ประสบการณ์นั่งกรรมฐาน

สวัสดีค่ะ ขอเล่าประสบการณ์การนั่งกรรมฐานในป่าช้านะคะ

ต้นเหตุของการได้ปฎิบัติธรรมครั้งนี้ เริ่มมาจาก มีพี่รู้จักท่านนึงแนะนำว่าสถานที่นี้เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม หลังจากนั้น เราเคยเข้าไปเยี่ยมชม ครั้งแรก เรารู้สึกว่า ทั้งสถานที่และสภาพแวดล้อมน่านั่งสมาธิมาก หากมีโอกาส ก็จะมานั่ง สถานที่นี้เป็นคนละจังหวัดกับบ้านของเรา แต่เรามักจะเดินทางข้ามจังหวัดบ่อยๆ เวลาไปทำธุระ ก็จะแวะเข้าไปไหว้พระ

ผ่านไปหลายปี มีอยู่วันนึงได้ผ่านสถานที่นี้อีก แต่ในใจกลับคิดว่า ลองเข้าไปไหว้พระและบนบานสักหน่อย คือ เราทำธุรกิจ และคิดว่าเพื่อให้ธุรกิจของเราราบรื่น น่าจะไม่เสียหายอะไร ตอนไปถึง เป็นเวลาเย็นแล้ว น่าจะประมาณ 5-6 โมงเย็น เข้าไปข้างใน ก็ไม่ค่อยเจอใครแล้ว เรากับแฟนจึงเดินเข้าไปในศาลานึง ซึ่งเป็นศาลาไม้ยกสูง เราขึ้นบันไดไป นี่เป็นครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 จำไม่ได้แล้ว ที่มีโอกาสได้ขึ้นมาศาลานี้ ส่วนแฟนเรารออยู่ข้างล่าง ขึ้นไป เราก็พบว่ามีพระพุทธรูป เหมือนเช่นสถานที่ทั่วไป เวลาเราเข้าไปในวัดค่ะ เราไหว้ทุกองค์ แล้วมาที่องค์สุดท้าย ที่แปลกคือ ท่านเป็นรูปกระโหลกขนาดใหญ่ ตอนนั้น ก็เริ่มอธิษฐานไปเรื่อย แต่ระหว่างนั้น เราได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ ลอยมาแตะจมูก ชัดมาก ก็กล่าวไว้ว่า หากได้สมดังใจ จะกลับมานั่งสมาธิที่สถานปฎิบัติธรรมแห่งนี้ เมื่อเราอธิษฐานเสร็จ ก็ลุกขึ้นและพยายามหาต้นตอของกลิ่นดอกไม้ คิดว่า อาจมีต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมในเวลาเย็นก็ได้ แต่แปลกตรงที่ได้กลิ่นแค่ตอนอธิษฐาน แต่พอลุกขึ้นหา กลับไม่มีกลิ่นใดๆ เลย เมื่อเราลงมาข้างล่าง ก็ถามแฟนว่า ได้กลิ่นดอกไม้หรือไม่ แฟนบอกว่า ไม่ได้กลิ่นเลย แล้วเราก็เดินทางกลับ

เวลาผ่านไปหลายเดือน ธุรกิจของเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็บ่นกับแฟนว่า เดี๋ยวเราหาเวลาไปนั่งสมาธิกัน บ่นอย่างนี้หลายเดือน จนมีอยู่วันนึง เป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว เราบอกแฟนว่า เราเก็บเสื้อผ้ากันเถอะ ไปวัดกัน ซึ่งตอนนั้น ลืมไปแล้วว่า เป็นวันทำบุญพระใหญ่ เวลาเย็นนั้น คือ ประมาณ 5-6 โมงแล้ว เราก็ออกเดินทางข้ามจังหวัดกัน ขอบอกว่า เราไม่มีความรู้เรื่องทางสายปฎิบัติเลย เสื้อผ้าขาวก็ไม่มี แต่คิดว่า ไปซื้อเอาที่วัดก็ได้ เมื่อไปถึงวัดแล้ว ก็จะเจอผู้ปฎิบัติธรรมและแม่ชี ที่ช่วยจัดแจงสถานที่และแนะนำว่าเรือนนอนอยู่ตรงไหน และต้องตื่นกี่โมง เราไปถึงช่วงพระทำวัตรเย็นและสวดมนต์ ประมาณ 4-5 ทุ่ม เราก็เข้านอนในเรือนนอน ส่วนแฟนเราไปนอนในเรือนนอนฝั่งผู้ชาย นับว่า ทางวัดค่อนข้างจัดการได้ดีมากค่ะ

