รายงานวิจัยฉบับนี้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังคือ Aesthetic Surgery Journal หรือ ASJ ซึ่งเป็น official journal ของ American Society for Aesthetic Plastic Surgery (ASAPS) และมี impack factor สูงถึง 4.283 ..เอาหล่ะแปลง่ายๆว่ามันน่าเชื่อถือ
โดยนักวิจัยคือ Dr. Saad Mohamed Saad Ibrahiem และคณะสงสัยว่าการดูดไขมันแขนอย่างเดียว เทียบกับการใช้ energy device ร่วมด้วย จะทำให้ผลการรักษาดีขึ้นมากไหม
เขาจึงแบ่งคนไข้เป็นสามกลุ่มและออกแบบงานวิจัยเป็นแบบ Randomized Controlled Study คือเทียบกันให้เห็นชัดๆไปเลยระหว่างกลุ่มที่ใช้กับไม่ใช้ โดยสุ่มคนไข้มา และไม่ให้ทราบว่าแต่ละคนอยู่กลุ่มไหน เพื่อไม่ให้เกิดอคติ ส่วน energy devices ก็เลือก Bodytite และ J Plasma
สามกลุ่มเป็นแบบนี้ครับ
A กลุ่มที่ดูดด้วยเวเซอร์ + bodytite
B กลุ่มที่ดูดด้วยเวเซอร์ + J Plasma (Renuvion)
C ดูดด้วยเวเซอร์อย่างเดียว ไม่มีการกระชับ
ผู้ประเมินก็แบ่งเป็นสามกลุ่มเช่นกัน 1. ให้ผู้ป่วยประเมินเอง 2. ให้คนทำประเมินเอง และ 3. ให้ผู้ประเมินอิสระ ทำโดยส่งแต่ภาพถ่ายไปให้ดู
*** ผลการประเมิน ***
ก็เป็นอย่างที่คาด เขาพบว่าการดูดไขมันด้วยเวเซอร์อย่างเดียว ไม่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้นมาก เพราะบริเวณท้องแขนมักมีการหย่อนของแขน จึงทำให้มีปัญหาเรื่องหนังห้อยร่วมด้วยเสมอ
...อันนี้ตอบคำถามข้อหนึ่งไปได้เรียบร้อย คือดูดอย่างเดียวไม่พอ เพราะความหย่อนของหนังไม่ได้แก้ ต้องมีอุปกรณ์เพิ่ม
แต่เนื่องจากมีการแยกกลุ่มและให้คะแนนกลุ่ม A และ B ชัดเจน เลยเกิดคำถามสองว่า อ้าว แล้วระหว่างกลุ่มที่ใช้ bodytite กับกลุ่มที่ใช้ J Plasma (Renuvion) หล่ะ จะเป็นไง เลยเอามาวิเคราะห์ต่อก็พบผลการวิจัยดังภาพสรุปภาพนี้
จากตาราง จะพบว่าผลการรักษาของ Bodytite ให้ผลการรักษาที่ดีกว่าทั้งสองวิธี โดย IPSR (Independent Plastic Surgeon Reviewer) หรือศัลยแพทย์ผู้ประเมินอิสระ เป็นผู้ให้คะแนนสูงสุด ตามมาด้วยคนไข้เอง และแพทย์ผู้ทำการดูดไขมันตามลำดับ
โดยผู้ประเมินทั้งสามกลุ่มให้คะแนน poor กับ bodytite น้อยมาก เพียง 2-4 % เทียบกับ J Plasma (Renuvion) ที่ได้คะแนน poor มากถึง 13-14 % ส่วนเวเซอร์เยอะมาก คงเพราะยิ่งทำ ยิ่งหย่อนลง
แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ทำเฉพาะการ **ดูดไขมันแขน** เท่านั้น เพราะจุดประสงค์หลักคงอยากหาการรักษาทางเลือก ที่ไม่ต้องตัดหนังแขน และการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆอื่นๆ อาจจะให้ผลการรักษาดีกว่าดูดอย่างเดียว ดังนั้นการจะเอาผลการวิจัย ไปเทียบเคียงกับบริเวณอื่นๆเช่นหน้าท้อง ได้หรือไม่นั้น ยังขึ้นกับปัจจัยอื่นๆร่วมด้วยครับ
แต่นี่เป็นงานวิจัยแรกๆแบบ head-to-head คือชนกันให้ดูระหว่างแต่ละเทคโนโลยี ทำให้พอได้ไอเดียว่าแต่ละอย่างเป็นยังไง และหวังว่าจะมีคนทำเปรียบเทียบแบบนี้กับบริเวณอื่นๆตามมา ครับ
