เท่าที่ใจจะรักได้ (8)


.

โดย : ชลัน

               ๘
               _________________________

              คุณแม่ยังงอนฉันไม่หายที่ฉันพากัญญาไปเที่ยวกับนายภีม ไม่ยอมคุยกับฉันแต่ยังเตรียมอาหารเช้าและห่อข้าวให้ฉันไปทำงานเหมือนเดิม ฉันยิ้มให้กับข้าวบนโต๊ะอาหาร ต้องหาโอกาสง้อท่านแล้วล่ะ ทว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลา เพราะต้องรีบทานข้าวเช้าและรีบไปทำงาน เดี๋ยวจะสายเสียก่อน

               ฉันอยู่บ้านกับคุณยาย อยู่บ้านคนละหลังกับคุณแม่ก็จริง ทว่าบ้านคุณยายกับบ้านของคุณแม่อยู่ในเขตรั้วเดียวกัน คุณแม่จึงมีหน้าที่ทำกับข้าวเผื่อให้ฉันกับคุณยายทานด้วยทุกมื้อ

              เมื่อคืนกัญญาโทรคุยปรับทุกข์กับฉันทั้งคืน ก็ได้แต่ปลอบใจน้องสาว ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ช่วยพูดก็ช่วยไปบ้างแล้ว แต่คุณแม่ไม่ยอมรับฟังเลย ฉันบอกกับน้องสาวว่าไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเหมือนที่มันเคยผ่านมา เดี๋ยวคุณแม่ก็ลืมและหายโกรธไปเอง ฉันรีบทานข้าวและออกเดินทางไปทำงาน มัวแต่โอ้เอ้คงไม่ทันเข้างานกันพอดี นี่ก็สายมากแล้ว

             ฉันมาถึงที่ทำงานแบบเฉียดฉิว เกือบไม่ทันเวลาเสียแล้ว เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ตอนเช้าจึงขี้เกียจตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน อยากจะหยุดต่อด้วยซ้ำ ทว่าได้สัญญากับพี่ทีรุฒน์ไว้แล้วว่าวันจันทร์จะมาทำงาน ฉันก็ต้องมา

            "เมื่อวานไปเที่ยวไหนมาจ๊ะกัญตาคนสวย" พี่อ้อมทักทายพร้อมเดินมาหาฉันที่โต๊ะทำงาน มีสายตาของพี่ก้อยมองตามพี่อ้อม หูก็คงคอยฟังพวกฉันสองคนคุยกันอยู่แน่ พี่อ้อมอายุเยอะกว่าฉันเกือบสิบปี ที่แผนกกองคลังเห็นจะมีฉันที่อายุน้อยกว่าใคร ๆ แต่ก็โชคดีที่พี่ ๆ เอ็นดู ยกเว้นเสียก็แต่พี่ก้อยคนเดียว ที่คอยจะกระแนะกระแหนฉันอยู่ตลอดที่มีโอกาส อาจเพราะเป็นเพื่อนกับพี่อุ่นภรรยาของพี่ทีรุฒน์ พี่ก้อยถึงได้มีท่าทีกับฉันแบบนั้น

             "ตาไปเที่ยวภูผาม่านมาค่ะ สวยมากเลยพี่อ้อม เห็นมั้ยตาชวนหลายครั้งแล้วก็ไม่ไปกัน สวยมาก!!" ฉันเน้นเสียงให้คนฟังดูตื่นเต้น และฉันก็ไม่ได้โกหกเลย ทิวทัศน์มันสวยจริง ๆ "ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้นะ ตากับน้อง ๆ ว่าจะข้ามไปเชียงคานกันแหนะ แต่เวลาไม่พอ เลยได้ไปแค่ภูผาม่านกัน เอ้อ.... ตามีของฝากด้วยนะ เกือบลืมแหนะ รอตาแป๊บนึงนะ" ว่าแล้วฉันก็เดินไปยังลานจอดรถเพื่อไปเอาของฝากมาให้ทุกคน เป็นของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เท่านั้น

             "อันนี้ของพี่อ้อมค่ะ พี่แนน อันนี้ของพี่ก้อยค่ะ" ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบสายตาและคำพูดของพี่ก้อยที่มองฉันและพูดกับฉันเท่าไหร่ แต่เราก็ทำงานด้วยกัน สามปีที่ฉันอยู่ร่วมชายคากับพี่ก้อย ฉันจึงซื้อมาเผื่อหล่อนด้วยตามมารยาท