รุ่งเช้า ประมาณ ตี 4 แม่ชีเคาะระฆัง เราก็ตื่น อุบาสกอุบาสิกา เหมือนรู้หน้าที่ บางคนกวาดลานวัด ทำความสะอาด บางส่วนก็เดินตไปบิณฑบาตรกับพระสงฆ์ ส่วนเรามาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไร ก็ไปอาบน้ำ และเตรียมซื้ออาหารเพื่อใส่บาตร ตอนพระท่านกลับมายังวัดค่ะ ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขอข้ามไปเลยนะคะ

เมื่อมีการทำวัตรเช้าเสร็จ สำหรับผู้มาใหม่ ก็ให้ไปฝึกวิปัสสนา สถานที่เป็นลานดินโล่ง มีหลังคา ช่วงนั้น ก็จะมีฝนตกมาเรื่อยๆ ค่ะ พระอาจารย์ก็เริ่มสอนเดินจงกลม ที่ผ่านมา เราเคยฝึกกับวัดอัมพวัน อาจได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ แต่ก็ห่างเกินการฝึกมาพอสมควร แต่ตอนอยู่บ้าน ก็จะนั่งสมาธิอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้ตายตัวว่า ต้องนั่งทุกวัน ทราบมาว่า วันนี้ จะมีการสอน 3 บัลลังก์ คือช่วงเช้า ช่วงบ่าย และเย็นค่ะ ก็เริ่มเรียนกัน เดินจงกลมรอบแรก เราเดินไป เดินกลับ มีความรู้สึกว่า ตรงไหล่ทั้งสองข้างมีอาการล้า และหนักขึ้นๆ ก็คิดในใจว่า สงสัยอายุด้วยมั้ง ทำให้ร่างกายมันล้า เมื่อเดินไปกลับรอบแรกเสร็จ ก็จะมีการสอนนั่งวิปัสสนา โดยท่อง ยุบหนอ พองหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ ระหว่างที่นั่งสมาธิ ในสมาธิเราเห็นศพคนตายมากมาย มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็ก คนแก่ เราก็มองในสมาธิ พบว่า ไม่รู้จักคนเหล่านี้ ศพนั่ง ดวงตากลวงโบว๋ทุกตน มีหนังแห้งๆ หุ้มกระดูก เราเข้าใจว่า ในนิมิตเมื่อเห็นอะไร ไม่ให้พิจารณา อาจะเป็นจิตปรุงแต่งขึ่นก็ได้ เมื่อลืมตามา เราก็เลยกระซิบแฟนเราว่า เราปวดไหล่ ช่วยนวดให้สักแปบ และเราเห็นอะไรในสมาธิ ก็กระซิบบอกไป แฟนเราดันพูดกับพระอาจารย์ว่า เราเห็นสิ่งนี้ และมีอาการอย่างนี้ พระอาจารย์มองหน้าเราแปบนึง ท่านก็พูดขึ้นมาว่า มีวิญญาณเด็กเกาะอยู่บนบ่า เดี๋ยวให้นั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ก็จะหลุดไปเอง ส่วนเรื่องศพที่เราเห็น ท่านไม่ตอบคำถาม 

