JJNY : วิปรัฐบาลขวางฝ่ายค้าน| แกนนำ นปช.หวนรังเก่า| ฟ้อง‘กกท.-กสทช.’ละเลย-ให้สิทธิ์‘เอกชนบางราย’| EIC ปรับจีดีพี

วิปรัฐบาล ขวางฝ่ายค้าน ชงถก ร่างแก้ไขรธน.ฉบับธนาธร 29 พ.ย. อ้างมีกม.อื่นรออยู่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7387802

ชินวรณ์ เผยฝ่ายค้านขอเลื่อน ร่างแแก้ไขรธน. ฉบับธนาธร ขึ้นมาก่อน วิปรัฐบาล ยันให้ถก กม.สำคัญจบ ค่อยถก 30 พ.ย. ย้ำองค์ประชุมสภา ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
 
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 พ.ย.2565 ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงผลการประชุมวิปรัฐบาลว่า ได้พิจารณาถึงระเบียบวาระที่ประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 29-30 พ.ย. โดยมีร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) พ.ศ. … ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 76,591 คน เป็นผู้เสนอ
 
ทางวิปรัฐบาลเห็นว่าร่างฉบับนี้เป็นร่างฉบับประชาชน จึงขอรับฟังความคิดเห็นของแต่ละพรรคก่อ แต่วิปรัฐบาลได้เตรียมตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จำนวน 49 คน หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาให้ความเห็นร่างดังกล่าว
 
ทั้งนี้ วิปรัฐบาลคาดว่าการประชุมร่วมรัฐสภา จะพิจารณาถึงร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ สื่อมวลชน พ.ศ. … ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งวิปรัฐบาลมีมติรับหลักการและตั้งกมธ. 35 คน เพื่อพิจารณาตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ในการเสนอข่าวสารที่แสดงความเห็นของบุคคลในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เนื่องจากทุกฝ่ายรอคอยฉบับนี้
 
นายชินวรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการประชุมวิป 3 ฝ่ายคือ วิปฝ่ายค้าน วิปฝ่ายรัฐบาล วิปวุฒิสภา ในวันนี้ (28 พ.ย.) ที่ประชุมยังมีความเห็นต่าง โดยฝ่ายค้านเห็นว่าจะขอเลื่อนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับนายธนาธร ขึ้นมาพิจารณาก่อน แต่ฝ่ายรัฐบาลเห็นว่าควรพิจารณาตามระเบียบวาระ เพราะกฎหมายที่อยู่ในระเบียบวาระก็มีความสำคัญเช่นกัน
 
ทั้งนี้ ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากฝ่ายค้านจะหารือเพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ หากการประชุมร่วมวันที่ 29 พ.ย. สามารถพิจารณาอื่นๆ ทั้งหมด จนถึงวาระร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมฯ แล้วให้เหลือเฉพาะร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญฯ เพียงฉบับเดียว การพิจารณาในวันที่ 30 พ.ย. สมาชิกสามารถพูดได้เต็มที่ ซึ่งจะทำให้การประชุมร่วมกันเสร็จสมบูรณ์ทุกวาระ ฝ่ายค้านรับปากว่าจะไปประสานงาน รวมทั้งเรื่องเวลาที่จะอภิปรายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
 
เมื่อถามว่าจากการพูดคุยวิป 3 ฝ่าย แสดงว่าจะไม่มีปัญหาสภาล่มแล้วใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ได้ย้ำกันในที่ประชุมวิปรัฐบาล เกี่ยวกับเรื่ององค์ประชุมว่า ฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายเสียงข้างมาก ต้องรับผิดชอบองค์ประชุมจำนวน 237 คน แต่ฝ่ายค้านก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย ฉะนั้น การใช้กลไกเรื่ององค์ประชุม ถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน เราทำได้เพียงขอความร่วมมือ เนื่องจากเป็นสมัยประชุมสุดท้ายแล้ว ส.ส.ควรได้แสดงผลงานทางด้านฝ่ายนิติบัญญัติให้ชัดเจน ดังนั้น ยังมั่นใจว่าส.ส.ทุกคนมีสำนึก ทำหน้าที่ไม่อยู่ใต้อาณัติและการครอบงำใดๆ จึงเข้าใจว่า จะได้รับความร่วมมือผ่านกฎหมายที่มีความสำคัญต่อไป
  