               "ขอบคุณจ้ะน้องกัญตา" พี่ก้อยขอบคุณฉันพร้อมเหยียดยิ้มให้กับฉัน

              "อ้าวพี่ทีรุฒน์มาพอดีเลย ตามีของฝากจากภูผาม่านมาให้ค่ะ" พี่ทีรุฒน์หัวหน้าของฉันเดินเข้ามาพอดี ฉันไม่ยอมให้เสียเวลาจึงนำของฝากที่ซื้อมาให้แก่เขาด้วย โดยมีสายตาของพี่ก้อยจับจ้องอยู่ ฉันไม่ใส่ใจกับสายตาคู่นั้นเลยสักนิด

              "ขอบคุณครับ ไปไม่ชวนกันเลย" พี่ทีรุฒน์กล่าวขอบคุณฉัน

               "ทริปด่วนค่ะ ทริปแบบไม่ได้วางแผน"

              "โอกาสหน้าพาพี่ไปบ้าง" พี่อ้อมพูดกับฉัน

               "นั่นสิ! โอกาสหน้าวันหยุดแผนกเราไปเที่ยวกันดีกว่า" พี่ทีรุฒน์เห็นด้วย

               "แหม...พี่ทีรุฒน์จะชวนลูกน้องไปเที่ยวเนี่ยปรึกษาแม่บ้านยังคะ" พี่ก้อยพูดแทรก ฉันกับพี่อ้อมและพี่แนนชำเลืองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนจะทำตัวเป็นปกติ

             "งานของพี่ไม่เกี่ยวกับอุ่นหรอก พี่พาลูกน้องไปเที่ยว ทริปของพี่ ถ้าอุ่นไม่ว่างไม่เห็นจะเป็นไร เพราะพี่ไปเที่ยวแผนก ไม่ได้ไปทริปส่วนตัว" พี่มีรุฒน์หันไปพูดกับพี่ก้อย

              "ทริปแผนก แต่เป็นทริปจัดกันเอง ไม่ใช่องค์กรพาไป ก็เหมือนไปเที่ยวส่วนตัวล่ะค่ะ ถ้าจะไปจริง ๆ น่ะ พี่ทีรุฒน์ไม่ชวนอุ่น ก้อยจะชวนเอง" พี่ก้อยพุดแง่งอน ออกตัวแทนพี่อุ่นเพื่อนของตน

               "นี่คุณเธอพี่ทีรุฒน์เขาแค่พูดว่าน่าจะ ยังไม่ได้บอกว่าจะไปจริง ๆ ซะหน่อย ทำเป็นจริงจังไปได้" พี่แนนเหมือนจะอดทนไม่ไหวกับพี่ก้อย จึงพูดแทรกขึ้นอีกคน

               "อืม... แยกย้ายกันทำงานได้แล้ว ส่วนของฝาก พี่ขอบคุณกัญตามาก ๆ นะครับ พี่ขอตัวนะ" พูดจบพี่ทีรุฒน์ก็เดินเข้าห้องทำงานส่วนตัวไป ส่วนพวกฉันก็สลายตัว เข้าประจำโต๊ะทำงานของใครของมัน


               วันนี้ทั้งวันไม่รู้ทำไม ตาข้างขวาของฉันมันกระตุกทั้งวัน มันทำให้อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ฉันก็พยายามคิดหาเหตุผลมาหักล้างความเชื่อและความกลัวในใจ ว่าที่ตากระตุกข้างขวาเพราะเมื่อคืนฉันนอนน้อย เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ

                ถึงจะพยายามคิดว่าเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ตาม แต่อีกใจฉันก็กำลังทบทวนว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจะเจอปัญหาอะไร จะว่าปัญหาที่เข้ามาก็เกิดขึ้นไปแล้ว คือ เรื่องที่พากัญญาไปเที่ยวกับนายภีมญาติผู้น้องของฉัน แล้วจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก ปัญหากับพี่ทีรุฒน์เหรอ พี่อุ่น! เรื่องที่ฉันให้ของฝากเขาหรือ แต่ฉันก็บอกตัวเองว่าไม่แคร์ เพราะฉันสิ่งที่พวกเขาคิดมันไม่เป็นความจริงเลย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวของฉันนะ อุบัติเหตุหรือ เรื่องงานหรือ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน

                 ฉันสลัดความคิดออกจากหัว พยายามมองในแง่ดีว่าเป็นเพราะนอนน้อยนั่นแหละ ตามันถึงได้กระตุกอย่างนั้น จากนั้นฉันก็นำงานไปส่งพี่ทีรุฒน์เมื่อทำเสร็จแล้ว เพื่อให้เขาเซ็นอนุมัติ

