JJNY : "ทักษิณ"เซอร์ไพรส์โฟนอินเสื้อแดง│ผวาหนี้เสียSMEs จ่อทะลุล้านราย│“จิราพร”มองอภิปรายไม่สูญเปล่า│จีนขู่ตอบโต้ทางทหาร

เฮลั่น"ทักษิณ"เซอร์ไพรส์โฟนอินเป่าเค้กกับเสื้อแดงอีสาน บอกปีหน้าเจอกันที่เมืองไทย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7177859
 
 
เสียงเฮลั่น ทักษิณ โฟนอินเซอร์ไพรส์ เครือข่ายคนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสานร่วมพบปะรับประทานอาหาร ก่อนร่วมเป่าเค้ก ครบรอบวันเกิด 73 ปีชื่นมื่น ลั่นปีนี้เป็นปีสุดท้ายนะ ปีหน้าเราเจอกันที่เมืองไทยก็แล้วกัน จะไปเยี่ยมทุกอำเภอ ทุกจังหวัด
 
วันที่ 23 ก.ค.2565 ที่บ้านสวนกลางไพร ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศ นายพายัพ ชินวัตร พร้อม นายอนุวัฒน์ ทินราช ประธานคนเสื้อแดงอีสาน และเครือข่ายคนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสาน ร่วมพบปะรับประทานอาหาร
 
โดยภายในงานมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ ทักษิณ ชันวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินมาพูดคุยกับครอบครัวเพื่อไทย และร่วมเป่าเค้กส่งเสียงขับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์อวยพรวันคล้ายวันเกิดครบรอบอายุ 73 ปีของ ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.ค.นี้
  
โดยนายพายัพ เป็นผู้กล่าวทักทายพี่ชาย ซึ่งอดีตนายกฯทักษิณ ได้กล่าวว่า ขอให้ความสุขทั้งหลายมีกับทุกท่าน มีสุขภาพ มีกำลังใจการต่อสู้รัฐบาลที่ตะแบงเก่ง ทั้งที่ประชาชนไม่เอาก็ตะแบงอยู่อย่างนี้ น่ากลัวมากประเทศ ผมคิดว่าเลือกตั้งคราวหน้า ประชาชนตัดสินใจลงโทษได้ชัดเจน ผมมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยทำได้ ปีที่แล้วพวกเราก็จัดวันเกิดให้ทุกปี ปีนี้เป็นปีสุดท้ายนะ ปีหน้าเราเจอกันที่เมืองไทยก็แล้วกัน เมื่อกลับไปจะกลับไปเยี่ยมเยือนพี่น้องประชาชนทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ท่ามกลางเสียงดีใจและตบมือของบรรดามวลชน
  

 
ผวาหนี้เสีย SMEs จ่อทะลุล้านราย จี้รัฐคลอดแพคเกจอุ้ม
https://www.thansettakij.com/economy/533815
 
SMEs ผวาพิษเศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตฉุดตัวเลข NPL ครึ่งปีหลัง พุ่งทะลุหลักล้านราย สูงเป็นประวัติการณ์ ชี้ตัวเลข 2 แสนรายต่ำกว่าความเป็นจริงที่สูงกว่า 3-4 เท่าตัว วอนรัฐหามาตรการเพิ่มสภาพคล่อง ขณะที่สภาอุตฯ ห่วงเอสเอ็มอีสายป่านสั้น แนะเร่งคลอดแพคเกจช่วย
 
การเผชิญวิกฤตรอบด้านทั้งการระบาดของโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ต้นทุนสินค้าหลายชนิดเพิ่มสูงขึ้น อัตราค่าเงินที่ผันผวน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วน รวมไปถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่พบว่ามีสินเชื่อในระบบรวมมากกว่า 3.93 ล้านล้านบาท
 
โดยมีสัดส่วนหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ราว 11.5% ขณะที่กลุ่ม mSMEs กลายเป็น NPL แล้ว 7.9% หรือกว่า 2.86 แสนราย และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
 