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่เกิดองค์ประชุมล่มจนมีกระแสว่าควรยุบสภา นายชินวรณ์ กล่าวว่า คิดว่าประชาชนเข้าใจรัฐสภาชุดนี้ว่ามีเสียงก้ำกึ่งกัน และมีการต่อรองทางการเมืองที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งเดิมเราเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง และภาพรวมแต่ละพรรคเจรจากันได้ชัดเจน แต่ในช่วงหลัง ฝ่ายค้านกับฝ่ายค้านไม่เป็นเอกภาพ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายรัฐบาลก็ไม่เป็นเอกภาพ แต่ตนยังมั่นใจว่าต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันให้มากขึ้น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเรื่ององค์ประชุม ให้เป็นไปด้วยดีต่อไป
 


แกนนำ นปช.หวนรังเก่า ‘ก่อแก้ว-อรรถชัย’ ผนึกกำลัง เดินหน้าแลนด์สไลด์เพื่อไทย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7387787

ชลน่าน ต้อนรับอดีตแกนนำ นปช. หวนคืนบ้านเก่า “ก่อแก้ว-อรรถชัย” โว ขอผนึกกำลังจัดการระบอบ ‘ประยุทธ์’ เดินหน้าแลนด์สไลด์เพื่อไทย
 
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 พ.ย. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวต้อนรับนายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายอรรถชัย อนันตเมฆ อดีตแกนนำ นปช. เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
 
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสดียิ่งที่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ โดยทั้งนายก่อแก้วและนายอรรถชัย ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเคยเป็นสมาชิกพรรคมาก่อน ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน วันนี้ได้หวนคืนมาสร้างเสริมอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้ประเทศร่วมกัน สร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองในมิติทางประชาธิปไตย ทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนต่อไป
  
ด้านนายก่อแก้ว กล่าวว่า พวกตนกลับมาที่พรรคเพื่อไทยบ้านหลังเดิมด้วยความรู้สึกเชื่อมั่น รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจประเทศได้ ตนรู้จักผู้ใหญ่ที่ทำงานและขับเคลื่อนเพื่อพรรค รู้ว่าเขากำลังทำงานเพื่อแก้ปัญหาประเทศในวันข้างหน้า ด้วยความเชื่อมั่นตนจึงกลับมา และนอกจากความศรัทธาในการบริหารราชการแล้ว พรรคเพื่อไทยยังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างยืนหยัดยาวนาน
 
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ อดีตแกนนำ นปช.ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ ต้องโทษและถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ แต่คนเหล่านี้ก็จะช่วยกันขับเคลื่อนหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์
 
ขณะที่ นายอรรถชัย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ประชาชน และตน ร่วมชะตากรรมเดียวกันตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ดังนั้น จึงไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคไหนได้นอกจากพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ หนี้สาธารณะประเทศไทยทะลุ 60% หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นประมาณ 5 แสนบาทต่อครัวเรือน และจะทวีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ระบอบประยุทธ์ทำงานอยู่ หนี้เสียเอ็นพีแอลก็เพิ่มมากขึ้น สะท้อนความเหนื่อยยากแร้นแค้นของประเทศไทยเป็นอย่างดี
 
ถามว่าจะจัดการอย่างไร ขณะที่รัฐบาลประยุทธ์ยังอยากอยู่ต่ออีก 2 ปี คำตอบคือเราต้องจัดการระบอบประยุทธ์ ด้วยการแลนด์สไลด์เพื่อไทย ไม่มีเหตุผลอื่น ดังนั้น การเข้ามาเป็นสมาชิกของผมในครั้งนี้ หวังว่าจะเป็นกำลังสำคัญ เพื่อให้เพื่อไทยแลนด์สไลด์ได้จริง เพื่ออนาคตประเทศ” นายอรรถชัย กล่าว
  

 
ฟ้อง‘กกท.-กสทช.’ละเลย-ให้สิทธิ์‘เอกชนบางราย’ ยิงสดบอลโลกผ่าน‘ระบบ IPTV-มือถือ’เจ้าเดียว
https://www.isranews.org/article/isranews-news/113990-Central-Administrative-Court-nbtc-FIFA-World-Cup-Final-2022-live-broadcast-news.html

‘ตัวแทนประชาชน’ ยื่นฟ้อง ‘กกท.-กสทช.’ ต่อศาลปกครองกลาง ขอคุ้มครองชั่วคราวฯ หลังพบว่ามีการให้สิทธิ์ ‘เอกชนบางราย’ 
ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ผ่าน ‘ระบบ IPTV-ระบบอินเตอร์เน็ต-มือถือ’ ได้เพียงเจ้าเดียว
..................................
 