เอกสารอ้างอิง
https://academic.oup.com/asj/article-abstract/42/7/NP463/6529268?redirectedFrom=fulltext
งานวิจัยใหม่เผย J Plasma (Renuvion) และ vaser สู้ Bodytite ไม่ได้
โดยนักวิจัยคือ Dr. Saad Mohamed Saad Ibrahiem และคณะสงสัยว่าการดูดไขมันแขนอย่างเดียว เทียบกับการใช้ energy device ร่วมด้วย จะทำให้ผลการรักษาดีขึ้นมากไหม
เขาจึงแบ่งคนไข้เป็นสามกลุ่มและออกแบบงานวิจัยเป็นแบบ Randomized Controlled Study คือเทียบกันให้เห็นชัดๆไปเลยระหว่างกลุ่มที่ใช้กับไม่ใช้ โดยสุ่มคนไข้มา และไม่ให้ทราบว่าแต่ละคนอยู่กลุ่มไหน เพื่อไม่ให้เกิดอคติ ส่วน energy devices ก็เลือก Bodytite และ J Plasma
สามกลุ่มเป็นแบบนี้ครับ
A กลุ่มที่ดูดด้วยเวเซอร์ + bodytite
B กลุ่มที่ดูดด้วยเวเซอร์ + J Plasma (Renuvion)
C ดูดด้วยเวเซอร์อย่างเดียว ไม่มีการกระชับ
ผู้ประเมินก็แบ่งเป็นสามกลุ่มเช่นกัน 1. ให้ผู้ป่วยประเมินเอง 2. ให้คนทำประเมินเอง และ 3. ให้ผู้ประเมินอิสระ ทำโดยส่งแต่ภาพถ่ายไปให้ดู
*** ผลการประเมิน ***
ก็เป็นอย่างที่คาด เขาพบว่าการดูดไขมันด้วยเวเซอร์อย่างเดียว ไม่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้นมาก เพราะบริเวณท้องแขนมักมีการหย่อนของแขน จึงทำให้มีปัญหาเรื่องหนังห้อยร่วมด้วยเสมอ
...อันนี้ตอบคำถามข้อหนึ่งไปได้เรียบร้อย คือดูดอย่างเดียวไม่พอ เพราะความหย่อนของหนังไม่ได้แก้ ต้องมีอุปกรณ์เพิ่ม
แต่เนื่องจากมีการแยกกลุ่มและให้คะแนนกลุ่ม A และ B ชัดเจน เลยเกิดคำถามสองว่า อ้าว แล้วระหว่างกลุ่มที่ใช้ bodytite กับกลุ่มที่ใช้ J Plasma (Renuvion) หล่ะ จะเป็นไง เลยเอามาวิเคราะห์ต่อก็พบผลการวิจัยดังภาพสรุปภาพนี้
จากตาราง จะพบว่าผลการรักษาของ Bodytite ให้ผลการรักษาที่ดีกว่าทั้งสองวิธี โดย IPSR (Independent Plastic Surgeon Reviewer) หรือศัลยแพทย์ผู้ประเมินอิสระ เป็นผู้ให้คะแนนสูงสุด ตามมาด้วยคนไข้เอง และแพทย์ผู้ทำการดูดไขมันตามลำดับ
โดยผู้ประเมินทั้งสามกลุ่มให้คะแนน poor กับ bodytite น้อยมาก เพียง 2-4 % เทียบกับ J Plasma (Renuvion) ที่ได้คะแนน poor มากถึง 13-14 % ส่วนเวเซอร์เยอะมาก คงเพราะยิ่งทำ ยิ่งหย่อนลง
แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ทำเฉพาะการ **ดูดไขมันแขน** เท่านั้น เพราะจุดประสงค์หลักคงอยากหาการรักษาทางเลือก ที่ไม่ต้องตัดหนังแขน และการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆอื่นๆ อาจจะให้ผลการรักษาดีกว่าดูดอย่างเดียว ดังนั้นการจะเอาผลการวิจัย ไปเทียบเคียงกับบริเวณอื่นๆเช่นหน้าท้อง ได้หรือไม่นั้น ยังขึ้นกับปัจจัยอื่นๆร่วมด้วยครับ
แต่นี่เป็นงานวิจัยแรกๆแบบ head-to-head คือชนกันให้ดูระหว่างแต่ละเทคโนโลยี ทำให้พอได้ไอเดียว่าแต่ละอย่างเป็นยังไง และหวังว่าจะมีคนทำเปรียบเทียบแบบนี้กับบริเวณอื่นๆตามมา ครับ
เอกสารอ้างอิง https://academic.oup.com/asj/article-abstract/42/7/NP463/6529268?redirectedFrom=fulltext