประเภทของจิตนั้น ๆ
    ซึ่งสมาธิก็มีระดับความตั้งมั่นของสมาธิเช่นกัน 
ซึ่ง ขณิกสมาธิ คือ ขณะที่จิตตั้งมั่นเพียงชั่วขณะจิต
 แต่เมื่อมีความตั้งมั่นที่มีกำลัง ก็จะเพิ่มเป็นอุปจารสมาธิ 
และ เมื่อถึงความแนบแน่นก็ถึงความเป็นอัปปนาสมาธิ

♢ ขณิกสมาธิ
ขณิก ( ชั่วขณะ )  +  สมาธิ ( ความทรงไว้พร้อม , ความตั้งมั่น )
 สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิตที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป 
เช่น ขณะที่เห็น   ได้ยิน  ได้กลิ่น   ลิ้มรส  รู้สัมผัส  ขณะที่ยืน  เดิน นั่ง นอน  ตามปกติก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย

♢ อุปจารสมาธิ   เป็นสมาธิที่สงบจากอกุศล  สงบจากนิวรณ์   ใกล้ถึงอัปปนาสมาธิ แต่ยังไม่ใช่ปฐมฌาน

♢ อัปปนาสมาธิ
อปฺปนา ( ความแนบแน่น ) + สมาธิ ( ความทรงไว้พร้อม , ความตั้งมั่น )
 สมาธิที่ถึงความแนบแน่น  หมายถึง    สมาธิที่เกิดกับฌานจิตซึ่งพ้นจากรูป   เสียง  กลิ่น  รส โผฏฐัพพะ 
 ( พ้นจากกามอารมณ์ ) 
 สามารถข่มกิเลสนิวรณ์ได้  ตลอดเวลาที่ยังไม่ออกจากฌาน

    ดังนั้น จากคำถาม ขณะที่เป็นฌานจิต ขณะนั้น
 จิตสงบแนบแน่น สงบจากนิวรณ์กิเลส เป็นขณะที่เป็น อัปปนาสมาธิ 
 ตั้งแต่ ปฐมฌาน จนถึง อรูปฌาน ครับ
 ส่วน ขณะที่เป็นอุปจารสมาธิ ใกล้จะถึง ปฐมฌาน ใกล้ถึง อัปปนาสมาธิ

 ส่วน ขณิกสมาธิ ก็เป็นสมาธิชั่วขณะ เช่น ขณะนี้ มี เอกัคคตาเจตสิก 
ที่เป็นสมาธิตั้งมั่นชั่วขณะ ครับ

    เพราะฉะนั้น จึงเรียงลำดับความสงบแนบแน่นของจิต
 เป็น ขณิกสมาธิ 
อุปจารสมาธิ และ 
อัปปนาสมาธิ เมื่อง อัปปนาสมาธิ ก็ถึง ฌานจิต ครับ 

    สมถภาวนา
 เป็นการอบรมเจริญกุศลที่สามารถทำให้นิวรณ์ 
ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้งปวงมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น นั้น สงบระงับ   

 ซึ่งผู้อบรมนั้นจะต้องเป็นผู้มีปัญญาที่รู้ความต่างระหว่างอกุศล กับ กุศล
 เห็นโทษของอกุศลธรรมประการต่าง ๆ จึงจะเจริญได้ 

 และในขณะนั้นก็จะต้องมีอารมณ์ของสมถภาวนา ที่จะทำให้จิตสงบจากอกุศลธรรม 
ซึ่งผู้เจริญจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย  

เมื่ออบรมเจริญกุศลประเภทนี้เพิ่มขึ้น ๆ 
ก็จะเป็นเหตุให้อกุศลจิต ไม่สามารถเกิดแทรกคั่นได้ 

เมื่ออบรมเจริญความสงบเมื่อจิตสงบมั่นคงขึ้นแล้ว  
ก็จะสามารถบรรลุถึงอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นฌานจิตขั้นต่าง ๆ  
ที่เป็นรูปฌาน อรูปฌาน   แต่การบรรลุฌานจิตนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก

ในสมัยพุทธกาลผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลโดยที่ได้ฌาน
เจโตวิมุตติคือ เจริญฌานแล้วเจริญปัญญา
ซึ่งเห็นได้ว่าการเจริญสมถภาวนาทำให้จิตสงบได้ระงับอกุศลได้เพียงชั่วคราว
แต่ละอนุสัยกิเลส อันเป็นพืชเชื้อของกิเลสไม่ได้เลย 
 เมื่อใดฌานจิตไม่เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ก็เกิดอีกได้
ผู้ที่เจริญสมถภาวนา (โดยที่ไม่ได้อบรมเจริญวิปัสสนา)
ไม่สามารถจะละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
สัตว์ บุคคลได้ และตราบใดที่ยังมีความเห็นผิดว่ามีตัวตนอยู่  
 ก็จะละกิเลสให้หมดสิ้นไปไม่ได้เลย
ถึงแม้จะได้ฌานขั้นต่าง ๆ แต่ถ้าไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน
ก็ไม่สามารถที่รู้ฌานจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
ตามความเป็นจริงได้เลย ฉนั้นผู้ที่ได้อบรมฌาน เจริญสติปัฏฐาน ควบคู่กัน
 
 ดังนั้นการเจริญสมถภาวนา จนได้ถึงรูปฌานและได้เจริญสติปัฏฐาน
เจริญสติปัฏฐานสามารถเจริญฌานได้ถึงฌาน4
เจริญสติปัฏฐาน ต้องมีสมาธิอยู่ในขั้นที่ระงับนิวรณธรรมได้ ใจต้องสงบนิ่ง
ขนิกสมาธิ มีสติรู้ว่า ร่างกายทำอะไรอยู่ แต่ไม่มีจิตที่สงบนิ่งจากอกุศลธรรม
สติปัฏฐาน4ก็ไม่เกิดปัญญา

    เริ่มที่การฟังพระธรรม   ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา   
จนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น
ทำให้ผู้ที่อบรมเจริญสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น
จนกระทั่งสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์
พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ ขออนุโมทนา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่