              ฉันเปิดประตูและขออนุญาตเข้าไป พี่ทีรุฒน์เงยหน้าจากแฟ้มเอกสารมองฉัน ยิ้มให้ฉันตาเป็นประกายทุกที อย่างนี้จะไม่ให้พี่ก้อยระแวงแทนพี่อุ่นอย่างไรไหว แต่ฉันก็ไม่ได้ปรามอะไร เขาอยากทำแบบนั้นก็ให้เขาทำ

               "หัวหน้าเซ็นอนุมัติให้หน่อยค่า" ฉันกล่าวอย่างคนสนิท ไม่ถือตัวอะไรทั้งสิ้นเพราะทำงานด้วยกันมานาน ไม่เพียงแค่ฉัน พนักงานในแผนกนี้ทุกคนด้วย

               พี่ทีรุฒน์หยิบแฟ้มเอกสารจากฉันไปดู ฉันแลเห็นของฝากที่ฉันให้เมื่อเช้าถูกจัดวางประดับห้องทำงานของพี่ทีรุฒน์ ก็แอบยิ้ม แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นฉันก็หุบยิ้มทำหน้าปกติ พี่ทีรุฒน์เซ็นเอกสารให้ฉันแป๊บเดียวก็ส่งคืน

              "ขอบคุณค่ะ" ฉันกล่าวขอบคุณพร้อมรับแฟ้มคืน "เสร็จแล้วตาขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ"

               "เดี๋ยวสิกัญตา จะรีบไปไหน  งานก็เสร็จแล้วจะมีงานอะไรอีก" พี่ทีรุฒน์รั้งให้ฉันอยู่ต่อ

               ฉันมองออกไปนอกห้องกระจกทึบ ซึ่งมีเพียงคนข้างในมองเห็นคนข้างนอกเท่านั้น "ตาอยู่ในนี้นาน ๆ ไม่ดีหรอกค่ะ ดูไม่เหมาะไม่ควร เดี๋ยวพี่อุ่นภรรยาพี่รุฒน์รู้จะเกิดเรื่องขึ้น"

               พี่ทีรุฒน์ถอนหายใจ "จะเกิดเรื่องอะไร ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี"

               "แต่พี่ก้อย หรือคนอื่น ๆ คิดไม่ดีแน่ค่ะ" ฉันตอบ

                "กัญตา... เราก็รู้ว่าพี่คิดยังไง และพี่ก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วตาก็คิดแบบเดียวกันกับพี่"

                "พี่ทีรุฒน์คะ มันไม่ใช่เวลาและสถานที่ ที่จะมาพูดเรื่องนี้นะคะ" ฉันมองออกไปข้างนอก อีกครั้งเห็นพวกพี่ ๆ นั่งทำงานกันอยู่ และฉันก็เข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของพี่ทีรุฒน์นานแล้วด้วย ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับออกไปสักที

                "ตาจะปิดกั้นตัวเองไปถึงไหน ตาจะหลอกตัวเองไปถึงไหน"

               ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ "ตารู้ค่ะ ตารู้หัวใจตัวเอง และตาก็รู้หัวใจของพี่รุฒน์ แต่พี่รุฒน์จะให้ตาอยู่ในสถานะอะไรเหรอคะ ถ้าตายอมรับความจริงเรื่องหัวใจสองเรา เมียน้อย เมียเก็บ หรือนางบำเรอ หรือผู้หญิงที่แค่ทำอุ้มบุญให้พี่ทีรุฒน์ได้มีลูกเหมือนชาวบ้านเขา" ฉันพูดทุกอย่างที่อัดอั้นในใจมานาน แต่ฉันพูดด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม ไม่โกรธเคืองหรือน้อยใจเลยสักนิด

               "พี่จะหย่ากับอุ่น ถ้าตาตกลงเปิดใจคบกับพี่ เราสองคนต่างก็รู้ในความรู้สึกของตนเอง"

               "ไม่ค่ะ... ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ตาไม่เห็นด้วย" ฉันพูดด้วยใบหน้าจริงจัง กลัวที่สุด กลัวพี่ทีรุฒน์ทำอย่างที่พูด เพราะหากเป็นเช่นนั้น ฉันคงเป็นผู้หญิงแพศยาในสายตาทุกคน สิ่งที่ทุกคนระแคะระคายมาโดยตลอดมันก็จะเป็นความจริง ทั้ง ๆ ที่มันจริงก็ตาม ทว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ใครก็ว่าฉันไม่ได้ แต่ขืนมันเกิดขึ้นจริง นั่นแหละ ฉันก็ไม่รู้จะแบกหน้าไปหลบที่ไหน