เมื่อเรานั่งมาจนถึงบัลลังก์ 3 ช่วงเย็น เหมือนจิตมันรวม เพราะเรานั่งสมาธิและเดินจงกลมมาทั้งวัน พระอาจารย์ก็บอกว่า ใครมีแว่นตาก็ให้ถอดแว่นตา นั่งห่างๆ กัน เราก็งง ว่าแค่นั่งสมาธิทำไมต้องขยับขยายที่ เมื่อเริ่มนั่งรอบ 3 เรารู้สึกว่า ตัวเราเริ่มเอนไปข้างหน้าข้างหลัง เราไม่ได้คิดจะบังคับ คือ จิตอยู่แค่การภาวนา 4 คำนั้น ท่องในใจไม่ช้าไม่เร็ว นั่งไปสักพัก ร่างกายเราก็ล้มลงนอน แต่สติยังอยู่ เราก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราก็ภาวนาไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงพี่เลี้ยงมาพูดข้างหูในภาวนาเร็วขึ้นๆ แต่เราก็คิดว่า ท่องไปเรื่อยๆ ก็ได้ เพราะเกรงจะหายใจติดขัด เมื่อครบเวลา ผู้ปฎิบัติแต่ละท่านก็ลุกขึ้น พระอาจารย์ก็ทำการสอบแต่ละท่าน และแจ้งว่า ผ่านทุกคน เดี๋ยวเวลา 6 โมงให้มารวมตัวกัน เพื่อไปเก็บดอกไม้ ส่วนตัวเรา เราไม่รู้ว่าเก็บดอกไม้ คืออะไร และการสอนปฎิบัติของวัดนี้มีหลักสูตรอะไรบ้าง คิดแค่ว่า มาแก้บน และการสอนน่าจะจบตอนบัลลังก์ 3 แฟนเราก็ไม่รู้เช่นกัน

เวลา 6 โมงครึ่ง พี่เลี้ยงก็ให้กำลังใจ บอกว่า เก็บดอกไม้มาให้ได้เยอะๆ นะ เราก็บอกตรงๆ ไปเตรียมถุงพลาสติคมาแล้ว เพื่อไปเก็บดอกไม้ (ในใจคิดว่า คงพิธีกรรมบางอย่างที่มีการโปรยดอกไม้ หรือเก็บจากต้น) ไม่ได้มีความกลัวใดๆ  ถึงเวลา ก็ออกเดินทางโดยรถยนต์ มีพระอาจารย์และพี่เลี้ยงตามไปด้วย ระยะทางจากวัดและสถานที่แห่งใหม่ ค่อนข้างไกลและเปลี่ยนพอสมควร แถมฝนเพิ่งแล้งและเป็นคืนเดือนมืด

เมื่อไปถึงสถานที่แห่งใหม่ พบว่า เป็นวัดเช่นกัน แต่ค่อนข้างเงียบและมีพระอาจารย์รอต้อนรับอยู่รูปนึง ท่านก็แจ้งกฎ และแจ้งว่า ไม่ให้นำมือติดตัวและให้ถอดนาฬิกาและของมีค่าไว้ โดยฝากไว้ที่รถที่มาส่ง ท่านก็มองหน้าผู้ปฎิบัติแต่ละคนและยื่นบัตรห้อยคอให้ แฟนเราได้หมายเลข 2 ส่วนเราได้หมายเลข 3 ตอนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปนั่งกับอาจารย์ใหญ่ สถานที่ปฎิบัติธรรมแห่งนี้ค่อนข้างเงียบและมืด ทำให้เรามองอะไรไม่ค่อยถนัด จึงได้แต่เดินตามกลุ่มไป พระอาจารย์ก็มาสถานที่แห่งหนึ่ง เหมือนเป็นศาล มีรูปปั้น เรามองไม่ค่อยถนัด และสายตาก็พลันไปเจอกับรูปปั้นกระโหลก ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เราไปบนบานไว้ เราเห็นก็เลยยิ้มและถึงบางอ้อว่า หรือนี่ จะเป็นเหตุให้เราต้องมา ก็มีการจุดธูปคนละ 1 ดอก มีการกล่าวบทสวดและขอให้วิญญาณมาหลอกมาหลอน มีทั้งผีตายทั้งกลม ผีหัวขาด สัมภเวสี (คือเราท่องไปสักพัก พอบอกชนิดของผี เราเงียบไม่พูดต่อ เพราะคิดว่า เออ วันนี้วันพระ วันสารทที่เขาเชิญผีมาเยี่ยมญาติ) พอเสร็จพิธี พระอาจารย์ก็นำผุ้ปฎิบัติไปนั่งในกระท่อม โดยแบ่งเป็น 2 สาย สายแรกที่ไกล ท่านก็ไปส่งก่อน ส่วนเราสายที่ 2 ก็รอ ท่านก็กลับมารับและพาไปส่ง ก็จะส่งแฟนเราไปนั่งในกระท่อมก่อน เราก็พอจะเห็นลางๆ ซึ่งแสงสว่างจะมีแค่แสงไฟฉายของอาจารย์และพี่เลี้ยง 2 เท่านั้น เรารู้แต่ว่าต้องเดินเข้าไปในป่า ยังไม่รู้ว่าเป็นป่าช้า 555 แต่ระหว่างทางที่เดินไป ก็ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวใดๆ 

