อันนี้คือเฉพาะเคสคนที่เป็นระดับไฮฟังชั่นนะคะ คือมีเพื่อนชายคนสนิทของน้องสาวเรา ตอนนี้น้องเค้าอยู่ ม3 แล้ว สมมุติว่าชื่อน้องบอยนะคะ น้องเป็นเด็กหน้าตาดี ตัวขาวๆ รูปร่างผอมบาง ไม่ค่อยสูง ใส่แว่น ลุคประมาณโนบิตะเลยค่ะ น้องเราเล่าว่า บอยมีนิสัยเรียบร้อยมากๆ สุภาพ อ่อนโยน พูดน้อย บอยเป็นเด็กที่อ่อนแอ ขี้กลัว ขี้แย ร้องไห้ง่ายมาก เจออะไรนิด เป็นอะไรหน่อยก็ร้องไห้แล้ว บางทีก็ร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุก็มี แต่ไม่เคยเลยที่จะแสดงอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว อาละวาดใส่คนอื่น คือเวลามีอารมณ์ขึ้นมาน้องจะแค่ร้องไห้เท่านั้น แต่ก็ไม่เคยร้องไห้แบบเอาแต่ใจ ลงไปชักดิ้นชักงอไม่มีเลยค่ะ บอยมีแต่ความน่ารัก ใสซื่อบริสุทธิ์ เหมือนผ้าขาวเลย ด้วยความที่บอยเป็นเด็กที่อ่อนแอแบบนี้ มันก็จะเป็นเป้าสายตาในการบูลลี่ของกลุ่มเด็กผู้ชายเกเร บอยโดนบูลลี่ทุกวันและแรงมากๆตั้งแต่ประถมแล้ว ทั้งถูกล้อปมด้อยว่าเป็นไอ้เอ๋อขี้แย ไอ้หมาขี้เรื้อน โดนตบหัว ต่อยหน้า ต่อยท้อง เหยียบมือเหยียบเท้า ตีเข่า ขโมยของ บลาๆๆ พอขึ้นมัธยมการบูลลี่ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เคยโดน 4-5 คนรุมกระทืบคาห้องเรียนมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครช่วยหยุดหรือห้ามเลย หลายคนยังเชียร์ให้กระทืบแรงขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งทุกครั้งที่โดนบูลลี่น้องก็ทำได้แค่ร้องไห้ค่ะ มีอยู่ครั้งนึงที่น้องสาวเราเล่าว่ามันรุนแรงเกินไปจริงๆ คือตอนเปิดเทอม ม 2 ใหม่ๆ บอยโดนเพื่อนกลุ่มที่บูลลี่ประจำรุมถอดเสื้อค่ะ แต่ยังไม่วายพวกมันยังเอาเสื้อมาฉีกกระดุมทิ้งแล้วเอาคัตเตอร์มากรีดจนใส่ไม่ได้ จะต่อสู้ขัดขืนอะไรก็ไม่ได้เลยค่ะ เพราะอ่อนปวกเปียกยิ่งกว่าผู้หญิงอีก เคยโดนเพื่อนผู้หญิงต่อยจนล้มมาทีนึงแล้ว เพราะนางโดนแก๊งเด็กเปรตแก๊งเดิมเปิดกระโปรงแล้วโดนเป่าหูว่าบอยไปเปิดกระโปรงนาง ตอนทดสอบสมรรถภาพร่างกายวิชาพละ บอยก็มีทุกอย่างต่ำกว่ามาตรฐานทั้งนั้น น่าสงสารมาก เด็กน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ต้องมาโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจหนักขนาดนี้ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่น้องเราทนไม่ได้จนถึงขั้นไปฟ้องฝ่ายปกครองเลยทีเดียว เพราะนางทนไม่ได้ที่เห็นบอยโดนทำร้ายมาหลายครั้ง ซึ่งพวกเด็กเวรกลุ่มนั้นก็โดนทำโทษไปตามระเบียบ โดนพักการเรียนไป 1 อาทิตย์พร้อมโดนบำเพ็ญประโยชน์จนจบปีการศึกษา