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ศาลปกครองกลาง น.ส.กุลธิดา เกิดแก่นแก้ว ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายนพดล วงศ์วิหค ตัวแทนประชาชน ได้ยื่นฟ้องนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ,การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) , คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-4) ต่อศาลปกครองกลาง
 
โดยขอให้ศาลฯ มีคำพิพากษาและมีมาตราการคุ้มครองและบรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยเร่งด่วน เนื่องจาก กกท. ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทปส.) จำนวน 600 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์การแพร่เสียงแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ผ่านบริษัท อินฟร้อนท์ สปอร์ต แอนด์ มีเดีย ในมูลค่า 1,300 ล้านบาท ขณะที่เงินจำนวน 300 ล้านบาท มาจาก บริษัท ทรู ดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด นั้น
 
ได้ทำสัญญาให้สิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์การแพร่เสียงแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 (รอบสุดท้าย) แต่เพียงผู้เดียวกับบริษัท ทรู ดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ทรู วิชั่น กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท ทรูโฟร์ยู สเตชั่น จำกัด (กลุ่มทรู) ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสดผ่านระบบระบบไอพีทีวี (IPTV Transmission), ระบบอินเตอร์เน็ต (Internet Transmission), ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Transmission) และระบบอื่นๆของทรูด้วย
อันเป็นกรณีที่สามารถคาดหมายได้ล่วงหน้าอย่างแน่นอนว่า จะเป็นการปิดกั้นในบางช่องทางการการแพร่เสียงแพร่ภาพ และสามารถดูได้จากช่องทางการการแพร่เสียงแพร่ภาพของกลุ่มทรูเท่านั้น ซึ่งเป็นกรณีขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศ Must Have และ Must Carry อันจะมุ่งหมายให้ประชาชนสามารถรับรู้และเข้าถึงการรับชมการแพร่เสียงแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 (รอบสุดท้าย) ได้อย่างทั่วถึงและทุกช่องทาง
โดยที่ กกท. ไม่ได้กระทำการใด อันเป็นการระงับการให้ลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวดังกล่าวต่อกลุ่มทรู และกสทช. ก็มิได้กระทำการใด อันเป็นการห้ามมิให้ กกท. เข้าทำสัญญากับกลุ่มทรูในข้อดังกล่าว ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมด จึงเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดสรรลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และไม่เลือกปฏิบัติ
 
ทั้งนี้ การละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีฯ ก่อให้เกิดปัญหาอย่างเห็นได้ชัด โดยประชาชนเกือบ 1 ล้านคน ที่มีกล่อง IPTV รับสัญญาณจากผู้ให้บริการอื่นอยู่แล้ว เช่น AIS Play Box, GMM Z, PSI,MVTV,DTV และอื่นๆ ไม่สามารถเข้ารับชมการแพร่เสียงแพร่ภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 (รอบสุดท้าย) ได้อย่างทั่วถึง อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศ Must Have Must Carry ที่ กสทช. กำหนด
 
อีกทั้งเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนเกินสมควร เนื่องจากการรับชมรายการถ่ายทอดสดฯ ประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการซื้อกล่องรับสัญญาณทรู หรือ การติดตั้งเสาสัญญาณ (หนวดกุ้ง) เพิ่มเติม หรือหากมีการติดตั้งเสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ของทรูจะส่งผลให้การรับชมไม่เสถียร
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงขอความเมตตาจากศาลปกครองกลางขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาพิพากษาโดยเร่งด่วน ในการกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพื่อลดการผลักภาระให้กับประชาชนตามหลักการ Must Have และ Must Carry
 
น.ส.กุลธิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินค่าซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2022 เกือบครึ่งหนึ่งหรือ 600 ล้านบาท มาจากกองทุน กทปส. เพื่อทำให้ประชาชนสามารถรับชมรายการดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนด้อยโอกาสให้เข้าถึงและรับรู้ใช้ประโยชน์จากรายการดังกล่าวได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกปฏิบัติ และเป็นภารกิจของ กสทช.ที่ต้องกำกับดูแลให้การถ่ายทอดสดเป็นไปโดยถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย
 
แต่ผลปรากฏว่า กกท. ได้สัญญาให้สิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดแก่บริษัทมือถือยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียว ในการถ่ายทอดสดผ่านระบบ IPTV ระบบอินเตอร์เน็ต และระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมถึงระบบอื่นๆของค่ายมือถือนี้ และปิดกั้นช่องทางการเผยแพร่กล่องรับสัญญาณของค่ายมือถืออื่นและระบบอื่นๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศ mush have และ mush carry ที่ต้องการให้ประชาชนสามารถรับชมได้อย่างทั่วถึงและทุกช่องทาง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่