รุ้งฝาก UN กระทุ้งรบ.โชว์ความจริงใจ ผ่านกม. ‘นิรโทษกรรม’ ก่อนหาสมัครสมาชิกคณะมนตรี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4387677
รุ้ง ฝาก UN กระทุ้งรัฐบาล แสดงความจริงใจ ผ่านกฎหมาย ‘นิรโทษกรรมประชาชน’ นักกิจกรรมยก 1,400 เคส โดนคดีการเมือง
เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพฯ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน นำโดย น.ส.
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม น.ส.
ธนพร วิจันทร์ หรือ
ไหม แกนนำเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน น.ส.แทนฤทัย แท่นรัตน์ นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เดินทางมายื่นหนังสือถึองค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้สนับสนุนรัฐบาลไทย ผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน
น.ส.
แทนฤทัย เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน เรียกร้องให้สหประชาชาติสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกประชาชน โดยการสนับสนุนให้รัฐบาลผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ก่อนสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก่อนการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ.2567
น.ส.
แทนฤทัยกล่าวว่า เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรทางกฎหมาย นักวิชากร องค์กรภาคประชาสังคม และ นักกิจกรรมทางสังคมกว่า 23 องค์กร เพื่อเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ต่อรัฐบาลไทยในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง พวกเรากังวลอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่กำลังเกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย และประชาชน จำนวนมากกว่า 1,400 ราย สืบเนื่องจากการออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมโดยสันติ
อย่างไรก็ตาม จำนวนตัวเลขนี้นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับภาพรวมที่ประชาชนกว่า 6,000 ราย ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองนับตั้งแต่การรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (เสื้อแดง) หลังจากรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 การชุมนุมประท้วงของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) การทำรัฐประหาร พ.ศ.2557 และการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชน ประชาชนทั่วไป และคณะราษฎร เพื่อประท้วง พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 และนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ.2557 จนถึงก่อนการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2566
จากนั้น น.ส.
ธนพร กล่าวว่า ตลอดภาพประวัติศาสตร์ทางการเมืองนี้ มีประชาชนไม่ต่ำกว่า 6,000 คนที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการเมือง อีกทั้งภายหลังการทำรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 ยังมีบุคคลกว่า 2,400 รายที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ยิ่งไปกว่านั้นแล้วภายหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชน และประชาชนโดยทั่วไป นับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ.2563 จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีผ่านการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ อย่างน้อย 1,938 คน ซึ่งเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่น้อยกว่า 286 คน รวมกว่า 1,264 คดี
อย่างไรก็ดี ภายใต้รัฐบาลผสมชุดใหม่ที่มี นาย
เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 นั้นยังปรากฏการดำเนินคดีทางการเมืองต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนกันยายนและธันวาคม พ.ศ. 2566 ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ในทั้งหมด 31 คดี โดยคดีที่ศาลลงโทษจำคุกทั้งหมด 28 คดี หรือคิดเป็น 90% ของช่วงเวลาดังกล่าว และมีคดีมาตรา 112 ที่จำคุกมากที่สุดถึง 50 ปี
น.ส.
