JJNY : ‘ผอ.กรีนพีซ’ หวั่นนโยบายแฝงฟอกเขียว│ส่งเสียงเดิมพัน ‘เลือกตั้ง66’│น้ำมันโลกพุ่งไม่หยุด│ฟินแลนด์สมาชิกใหม่นาโต้

‘ผอ.กรีนพีซ’ หวั่นนโยบายแฝงฟอกเขียว - ‘สฤณี’ ทวงรับผิดชอบ ‘ภาคธุรกิจ’ กติกาไม่เอื้อทุนใหญ่
https://www.matichon.co.th/election66/news_3911640

 
‘ผอ.กรีนพีซ’ ห่วงนโยบายแฝงฟอกเขียว เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ‘สฤณี’ ทวงรับผิดชอบ ‘ภาคธุรกิจ’ สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ออกกฎห้ามเลือกปฏิบัติ เอื้อบริษัทใหญ่
 
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ภาคประชาสังคมจัดงานแถลงข่าว “เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society’s Agenda for the 2023 Thailand Election)” เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะด้านสิทธิมนุษยชนหลากหลายประเด็นครอบคลุมทั้งสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม แรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย คนพิการ เด็ก สตรี ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยต่อตัวแทนพรรคการเมืองและสาธารณชน
 
โดยที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม ได้ร่วมกันจัดทำนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อนำเสนอต่อผู้สมัครพรรคการเมือง กระตุ้นให้เกิดเป็นนโยบายเลือกตั้ง 2566 จากการฟังเสียงของประชาชน และให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนในแง่มุมต่างๆ อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น
 
ในตอนหนึ่ง น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่ทำวิจัยประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาหลายปี เห็นว่าการละเมิดสิทธิที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในหลายประเด็นโดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทไทยเข้าไปลงทุนหรือรับซื้อผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านที่กลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอ่อนแอหรือไม่มีเลย ในยุคที่การเคารพสิทธิมนุษยชนกำลังกลายเป็น “จรรยาบรรณสากล” ในการประกอบธุรกิจ
 
จึงอยากให้พรรคการเมืองต่างๆ เสนอนโยบายกำหนดความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจเพิ่มความโปร่งใส ซึ่งก็จะเพิ่มพลังของผู้บริโภคในการติดตามตรวจสอบธุรกิจสร้างความเท่าเทียมในสนามแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้บริษัทไทยสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่มีแนวโน้มจะใส่ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามามากขึ้น
 
เช่น เราควรออกกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติ และออกกฎหมายบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านตามหลักการชี้แนะ UNGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ถ้าเรามีกฎหมายนี้บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรก็ต้องตรวจสอบว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับการเผาแปลงปลูก ไม่ว่าจะในที่ราบหรือบนดอยในห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของวิกฤติฝุ่นพิษ PM 2.5 ในประเทศและชี้แจงว่าบริษัทมีมาตรการลดแรงจูงใจในการเผาของเกษตรกรอย่างไรเป็นต้น” น.ส.สฤณีชี้
 
ด้าน นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่างๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากไร้ซึ่งการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (right to a healthy environment) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น และสร้างความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
 
“กรีนพีซเชื่อว่า การเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดี ต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิด และเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ และกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย” นายธารากล่าว
 


ส่งเสียงเดิมพัน ‘เลือกตั้ง66’ คนไทยสมหวัง-สิ้นหวัง? จน 4.4 ล้าน รวย 40 ตระกูล
https://www.matichon.co.th/politics/news_3911659

เอ็นจีโอ-คนรุ่นใหม่-คนพิการ ส่งเสียงเดิมพันคนไทย ‘เลือกตั้ง 66’ สมหวัง-สิ้นหวัง จน 4.4 ล้าน รวย 40 ตระกูล
 
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ภาคประชาสังคมจัดงานแถลงข่าว “เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society’s Agenda for the 2023 Thailand Election)” เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะด้านสิทธิมนุษยชนหลากหลายประเด็นครอบคลุมทั้งสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม แรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย คนพิการ เด็ก สตรี ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยต่อตัวแทนพรรคการเมืองและสาธารณชน
 
โดยที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม ได้ร่วมกันจัดทำนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อนำเสนอต่อผู้สมัครพรรคการเมือง กระตุ้นให้เกิดเป็นนโยบายเลือกตั้ง 2566 จากการฟังเสียงของประชาชน และให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนในแง่มุมต่างๆ อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น
 
ในตอนหนึ่ง นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า สิทธิมนุษยชนคือเรื่องของทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในประเทศไทยพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของก้าวต่อไปของประเทศไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการเคารพปกป้องคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิต่างๆ รวมทั้งปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
 
การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือการทำงานของรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้แทนของประชาชนจะใช้กลไกในรัฐสภาอย่างไรให้เกิดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งถูกจำกัดอย่างมาก ในช่วงที่ผ่านมาพรรคการเมืองที่ให้คุณค่าประชาชนคือพรรคที่พัฒนานโยบายเพื่อสังคมโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน แม้ว่าพวกคุณจะได้เป็นรัฐบาลฝ่ายค้าน หรือไม่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้เลยก็ตาม” นางปิยนุชกล่าว
 