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องเผชิญกับ 5 เรื่องหนักๆ ได้แก่ 1. ต้นทุนเพิ่มทั้งค่าปุ๋ย พลังงาน เชื้อเพลิง ฯลฯ 2. การบริโภคในประเทศที่ลดลงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น 3. ภาวะเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่เตรียมปรับขึ้น 4. หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และ 5. ปัญหาการว่างงาน ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเศรษฐกิจโดยรวมทำให้หลายรายต้องปิดกิจการทั้งชั่วคราวและถาวร
  
หวั่นหนี้เสียทะลุหลักล้าน
 
อย่างไรก็ดีในครึ่งปีหลัง หากภาครัฐยังไม่ขยับตัวดำเนินมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เชื่อว่าจะเห็น SMEs บางรายที่ไม่สามารถปรับราคาได้ จะต้องปิดกิจการทั้งชั่วคราวและถาวรเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้กลุ่ม NPL ขยับเพิ่มขึ้นเป็นล้านคน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และจะลุกลามกลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ส่งผลกระทบหนักต่อประเทศ จากวันนี้ที่พบว่ามีกลุ่ม SMEs ที่เป็น NPL แล้วราว 8-9% แต่ในความเป็นจริงอาจมากกว่า 3-4 เท่าตัว
 
“สิ่งสำคัญ คือ วันนี้ภาครัฐต้องรีบคิดเรื่องของการแก้ปัญหา การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่จะไปส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงช่องทางใหม่ๆในการหาโอกาสให้ SMEs ขขยายธุรกิจ ลดการนำเข้า และสร้างขีดความสามารถในการส่งออก เพราะแค่ลดการนำเข้า 1-2 หมื่นล้านบาท จะสามารถสร้างงาน และทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้มากมาย”       
  
วันนี้อยากให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรวมตัวกัน พึ่งพากัน อย่าเดินคนเดียว ช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ที่ผ่านมาตัวเลขสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้ภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้งการแก้หนี้ เติมทุน รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อให้ผู้ประกอบการมีอาวุธไปต่อสู้กับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพ ภาวะเงินเฟ้อ ฯลฯ
 
ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในเรื่องของการส่งออก, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่ขอสิทธิให้ SMEs GP ในสัดส่วน 30% กลับคืนมาและเพิ่มเป็น 50%, การสนับสนุนเงินลงทุนทั้งจาก BOI และกองทุนฟื้นฟูอื่นๆ และการบริโภคในประเทศ
 
สภาอุตฯห่วง SMEs เอ็นพีแอลพุ่ง
 
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศ มีปัญหาต้นทุนการผลิตสูง เฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบส่วนใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาผลิต เวลานี้ประสบกับต้นทุนทั้งวัตถุดิบ ค่าโลจิสติกส์ ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้น
 
จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งในรายที่นำเข้าวัตถุดิบในรูปดอลลาร์ และส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐฯไม่กระทบมากจากเงินบาทอ่อนค่า แต่ในรายที่นำวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาผลิตและเน้นขายในประเทศ ที่มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบ และเงินบาทอ่อนค่า จะกระทบมาก จากไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้มาก ขณะตลาดในประเทศ ปัจจุบันเงินเฟ้อในประเทศสูง ค่าครองชีพสูง กำลังซื้อลดลง
 
“ปัญหาที่เอสเอ็มอีกังวลในเวลานี้คือ ต้นทุนการผลิตสูง ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นจากบาทอ่อนค่า การขาดสภาพคล่อง ขายของได้ยากขึ้น ซ้ำเติมจากเติมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ล่าสุดค่าไฟฟ้ารอบใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.) มีแนวโน้มปรับขึ้นจาก 4 บาท เป็น 5 บาทต่อหน่วยตามต้นทุนผันแปรด้านพลังงาน ค่าขนส่ง ค่าโลจิสติกส์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากสงครามยังยืดเยื้อ ห่วงเอสเอ็มอีสายป่านไม่ยาวจะมีปัญหาสภาพคล่อง และเอ็นพีแอลจะพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นทุกหน่วยงานด้านเศรษฐกิจต้องเร่งหาแพ็กเกจช่วย”
 