อีกทั้งยังโดนย้ายไปเรียนอีกห้องแบบคนละมุมตึกเลย หลังจากเหตุการณ์นั้นน้องถึงขั้นกลายเป็นคนกลัวสังคมมากๆยิ่งโดนจับถอดเสื้อต่อหน้าเพื่อน 40-50 คน ถึงแม้ว่าบอยจะเป็นผู้ชาย แต่การกระทำของพวกเด็กเวรพวกนั้นมันดูรุนแรงเกินกว่าที่เด็กอายุ 14 จะทำกันได้ คือยิ่งกว่าเด็กเกาหลีที่ว่าบูลลี่แรงๆอีก บอยกลัวเพื่อนมากจนต้องหยุดเรียนไป 2 อาทิตย์ กว่าจะสามารถกลับมาเรียนได้อีกครั้ง โดยที่ระหว่างนั้นน้องสาวเราก็ขอให้พ่อกับแม่เราไปเยี่ยมบอยที่บ้าน ซึ่งครอบครัวของเราและบอยก็สนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆกัน โดยเฉพาะเรากับบอยที่เข้าขากันได้ดีด้วยความที่เป็นออทิสติกเหมือนกัน และจากเหตุการณ์นั้นบอยกับน้องเราก็กลายเป็นบัดดี้กันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา น้องเรา และแก๊งเพื่อนๆ ของนางอีก 2 คนก็จะคอยปกป้องบอยจากพวกชอบบูลลี่
บอยเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 3 กว่า ติด top 10 ของสายชั้นมาตลอด เคยมีครูมาทาบทามบอยไปแข่งวิชาการแต่บอยก็ปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เวลาน้องเราไม่เข้าใจวิชาอะไรก็จะมีบอยนี่แหละค่ะที่คอยช่วยตลอด มีแค่วิชาพละที่อาจจะอ่อนกว่าคนอื่นสักหน่อยแต่ก็ยังรอดมาได้เพราะมีสุขศึกษามาช่วยไว้ได้ คือดูภายนอกบอยคือโนบิตะในชีวิตจริงเลยค่ะ ต่างกันแค่เรียนเก่งกว่ามาก ทีนี้ บอยเคยมาปรึกษาเราว่า ปีหน้าขึ้น ม ปลาย แล้ว ถ้าจะเรียนโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ หรือห้องคู่ขนานไปเลยจะดีมั้ย เพราะถ้าแยกกับน้องเราแล้ว กลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายอีก คือที่โรงเรียนนี้มีตั้งแต่อนุบาล สูงสุดถึงแค่ ม 3 พอจบก็ต้องไปต่อที่อื่น ซึ่งทุกคนไม่เห็นด้วยค่ะ เพราะถึงบอยจะเป็นออทิสติกก็จริง แต่ก็เป็นแค่คนเดียวที่ไม่ต้องเข้าห้องคู่ขนานอีกเลยตั้งแต่ จบ ป 3 ในขณะที่เพื่อนออทิสติกคนอื่นยังต้องอยู่ห้องคู่ขนานไปจนจบ บอยมีศักยภาพที่จะสามารถเรียนจบมหาลัยได้เลย แต่บอยบอกเราว่า เค้าวางแผนชีวิตไว้หมดแล้วว่าจะเรียนจบแค่มัธยมแล้วจะอยู่บ้านเฉยๆ เพราะทางพ่อแม่เค้าก็ทำธุรกิจขายตรงชื่อดังอักษรย่อ A เป็นดาวไลน์ของเราซึ่งเป็นดาวไลน์ที่ปังแซงอัพไลน์อย่างเราไปไกลมากๆ คือเค้าเป็นถึงระดับอัญมณีไปแล้ว ถามยังมีรายได้แบบ passive income เดือนละกว่าครึ่งล้าน แถมยังได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรีปีละ 3 ครั้งแถมได้นั่งเครื่องบินชั้น first class อีก