ปนัสยา หรือ
รุ้ง กล่าวว่า พวกเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากไม่มีการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ของประชาชนจากทุกฝักฝ่ายทางการเมืองในทุกมิติอย่างจริงจัง จะส่งผลเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการสร้างความปรองดองทางการเมือง
“พวกเราจึงมีความประสงค์ให้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แสดงความจริงใจต่อการสร้างความปรองดองทางการเมืองและความมุ่งมั่นต่อสิทธิมนุษยชน ด้วยการผ่านการสนับสนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ครอบคลุมไปถึงมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยรณรงค์หาเสียงเพื่อเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก่อนการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567”
“และขอเรียกร้องให้สหประชาชาติ สนับสนุนให้รัฐบาลไทยรับประกันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสันติตามข้อ 19 และข้อ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สนับสนุนให้รัฐบาลไทยระงับไว้ซึ่งการดำเนินคดีต่อผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงออกทางความคิดและการชุมนุม
สนับสนุนให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวนักโทษทางความคิด โดยรวมไปถึงเยาวชนที่ถูกคุมขังสืบเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมืองสนับสนุนให้รัฐบาลไทยทบทวนและแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวสอดคล้องกับข้อแนะนำภายใต้กระบวนการพิเศษแห่งสหประชาชาติ และคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ สนับสนุนให้มีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน ก่อนสิ้นปี พ.ศ. 2567” น.ส.ปนัสยากล่าว และว่า ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน
จากนั้น ส่งตัวแทนเข้าไปยื่นหนังสือภายในองค์การสหประชาชาติ และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง
KKP กำไรวูบ 28.4% ตั้งสำรองพุ่ง-ขายรถยึดขาดทุน-ตลาดทุนซบเซาฉุดรายได้
https://www.prachachat.net/finance/news-1484161
KKP แจ้งผลประกอบการปี 2566 กำไรสุทธิ 5,443 ล้านบาท ลดลง 28.4% เหตุต้องตั้งสำรองเพิ่ม 20.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 ต้องตั้งเพิ่มรองรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่รายหนึ่งที่มีปัญหา ขณะที่ขาดทุนจากการขายรถยึดมากขึ้น รวมถึงภาวะตลาดทุนที่ยังซบเซากระทบรายได้ค่าธรรมเนียม
วันที่ 22 มกราคม 2567 ธนาคารเกียรตินาคิภัทร (KKP) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 5,443 ล้านบาท ลดลง 28.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิต และผลขาดทุนจากการขายรถยึดในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง และปัจจัยทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อ
ประกอบกับการที่ธนาคารมีการขยายตัวของสินเชื่อในระดับที่สูงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งยังมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจทางด้านตลาดทุนได้รับผลกระทบเช่นกันจากภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย
โดยสำหรับปี 2566 ธนาคารยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดี โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 28,763 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.4% หากเทียบกับปี 2565 โดยหลังจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น 16.8% ตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัว และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวที่ 5.3%
นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในระดับที่ดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ทางด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงที่ 23.5% จากภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซา และส่งผลกระทบต่อการลงทุน
ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง โดยหลักจากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าประกันปรับลดลงเช่นกัน ตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหากไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรอการขาย ธนาคารยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิสำหรับปี 2566 อยู่ที่ 40.4% ซึ่งอยู่ในระดับที่แสดงถึงการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนรวม 6,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% โดยในจำนวนนี้ได้รวมการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มในไตรมาส 4/2566 เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่งที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา
โดยธนาคารอาจต้องมีการพิจารณาจัดชั้นเชิงคุณภาพสินเชื่อรายนี้ในอนาคตซึ่งมีขนาดประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยธนาคารได้มีการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และส่งผลให้ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายนี้ก่อนการพิจารณาจัดชั้น
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงเล็กน้อย ขณะสถานการณ์ทะเลแดงยังตึงเครียด
https://ch3plus.com/news/economy/morning/383637
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ปิดวันศุกร์ (19 ม.ค.) ปรับตัวร่วงลงเล็กน้อย ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา ล่าสุด กองทัพสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ระลอกใหม่
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. ปรับตัวลง 10 เซนต์ ปิดที่ราคา 73.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวลง 10 เซนต์ ปิดที่ราคา 79 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% วานนี้ หลังจากที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้สู่ระดับ 1.24 ล้านบาร์เรล/วัน จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.06 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่กลุ่มโอเปกคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะขยายตัว 2.25 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 313,000 บาร์เรล
นักลงทุนคาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันและเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน โดยกองทัพสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนระลอกใหม่ เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มฮูตีใช้โดรนโจมตีเรือบรรทุกสินค้าของสหรัฐในอ่าวเอเดนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า กองทัพปากีสถานได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดซีสถานและบาโลชิสถานในประเทศอิหร่าน เพื่อตอบโต้อิหร่านที่โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มจาอิช อัล-อัดล์ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่เคลื่อนไหวโจมตีกองกำลังอิหร่านตามบริเวณชายแดน
JJNY : รุ้งฝาก UNกระทุ้งรบ.│KKP กำไรวูบ ตั้งสำรองพุ่ง│ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงเล็กน้อย│บอลลูนจีนลอยผ่านน่านฟ้าไต้หวันอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4387677
รุ้ง ฝาก UN กระทุ้งรัฐบาล แสดงความจริงใจ ผ่านกฎหมาย ‘นิรโทษกรรมประชาชน’ นักกิจกรรมยก 1,400 เคส โดนคดีการเมือง
เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพฯ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน นำโดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม น.ส.ธนพร วิจันทร์ หรือ ไหม แกนนำเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน น.ส.แทนฤทัย แท่นรัตน์ นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เดินทางมายื่นหนังสือถึองค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้สนับสนุนรัฐบาลไทย ผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน
น.ส.แทนฤทัย เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน เรียกร้องให้สหประชาชาติสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกประชาชน โดยการสนับสนุนให้รัฐบาลผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ก่อนสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก่อนการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ.2567
น.ส.แทนฤทัยกล่าวว่า เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรทางกฎหมาย นักวิชากร องค์กรภาคประชาสังคม และ นักกิจกรรมทางสังคมกว่า 23 องค์กร เพื่อเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ต่อรัฐบาลไทยในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง พวกเรากังวลอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับการดำเนินคดีที่กำลังเกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย และประชาชน จำนวนมากกว่า 1,400 ราย สืบเนื่องจากการออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมโดยสันติ
อย่างไรก็ตาม จำนวนตัวเลขนี้นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับภาพรวมที่ประชาชนกว่า 6,000 ราย ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองนับตั้งแต่การรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (เสื้อแดง) หลังจากรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 การชุมนุมประท้วงของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) การทำรัฐประหาร พ.ศ.2557 และการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชน ประชาชนทั่วไป และคณะราษฎร เพื่อประท้วง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 และนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ.2557 จนถึงก่อนการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2566
จากนั้น น.ส.ธนพร กล่าวว่า ตลอดภาพประวัติศาสตร์ทางการเมืองนี้ มีประชาชนไม่ต่ำกว่า 6,000 คนที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการเมือง อีกทั้งภายหลังการทำรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 ยังมีบุคคลกว่า 2,400 รายที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ยิ่งไปกว่านั้นแล้วภายหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชน และประชาชนโดยทั่วไป นับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ.2563 จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีผ่านการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ อย่างน้อย 1,938 คน ซึ่งเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่น้อยกว่า 286 คน รวมกว่า 1,264 คดี
อย่างไรก็ดี ภายใต้รัฐบาลผสมชุดใหม่ที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 นั้นยังปรากฏการดำเนินคดีทางการเมืองต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนกันยายนและธันวาคม พ.ศ. 2566 ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ในทั้งหมด 31 คดี โดยคดีที่ศาลลงโทษจำคุกทั้งหมด 28 คดี หรือคิดเป็น 90% ของช่วงเวลาดังกล่าว และมีคดีมาตรา 112 ที่จำคุกมากที่สุดถึง 50 ปี
น.ส.ปนัสยา หรือ รุ้ง กล่าวว่า พวกเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากไม่มีการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ของประชาชนจากทุกฝักฝ่ายทางการเมืองในทุกมิติอย่างจริงจัง จะส่งผลเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการสร้างความปรองดองทางการเมือง
“พวกเราจึงมีความประสงค์ให้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แสดงความจริงใจต่อการสร้างความปรองดองทางการเมืองและความมุ่งมั่นต่อสิทธิมนุษยชน ด้วยการผ่านการสนับสนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ครอบคลุมไปถึงมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยรณรงค์หาเสียงเพื่อเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก่อนการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567”