               "กัญตา... เรื่องของพี่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย แค่ตายอมเปิดใจให้พี่ แล้วพี่ก็ไม่แคร์สายตาของคนที่นี่ หรือแม้แต่แผนกนี้เลย เพราะพี่ยึดความรู้สึกความสุขของพี่เป็นหลัก ตาก็รู้ว่าชีวิตคู่ของพี่เป็นมาแบบไหน" เขาพูดและเอาศอกค้ำโต๊ะทำงานจ้องหน้าฉัน

               "พี่ทีรุฒน์คะ ตารู้ว่าชีวิตคู่ของพี่ทั้งสองคนได้มาแบบไหน ถึงแม้ไม่ได้รักกัน แต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่หาให้ แต่ว่าแต่งงานกันแล้ว อยู่ด้วยกันมาเป็นปี ๆ แล้ว พี่ทีรุฒน์จะใจดำกับพี่อุ่นขนาดนี้เลยเหรอคะ บางทีพี่อุ่นอาจจะรักพี่รุฒน์ก็ได้"

               "ไม่! อุ่นเขาก็ไม่เคยรักพี่ และพี่ก็ไม่มีความรู้สึกพิเศษกับอุ่นเลย"

               "แต่นอนด้วยกันทุกวัน!" ฉันย้ำ "พี่รุฒน์รู้ได้ยังไงว่าพี่อุ่นไม่ได้รักพี่ เธออาจจะรักพี่รุฒน์มากก็ได้ เพราะถ้าไม่รักคงไม่ยอมอยู่ด้วยกันมาจนทุกวันนี้ พี่อุ่นเป็นคนดี พี่อุ่นไม่ได้ผิดอะไร ตาทำร้ายพี่อุ่นไม่ได้หรอกค่ะ ผู้หญิงด้วยกัน" ฉันก็ยังอธิบายกับเขาด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางบึ้งตึงเลยสักนิด เพราะฉันพูดด้วยความเป็นจริงและเข้าใจที่สุด แม้ลึก ๆ แล้วฉันก็คิดไม่ต่างจากพี่ทีรุฒน์เท่าไหร่นัก

               "พี่ทีรุฒน์รักตาจริง ๆ หรือแค่อยากมีลูก ส่วนเรื่องลูกไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของชีวิตคู่หรอกค่ะ บางคู่แต่งงานกันไม่มีลูกพวกเขาก็ยังมีชีวิตที่ดีและมีความสุขกันได้เลย อืม...ตาขอตัวนะคะ ตาเข้ามานานแล้ว" พูดจบฉันไม่รอให้พี่ทีรุฒน์รั้งไว้อีก หันหลังเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาทันที

                ฉันมานั่งทบทวน นี่ใช่ไหมที่ตาของฉันกระตุกข้างขวาทั้งวัน ป่านนี้พี่ก้อยคงส่งข่าวหาพี่อุ่นเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะจังหวะที่ฉันเปิดประตูก้าวเท้าออกมาจากห้องทำงานของพี่ทีรุฒน์ ก็เจอเข้ากับสายตาของพี่ก้อยเข้าอย่างจัง ฉันถอนหายใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ที่แน่ ๆ 'ฉันบริสุทธิ์ใจก็แล้วกัน'


                ถึงเวลาเลิกงานฉันรีบบึ่งรถกลับบ้านด้วยหัวใจระส่ำระสายกับเรื่องที่คุยกับพี่ทีรุฒน์เมื่อตอนบ่าย แต่พอกลับมาถึงบ้าน มีเรื่องใหญ่กว่านั้นอีก เมื่อฉันเจอรถยนต์ของคุณอาภูริ แล้วคุณอาภูริมาทำอะไรที่บ้านของฉัน
               
           ตอนเด็ก ๆ คุณอามักจะมารับฉันไปที่บ้านคุณย่าเวลาคุณพ่อมา หลังจากฉันโตเดินทางไปเองได้ คุณอาก็ไม่เคยมาบ้านฉันอีกเลย 'แล้ววันนี้คุณอามาทำอะไร' หัวใจของฉันตุ่ม ๆ ต่อม ๆ อีกรอบ ก่อนจะเปิดประตูรถเดินเข้าบ้านคุณยายไป


              จบบทที่ ๘
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่