ด้านนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เผยว่า ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในประเทศแห่งนี้ ถูกกล่อมเกลาจากชนชั้นนำระบอบอำนาจนิยมและเสรีนิยมใหม่ให้เชื่องเชื่อ จนกลายเป็นสิ่งปกติ คนจน 4.4 ล้านคน รายได้ต่ำกว่า 2,803 บาทต่อเดือน ในขณะที่คนรวย 40 ตระกูลมีมูลค่าทรัพย์สิน 143,595 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 28.5 ของ GDP ที่ดินอยู่ในมือคนมั่งมีกว่า 6 แสนไร่ เท่ากับจังหวัดสมุทรปราการมีแต่คนไร้ที่ดินคนไร้บ้านจำนวนมาก เด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.2 ล้านคน เด็กครอบครัวยากจนเข้าถึงมหาวิทยาลัยเพียง 11% ผู้สูงอายุและคนพิการได้รับเบี้ยยังชีพต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า
 
การเลือกตั้ง 2566 ในครั้งนี้จึงมีเดิมพันระหว่างสังคมไทยที่มีความหวังกับความสิ้นหวังประชาธิปไตยกับเผด็จการขวาจัด รัฐเผด็จการอำนาจนิยมกับรัฐสวัสดิการ และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน กับอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อความมั่นคงกองทัพ
โอกาสการศึกษาที่เท่าเทียม กับธุรกิจการศึกษาที่สร้างหนี้สิน การเข้าถึงสิทธิเสมอกันถ้วนหน้ากับระบบสงเคราะห์ตีตราคนจนแบ่งแยกเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการสร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย กับการคงอยู่ของระบบอำนาจนิยม” นายนิติรัตน์กล่าว
 
นายอธิพันธ์ ว่องไว หัวหน้าโครงการกาลพลิกมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า หน่วยเลือกตั้งควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถอำนวยให้คนพิการสามารถไปใช้สิทธิลงคะแนนได้จริง เช่น บางหน่วยสถานที่ไม่อำนวยในการช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ควรเน้นการออกแบบให้รองรับคนทุกรูปแบบ
 
คนพิการต่างตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศและต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายด้านการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ต้องมีกลไกสนับสนุนผู้ช่วยคนพิการ โดยนโยบายต่างๆ ต้องไม่มาจากทัศนคติด้านการสงเคราะห์ ควรเพิ่มค่าจ้างคนพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดผู้ช่วยคนพิการมากขึ้นด้านกลไกผู้ดูแลคนพิการ ไม่ควรขึ้นอยู่กับ อสม.เพียงอย่างเดียว และต้องพัฒนากองทุนคนพิการให้ใช้งานตอบโจทย์คนพิการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญการเลือกตั้งต้องเคารพสิทธิและเสียงของคนพิการ” นายอธิพันธ์กล่าว
 
ขณะที่ นายนัสรี พุ่มเกื้อ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ เผยว่า ในตอนนี้สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมที่เยาวชนไร้ความหวัง เด็กและเยาวชนหลายคนถูกผลักออกจากระบบการศึกษา สถิติการเกิดขึ้นของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำเด็กและเยาวชนในประเทศนี้ยังรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิไม่มีเสียงและการแสดงออกทางการเมือง มักลงเอยด้วยการตอบโต้ที่ใช้ความรุนแรงและการถูกดำเนินคดี
 
ตอนนี้ความหวังของพวกเรานั้นริบหรี่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเลือกตั้งทั่วไป แต่ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้หากเราชนะ และข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมสัมฤทธิ์ผล นี่จะเป็นตัวจุดชนวนความหวังและเป็นเชื้อไฟให้กับเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้เติบโตในสังคมไทย หากผู้นำประเทศคาดหวังที่จะให้เราเติบโตที่นี่ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมและสังคมที่ดีสำหรับการเติบโตของพวกเราด้วย” นายนัสรีกล่าว
 
ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมย้ำว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและขอให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองทุกพรรค ยึดมั่นในการพัฒนาสถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ตามที่ภาคประชาสังคมนำเสนอต่อพรรคการเมืองด้วย



น้ำมันโลกพุ่งไม่หยุด พิษโอเปกพลัสลดกำลังผลิต – กังวลศก.โลก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3911839

น้ำมันโลกพุ่งไม่หยุด พิษโอเปกพลัสลดกำลังผลิต – กังวลภาวะเศรษฐกิจโลก
 
รายงานข่าวจาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) แจ้งว่า ราคาน้ำมันดิบเพิ่มต่อ จากการปรับลดกำลังการผลิตกลุ่มโอเปกพลัส ท่ามกลางความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก
 
ปัจจัยกระทบราคา ดังนี้
 
ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มเล็กน้อย หลังตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ หลังสร้างความกังวลต่ออุปทานที่อาจตึงตัวมากกว่าปัจจัยทางอุปสงค์เล็กน้อย หลังทางกลุ่มมีมติในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงกว่า 1.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน
 
อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงกังวลต่อเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ หลังสหรัฐฯ เผยเลขตำแหน่งงานว่างที่เปิดรับปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสองปี ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ในสหรัฐฯ และจีน ปรับตัวลดลงจากระดับ 47.7 และ 51.6 ในเดือน ก.พ. เหลือเพียง 46.3 และ 50.0 ตามลำดับ ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
 
หลังตลาดปิด สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 31 มี.ค. 66 ปรับตัวลดลดกว่า 4.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 471.3 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดลงเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล
 
โดย ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์การนำเข้าน้ำมันเบนซินจากอินโดนีเซียมีแนวโน้มทรงตัวจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่อยู่ในระดับสูง ถึงแม้ก่อนหน้าจะเกิดเหตุระเบิดที่โรงกลั่น Pertamina ทางตะวันตกของประเทศก็ตาม
 
ขณะที่ ราคาน้ำมันดีเซลทรงตัวขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม หลังอุปสงค์ในภูมิภาคยังคงทรงตัว ขณะที่อุปทานในภูมิภาคยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกน้ำมันดีเซลจากประเทศจีน ที่มีแนวโน้มลดลงในเดือนเม.ย.
<iframe frameborder="none"></iframe>
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่