“และขอเรียกร้องให้สหประชาชาติ สนับสนุนให้รัฐบาลไทยรับประกันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสันติตามข้อ 19 และข้อ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สนับสนุนให้รัฐบาลไทยระงับไว้ซึ่งการดำเนินคดีต่อผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงออกทางความคิดและการชุมนุม
สนับสนุนให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวนักโทษทางความคิด โดยรวมไปถึงเยาวชนที่ถูกคุมขังสืบเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมืองสนับสนุนให้รัฐบาลไทยทบทวนและแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวสอดคล้องกับข้อแนะนำภายใต้กระบวนการพิเศษแห่งสหประชาชาติ และคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ สนับสนุนให้มีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน ก่อนสิ้นปี พ.ศ. 2567” น.ส.ปนัสยากล่าว และว่า ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน
จากนั้น ส่งตัวแทนเข้าไปยื่นหนังสือภายในองค์การสหประชาชาติ และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง
KKP กำไรวูบ 28.4% ตั้งสำรองพุ่ง-ขายรถยึดขาดทุน-ตลาดทุนซบเซาฉุดรายได้
https://www.prachachat.net/finance/news-1484161
KKP แจ้งผลประกอบการปี 2566 กำไรสุทธิ 5,443 ล้านบาท ลดลง 28.4% เหตุต้องตั้งสำรองเพิ่ม 20.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 ต้องตั้งเพิ่มรองรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่รายหนึ่งที่มีปัญหา ขณะที่ขาดทุนจากการขายรถยึดมากขึ้น รวมถึงภาวะตลาดทุนที่ยังซบเซากระทบรายได้ค่าธรรมเนียม
วันที่ 22 มกราคม 2567 ธนาคารเกียรตินาคิภัทร (KKP) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิจำนวน 5,443 ล้านบาท ลดลง 28.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิต และผลขาดทุนจากการขายรถยึดในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง และปัจจัยทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อ
ประกอบกับการที่ธนาคารมีการขยายตัวของสินเชื่อในระดับที่สูงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งยังมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจทางด้านตลาดทุนได้รับผลกระทบเช่นกันจากภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย
โดยสำหรับปี 2566 ธนาคารยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดี โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 28,763 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.4% หากเทียบกับปี 2565 โดยหลังจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น 16.8% ตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัว และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวที่ 5.3%
นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในระดับที่ดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ทางด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงที่ 23.5% จากภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซา และส่งผลกระทบต่อการลงทุน
ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง โดยหลักจากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าประกันปรับลดลงเช่นกัน ตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหากไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรอการขาย ธนาคารยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิสำหรับปี 2566 อยู่ที่ 40.4% ซึ่งอยู่ในระดับที่แสดงถึงการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนรวม 6,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% โดยในจำนวนนี้ได้รวมการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มในไตรมาส 4/2566 เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่งที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา
โดยธนาคารอาจต้องมีการพิจารณาจัดชั้นเชิงคุณภาพสินเชื่อรายนี้ในอนาคตซึ่งมีขนาดประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยธนาคารได้มีการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และส่งผลให้ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายนี้ก่อนการพิจารณาจัดชั้น
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงเล็กน้อย ขณะสถานการณ์ทะเลแดงยังตึงเครียด
https://ch3plus.com/news/economy/morning/383637
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ปิดวันศุกร์ (19 ม.ค.) ปรับตัวร่วงลงเล็กน้อย ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา ล่าสุด กองทัพสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ระลอกใหม่
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. ปรับตัวลง 10 เซนต์ ปิดที่ราคา 73.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวลง 10 เซนต์ ปิดที่ราคา 79 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% วานนี้ หลังจากที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้สู่ระดับ 1.24 ล้านบาร์เรล/วัน จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.06 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่กลุ่มโอเปกคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะขยายตัว 2.25 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 313,000 บาร์เรล
นักลงทุนคาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันและเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน โดยกองทัพสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนระลอกใหม่ เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มฮูตีใช้โดรนโจมตีเรือบรรทุกสินค้าของสหรัฐในอ่าวเอเดนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า กองทัพปากีสถานได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดซีสถานและบาโลชิสถานในประเทศอิหร่าน เพื่อตอบโต้อิหร่านที่โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มจาอิช อัล-อัดล์ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่เคลื่อนไหวโจมตีกองกำลังอิหร่านตามบริเวณชายแดน