โรงแรม SMEs ยังไม่รอด
 
สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจห้องพักและโรงแรมขนาดเล็กพบว่าปัจจุบันในจ.ภูเก็ต ขณะนี้กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ล่าสุดหลายแห่งถูกสถาบันการเงินยึดทรัพย์ และประกาศขายทอดตลาด และยังมีโรงแรมขนาดเล็กอีกกว่า 200 แห่ง อยู่ระหว่างถูกบังคับคดี
 
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าปัจจุบันผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ถือว่ารอดแล้ว  แต่ยังคงเหลือแต่กลุ่มเอสเอ็มอีที่ยังไม่รอด ผมจึงจะลงพื้นที่ภูเก็ตในช่วงต้นเดือนหน้า เพื่อหารือและรับฟังปัญหากับผู้ประกอบการกลุ่มนี้ ในการหาทางช่วยเหลือ โดยจะทำให้เป็นภูเก็ตโมเดล ถ้าดำเนินการได้สำเร็จก็สามารถช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอีท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่นได้
 
ทั้งนี้หากเราผลักดันให้แบงก์รัฐหรือเอสเอ็มอีแบงก์ เข้าไปช่วยเหลือในการจัดสรรเงินลงทุนให้เขากลับมาเปิดธุรกิจได้อีกครั้ง ก็จะทำให้เขาสามารถหารายได้ มาจากหนี้สินต่างๆที่มีอยู่ เพื่อให้กลับมามีกำลังในการทยอยชำระหนี้ได้ โดยไม่ถูกบังคดี  เพราะจริงๆแบงก์ก็คงไม่ได้อยากยึด และจริงๆผู้ประกอบการเล็กก็ไม่ได้ต้องการเงินมากถึง 5 ล้านบาทด้วยซ้ำแค่ราว 1 ล้านบาทก็น่าจะทำให้ดำเนินธุรกิจได้
 
“จริงๆธุรกิจโรงแรมเอสเอ็มอีในภูเก็ต ก่อนโควิด-19 ก็ลำบากอยู่แล้ว เพราะตอนนั้นภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 14 ล้านคน แต่มีการสร้างโรงแรมเพิ่ม18% ก็ประสบผลกระทบจากภาวะโอเวอร์ซัพพลาย พอเจอโควิดไปร่วม 2 ปีก็วิกฤตหนักมาก และที่ผ่านมาด้วยความที่โรงแรมระดับเอสเอ็มอี ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาติถูกต้องตามกฏหมายคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% มีแค่ 20% ที่จดทะเบียนถูกต้อง
 
ที่ผ่านมาเราก็พยายามช่วยให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวกัน โดยอนุโลมให้แก่มีใบเสร็จรับรอง หรือแสดงหลักฐานการเสียภาษีถูกต้อง ก็ให้เข้าร่วมโครงการได้ แต่ก็แทบไม่มีใครสมัครเข้ามา เราก็ต้องเข้าไปหารือว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
 
จี้รัฐคลอดนโยบายหนุน SMEs
  
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนที่จะทำให้SMEs ผ่านไปได้ดีที่สุดถ้าไม่นับตัวเองก็คือ “รัฐบาล” กับองคาพยพที่เป็นภาครัฐหรือภาคธนาคารซึ่งเป็นสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะระบบเศรษฐกิจบ้านเราถูกคุมด้วยราชการมานาน เมื่อระบบไม่เปลี่ยน คนที่ลงมาคุมธุรกิจจึงรู้เรื่องไม่เท่าคนทำธุรกิจ เพราะคนเก่งหันไปทำงานเอกชนไม่ทำงานรัฐบาล         
 
เพราะฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้ภาครัฐต้องปรับปรุงตัว ไม่ใช่ภาคเอกชนต้องปรับปรุงตัวเพราะที่ผ่านมาภาคเอกชนจะต้องปรับตัวตลอดเวลาเพื่ออยู่รอด ภาครัฐต้องรู้บทบาทหน้าที่ว่าตนเองเป็น backup จะต้องช่วยผลักดัน SMEs ไปข้างหน้าโดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ เพื่อให้ SMEs ภาคเอกชนทั่วไปเดินทะลุผ่านสถานการณ์วันนี้ไปให้ได้และกลับมายืนใหม่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น บ้านเมืองดีขึ้น ตรงนี้เป็นนโยบายสำคัญที่สุดของรัฐบาลและพรรค การเมืองต่อไป
 
เดิม SMEs หรือบริษัทกลางขนาดย่อมของประเทศไทยไม่ได้ต่างไปจากบริษัทใหญ่ๆในเมืองไทยหรือต่างประเทศ เพราะมหาเศรษฐีหรือบริษัทใหญ่ๆหลายบริษัทก็มาจาก SMEs ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ เพียงแต่ช่องทางและโอกาสไม่เหมือนกัน ถ้าภาครัฐส่งเสริมช่องทางการขายและโอกาสให้มากขึ้นประเทศไทยก็จะสามารถมีมหาเศรษฐีหรือบริษัทใหญ่ๆได้มากขึ้นแน่นอน เพราะปัญหาวันนี้คือ SMEs ไทยไม่มีโอกาสและไม่มีเงินสนับสนุน และไม่รู้วิธีการทำ marketing
 
“เมืองไทยถ้าทำจริงจังมันจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ภาครัฐต้องดีกว่านี้ และภาครัฐจะต้องเป็น supporter ไม่ใช่เป็น regulator นโยบายภาครัฐจะต้องเป็นตัวผลักดันไม่ใช่เป็นตัวควบคุมถึงจะทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีการพัฒนา SMEs หรือการพัฒนาภาคธุรกิจให้เดินหน้าได้
 
สิ่งที่จะทำให้บริษัทธรรมดาเล็กๆมีโอกาสได้คือภาครัฐนโยบาย เช่น ภาษีต้องคืนกลับมาอุดหนุนสินค้า SMEs ของไทย เงินงบประมาณประจำปีในแต่ละปีถ้าสามารถแบ่งออกมาสัก 20% ของงบเพื่ออุดหนุน SMEs ไทยมันก็จะทำให้ SMEs ไทยลืมตาอ้าปากได้มากกว่านี้ กฎหมายงบประมาณมันไม่ได้รับการแก้ไข กลายเป็นว่าบริษัทยิ่งใหญ่ยิ่งได้เปรียบยิ่งได้ประโยชน์ มีอำนาจต่อรอง กู้เงินทีมีดอกเบี้ยต่ำ แต่ SMEs กู้กลับได้ดอกเบี้ยสูง คนตัวเล็กต้องได้แต้มต่อมันถึงจะโตได้”
 
ดังนั้นการส่งเสริมกิจกรรมเล็กๆได้จะต้องส่งเสริมตั้งแต่เริ่มต้น มีพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแล ทำอย่างไรผู้ประกอบการตัวเล็กจะจัดตั้งธุรกิจได้อย่างดี ขณะที่ภาคการเงินต้องให้เงินทุนในวิสัยที่เขาจะชำระได้ เงื่อนไขต่างๆที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับ SMEs จะต้องไม่เหมือนธุรกิจใหญ่หรือธุรกิจปกติ สุดท้ายคือต้องให้โอกาส สนับสนุนส่งเสริมให้มีเครือข่าย marketing ต่างๆเพื่อประชาสัมพันธ์หรือส่งเสริมให้ออกไปต่างประเทศหรือให้ขยายกิจการให้ได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเราจะมีบริษัทใหญ่ๆในเมืองไทยมากกว่านี้ที่มาจาก SMEs
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่