เมื่อถึงตาเรา พระอาจารย์ก็พาไปนั่งในกระท่อมที่อยู่ในซอย ห่างจากเส้นหลักประมาณ 2-300 เมตร เราก็มองเห็นพวงหรีด ดินที่เดินคล้ายๆ ดินเหนียว ฝนที่ทำให้พื้นเปียก เมื่อเข้าไป เราก็มองเห็นโลงศพ ในสายตาเห็นอยู่ 2 โลง วางข้างล่าง 1 โลง ข้างบนอีก 1 โลง พระอาจารย์ก็ให้เราท่องคาถา และบอกให้อาจารย์ใหญ่มาหลอกมาหลอน เอาธูปปักไว้ที่ดิน และทำการเปิดโลง ท่านบอกให้เราเข้าในนั่งในกลดและให้หลับตา โดยหากเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกมาจากกลดเด็ดขาด เราเมื่อนั่งเรียบร้อย ทั้งคณะก็เดินทางออกไปทันที 

สิ่งที่สัมผัสได้ชัด คือ จมูก เราได้กลิ่นศพหึ่งมาก ตอนนั้นในใจคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนตายที่จะมีกลิ่น ก็เหมือนกลิ่นซากสัตว์ตายทั่วไป ก็ถือว่าคุ้นชินกับกลิ่นพอสมควร เราก็นั่งภาวนาไปเรื่อยๆ ประมาณไม่นาน ก็ได้ยินเสียงสวบสาบ เหมือนย่ำใบไม้อยู่นอกกระท่อม เสียงนั้นคล้ายคนเดินย่ำไปมา เราก็คิดว่า อาจเป็นเสียงสัตว์ตอนกลางคืน แต่แปลกเราเห็นว่า ทางเดินไม่ได้มีใบไม้เยอะขนาดนั้น เสียงย่ำเหมือนย่ำใบไม้แห้ง จิตก็ไม่สนใจ ก็ภาวนาต่อไป ด้วยคิดว่า เขาให้เรามาฝึก เพื่อให้ปลงอสุภะ น่าจะไม่เจอสิ่งลี้ลับ สักแปบบ ได้ยินเสียงมาจากในโลง เหมือนเคาะโลง เราก็คิดว่า คงเป็นสัตว์ หากเราอยู่ในความกลัว จิตจะจินตนาการไปเรื่อย จึงใช้วิธีคิดแบบปกติ ในจิตว่างเปล่า ไม่สนใจเสียงภายนอก กลิ่นที่เกิดขึ้น และเราก็ได้กลิ่นศพแรงขึ้น เหมือนมาอยู่ตรงหน้าเรา และเหมือนคนเดินเข้ามาในกระท่อม มันไม่ใช่เสียงเดิน แต่เป็นการสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง เราสัมผัสได้อีกอย่าง คือ เหมือนมีหยดน้ำหยดลงมาตรงหางคิ้วของเรา ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเราอยู่ในกลด จิตแว่บแรกคิดว่า หากเป็นโจรจะทำอย่างไร คิดอย่างนั้นสักพัก จนจิตปลงว่า หากจะต้องตายระหว่างนั่งกรรมฐานก็ช่างเถอะ เราจึงเลิกสนใจ และกลับมาตั้งจิตภาวนาต่อ และก็ต่อด้วยเสียงเดินรอบกระท่อม เราก็เลยคิดว่า การเดินรอบกระท่อมนี้ เป็นไปไม่ได้ที่คนจะเดิน และลักษณะการเดินก็ไม่ใช่สัตว์เดินแน่นอน จึงคิดว่า คงจะเป็นผีแน่นอน 