ทั้งที่ทำธุรกิจแค่ปีกว่าๆ แต่เป้าหมายและความฝันเรื่องลูกชัดเจนมาก ทำให้บอยมองว่า ตัวเองเป็นออทิสติก คงจะทำในสิ่งที่คนปกติทำได้ในบางอย่างไม่ได้ อีกทั้งพ่อแม่เค้าได้วางทุกอย่างให้เค้าหมดแล้วก็ไม่มีอะไรให้ห่วง จะเรียนแบบสบายๆกับเพื่อนออทิสติกด้วยกันจนจบมัธยมแล้วออกมาใช้ชีวิตเลยก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเค้าก็ไม่ค่อยอยากที่จะไปสื่อสารอะไรกับใครถ้าไม่จำเป็น แต่สำหรับเราสองจิตสองใจมาก ใจนึงก็แอบเห็นด้วยกับบอย แต่อีกใจนึงก็คิดว่าถ้าบอยได้เรียนแบบเด็กปกติจนจบ ปตรี ได้ มันจะเป็นการต่อยอดศักยภาพของบอยให้มันปังกว่าเดิมแล้วจะได้ออกไปสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ หรืออาจจะมาต่อยอดธุรกิจของพ่อกับแม่ให้ไปไกลกว่าเดิมก็ได้ แต่ก็ค่อนข้างที่จะเสี่ยงที่จะโดนสังคมที่อยู่หล่อหลอมจนกลายเป็นคนละคนอย่างที่เราเป็นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปในทางไหน สมัยเราอายุเท่าบอยเราก็บุคลิกคล้ายๆกันเลยค่ะ แต่พอขึ้น ม ปลายก็โดนสังคมในโรงเรียนหล่อหลอมในหลายๆเรื่อง จากผู้ชายนุ่มนิ่มๆที่ยังสับสนว่าเป็นผู้ชายรึเปล่า ก็กลายเป็นกะเทย จากคนเรียบร้อยก็เริ่มมีความร้าย กร้านโลกมากขึ้น เคยร้ายขนาดแย่งตำแหน่งคนถือป้ายกีฬาสีจากเพื่อนมาแล้ว การแต่งตัวก็เปลี่ยนจากเฉิ่มๆเชยๆกลายเป็นกร้านโลกจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นออทิสติก เพิ่งมานิสัยโอเคขึ้นหน่อยตอนเริ่มทำธุรกิจและตอนเข้ามหาลัย แต่ก็ยังมีความเปรี้ยวอยู่พอสมควร เราก็เลยแอบเห็นด้วยกับบอยเบาๆ ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงบ้าง เม้นมาหน่อยนะคะ
เด็กออทิสติก สามารถที่จะเลือกเรียนห้องคู่ขนาน หรือเรียนโรงเรียนพิเศษโดยเฉพาะด้วยตัวเองได้หรือไม่
บอยเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 3 กว่า ติด top 10 ของสายชั้นมาตลอด เคยมีครูมาทาบทามบอยไปแข่งวิชาการแต่บอยก็ปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เวลาน้องเราไม่เข้าใจวิชาอะไรก็จะมีบอยนี่แหละค่ะที่คอยช่วยตลอด มีแค่วิชาพละที่อาจจะอ่อนกว่าคนอื่นสักหน่อยแต่ก็ยังรอดมาได้เพราะมีสุขศึกษามาช่วยไว้ได้ คือดูภายนอกบอยคือโนบิตะในชีวิตจริงเลยค่ะ ต่างกันแค่เรียนเก่งกว่ามาก ทีนี้ บอยเคยมาปรึกษาเราว่า ปีหน้าขึ้น ม ปลาย แล้ว ถ้าจะเรียนโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ หรือห้องคู่ขนานไปเลยจะดีมั้ย เพราะถ้าแยกกับน้องเราแล้ว กลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายอีก คือที่โรงเรียนนี้มีตั้งแต่อนุบาล สูงสุดถึงแค่ ม 3 พอจบก็ต้องไปต่อที่อื่น ซึ่งทุกคนไม่เห็นด้วยค่ะ เพราะถึงบอยจะเป็นออทิสติกก็จริง แต่ก็เป็นแค่คนเดียวที่ไม่ต้องเข้าห้องคู่ขนานอีกเลยตั้งแต่ จบ ป 3 ในขณะที่เพื่อนออทิสติกคนอื่นยังต้องอยู่ห้องคู่ขนานไปจนจบ บอยมีศักยภาพที่จะสามารถเรียนจบมหาลัยได้เลย แต่บอยบอกเราว่า เค้าวางแผนชีวิตไว้หมดแล้วว่าจะเรียนจบแค่มัธยมแล้วจะอยู่บ้านเฉยๆ เพราะทางพ่อแม่เค้าก็ทำธุรกิจขายตรงชื่อดังอักษรย่อ A เป็นดาวไลน์ของเราซึ่งเป็นดาวไลน์ที่ปังแซงอัพไลน์อย่างเราไปไกลมากๆ คือเค้าเป็นถึงระดับอัญมณีไปแล้ว ถามยังมีรายได้แบบ passive income เดือนละกว่าครึ่งล้าน แถมยังได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรีปีละ 3 ครั้งแถมได้นั่งเครื่องบินชั้น first class อีก ทั้งที่ทำธุรกิจแค่ปีกว่าๆ แต่เป้าหมายและความฝันเรื่องลูกชัดเจนมาก ทำให้บอยมองว่า ตัวเองเป็นออทิสติก คงจะทำในสิ่งที่คนปกติทำได้ในบางอย่างไม่ได้ อีกทั้งพ่อแม่เค้าได้วางทุกอย่างให้เค้าหมดแล้วก็ไม่มีอะไรให้ห่วง จะเรียนแบบสบายๆกับเพื่อนออทิสติกด้วยกันจนจบมัธยมแล้วออกมาใช้ชีวิตเลยก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเค้าก็ไม่ค่อยอยากที่จะไปสื่อสารอะไรกับใครถ้าไม่จำเป็น แต่สำหรับเราสองจิตสองใจมาก ใจนึงก็แอบเห็นด้วยกับบอย แต่อีกใจนึงก็คิดว่าถ้าบอยได้เรียนแบบเด็กปกติจนจบ ปตรี ได้ มันจะเป็นการต่อยอดศักยภาพของบอยให้มันปังกว่าเดิมแล้วจะได้ออกไปสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ หรืออาจจะมาต่อยอดธุรกิจของพ่อกับแม่ให้ไปไกลกว่าเดิมก็ได้ แต่ก็ค่อนข้างที่จะเสี่ยงที่จะโดนสังคมที่อยู่หล่อหลอมจนกลายเป็นคนละคนอย่างที่เราเป็นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปในทางไหน สมัยเราอายุเท่าบอยเราก็บุคลิกคล้ายๆกันเลยค่ะ แต่พอขึ้น ม ปลายก็โดนสังคมในโรงเรียนหล่อหลอมในหลายๆเรื่อง จากผู้ชายนุ่มนิ่มๆที่ยังสับสนว่าเป็นผู้ชายรึเปล่า ก็กลายเป็นกะเทย จากคนเรียบร้อยก็เริ่มมีความร้าย กร้านโลกมากขึ้น เคยร้ายขนาดแย่งตำแหน่งคนถือป้ายกีฬาสีจากเพื่อนมาแล้ว การแต่งตัวก็เปลี่ยนจากเฉิ่มๆเชยๆกลายเป็นกร้านโลกจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นออทิสติก เพิ่งมานิสัยโอเคขึ้นหน่อยตอนเริ่มทำธุรกิจและตอนเข้ามหาลัย แต่ก็ยังมีความเปรี้ยวอยู่พอสมควร เราก็เลยแอบเห็นด้วยกับบอยเบาๆ ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงบ้าง เม้นมาหน่อยนะคะ