จิตเราภาวนาไป น้ำตาเริ่มไหลออกมาเอง 3 รอบ จิตเข้าสู่สมาธิ ในจิตเราสว่างมาก หลับตากับลืมตาเหมือนกัน เราเลยเริ่มสื่อสารกับดวงวิญญาณ เริ่มบอกท่านว่า เราเป็นใคร มาจากไหน วิญญาณเราพบเห็นจนชิน เรากับท่านก็เหมือนกัน สักวันข้าพเจ้าก็ต้องตายเช่นท่าน ท่านมาหลอกเรา ทำเสียงรบกวน เพราะท่านทำหน้าที่ของท่าน เพื่อให้ผู้ปฎิบัติบรรลุญาณ ให้จิตจดจ่อเพราะความกลัว ข้าพเจ้าขอขอบคุณวิญญาณทุกๆ ท่านที่สละเวลามาสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้กลัว เพราะรู้ว่า ท่านคืออาจารย์ของข้าพเจ้า พอจิตส่งกระแสกล่าวไปอย่างนี้ เรารับรู้ได้ถึงดวงวิญญาณบริสุทธิ์สายหนึ่ง ท่านมองมายังเราด้วยความเมตตาและดูภูมิในในตัวเรา แต่เสียงต่างๆ ก็ยังดำเนินต่อไป เรามุ่งกระแสจิตไปที่ท่าน พบว่า ท่านเป็นผู้หญิงมีอายุ เรารู้สึกสงบและอบอุ่นใจ สักแปบ เรารู้สึกว่า มีมือมาสัมผัสที่หัวเข้าข้างซ้ายเรา ลูปหัวเข้าเราไปมา เราเพิ่งพิจารณา นับนิ้วได้ครบ 5 นิ้ว ลูบหัวเข่าเราเป็นนาที ในจิตเมื่อเกิดความสว่างเหมือนกลางวัน เราเห็นหมดว่า วิญญาณที่ลูบขาเราเป็นผู้หญิง วิญญาณที่เข้าใกล้เราตรงหน้าเป็นชายแก่มีอายุ ที่เดินอยู่นอกกระท่อมเป็นผู้ชาย 

เราไม่ได้ศึกษาเรื่องการเก็บดอกไม้ ตอนอาจารย์บอกว่า ถ้าไม่ได้ยินเสียงสาธุ ห้ามลืมตา ตอนนั้นคิดจริงๆ ว่า เรามานั่งกรรมฐาน ถือว่าวิญญาณจะได้บุญ คงต้องให้วิญญาณรับบุญจนเขาพอใจแล้วเขาจะกล่าวสาธุมา ระหว่างที่นั่งไปเนิ่นนาน หูก็รอฟังว่า เมื่อไหร่วิญญาณท่านๆ จะกล่าวคำว่าสาธุมา เราจะได้เดินกลับสักที เพราะเราเริ่มเมื่อย นั่งไปก็คิดไปว่า หากเขาลืมมารับเราจะทำอย่างไร จะนอนที่นี่เลยดีหรือไม่ ทั้งกลิ่นทั้งเสียงช่างมันเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป

พอเวลาผ่านไป ใกล้ๆ เขาจะมารับ นอกกระท่อมได้ยินเสียงขย่มกิ่งไม้แรงมาก เราก็คิดว่า ท่านมาสอนเราน่ะแหละ ประมาณ 5 นาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ มีคนเดินมา เราสัมผัสได้ถึงแสงไฟฉาย และคำว่า สาธุ เราจึงลืมเรา เมื่อลืมตา เราก็ก้มลงกราบอาจารย์ใหญ่ 3 ครั้ง และกล่าวว่า ศิษย์ขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้กรุณามาสอนในค่ำคืนนี้ ขอให้ถือว่า ข้าพเข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านอีกคนนึง เสร็จแล้วก่อนพระอาจารย์ปิดโลง ก็นำสายสิญจน์ที่โยงกับศพอาจารย์ใหญ่มาให้เราถือ เรานำม้วนมาถือไว้ หลับตาและส่งกระแสจิตไปยังศพของท่าน กล่าวขอพรและขอบคุณท่านอีกหนหนึ่ง

เมื่อเดินออกมาจากกระท่อม เราพบว่าในสมาธิ มันมีความสว่างอยู่สายหนึ่ง และสงบอย่างยิ่ง ระหว่างทางที่เดินกลับ กลับสบายใจ ถึงแม้จะเป็นป่าช้าแต่เรารู้สึกเหมือนมาเยี่ยมเยียนบ้านของผู้หลักผู้ใหญ่ เหมือนสัมผัสได้ว่า ที่นี่เป็นสังคมๆ หนึ่งที่เรามองไม่เห็น 

(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่