พระอรรถกถาจารย์เหล่านั้น เป็นพระอรหันตสาวกที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบรมศาสดา เป็นหนึ่งในแก้วรัตนะอันประเสริฐซึ่งเป็นองค์หนึ่งในพระรัตนตรัยที่พวกเราชาวพุทธควรยึดเป็นทึ่พึ่งสูงสุด เป็นสรณะ แต่ไม่ใช่พึ่งด้วยการเพียงแต่สวดท่องมนตราขอยกพระอรหันต์รูปนั้นรูปนี้มาไว้บนศรีษะ บนบ่าซ้าย บนบ่าขวา บนหน้าอก กลางหลัง ฯลฯ เพียงเพื่อหวังพึ่งให้ท่านคุ้มครองตัวตนของตนของผู้นั้นให้ปลอดภัยจากภยันตราย
แต่การพึ่งสูงสุด คือ ควรพึ่งปัญญาของท่านเหล่านั้นต่างหากที่จะเป็นเครื่องนำพาชีวิตให้ไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น
ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เรียกว่า มีพระรัตนตรัยเป็นทึ่พึ่งสูงสุด เพราะคำว่า "ตรัย" แปลว่า "สาม"
ขอยกข้อเขียนของ อ. เผดิม ยี่สมบุญ มาไว้ให้พิจารณาว่า มีเหตุมีผลหรือไม่
"@ ประเด็นกล่าวตู่อ้างว่า พระอภิธรรมเป็นคัมภีร์แต่งขึ้นภายหลัง จากสาวก หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า
ขอยกข้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถาจารย์อธิบาย แสดงความจริงว่า
พระพุทธเจ้า ตรัสว่ามีพระอภิธรรม ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และ ภิกษุทั้งหลายสมัยนั้นก็สนทนาพระอภิธรรมกัน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 275
ข้อความบางตอนจาก อัสสสูตรที่ ๑
....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ
และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรากล่าวว่า นี้เป็นเชาวน์
ของเขา
และเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย ก็วิสัชนาได้ ไม่จนปัญญา เรากล่าวว่านี้เป็นวรรณะของเขา และเขามักได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
เรากล่าวว่า นี้เป็นความสูงและความใหญ่ของเขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายบุรุษกระจอก ๓ จำพวกนี้แล ฯ
-----------------------
และเรื่อง ภิกษุสนทนากันเรื่องพระอภิธรรมสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต - หน้าที่ 352 (ฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถา)
ข้อความบางตอนจาก...๖. จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร
[๓๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมือง
พาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต
นั่งประชุมสนทนา
อภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อพวก
ภิกษุผู้เถระ
กำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหา
โกฏฐิตะได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกล่าว
สนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร จงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน ฯ
@ ประเด็นการกล่าวอ้าง เพียงเห็นศพสีเหลืองแล้วพยากรณ์ว่าเป็นพระอนาคามี
- ผู้ที่จะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นไหน ต้องเป็นผู้มีพระปัญญา ดั่งเช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น พระอริยสาวกในอดีต มีท่านพระสารีบุตร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นผู้เลิศทางปัญญารองจากพระองค์ ก็ไม่ได้พยากรณ์ใครว่าเป็นพระอนาคามี เพียงเห็นศพสีเหลือง เพราะศพสีเหลือง เกิดขึ้นได้ แม้ไม่ได้ฟังคำพระพุทธเจ้า และผู้นั้นที่พยากรณ์ มีญาณ ปัญญาระดับใด จึงพยากรณ์ เพียงศพสีเหลืองว่าได้ฟังคำพระพุทธเจ้าก่อนตายเป็นพระอนาคามี เพราะ การเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่การเห็นด้วยตาปัญญาที่ได้ฌานอภิญญา
การยกพุทธวจนะ แต่ ตนเองอธิบายผิด ก็ชื่อว่าคำของตนเองเป็นคำของอัญญเดียรถีย์ นอกศาสนา ไม่ใช่แม้คำของพระอริยสาวก เพราะ อธิบายไม่สอดคล้องตามพระธรรมวินัย ทำลายพุทธวจนะ มีเรื่องปฏิเสธพระอภิธรรม และ พยากรณ์ศพสีเหลือง เป็นต้น พระอภิธรรมก็อันตรธานไป จากคำของผู้อ้างตนเป็นสาวก กล่าวตามพุทธวจนะแต่อธิบายผิด ว่าอภิธรรมเป็นคำแต่งภายหลัง และคนปัจจุบัน ส่วนมากก็ชื่นชมชอบกัน แต่ไม่พิจารณาความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะคำที่บุคคลอธิบายต่อจากพุทธวัจนะ ที่อธิบายผิด ก็ชื่อว่าสาวกภาษิตนอกศาสนา
ขอเชิญอ่านข้อความพระไตรปิฎกฉบับบมหาจุฬาที่ไม่มีอรรถกถา เป็นพระพุทธพจน์ที่แสดงว่าควรฟังคำของพระอริยสาวก มีท่านพระสารีบุตร และ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ - หน้าที่ 337
๑๑. สัจจวิภังคสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ
จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิดโมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตร
ย่อมแนะนำในโสดาปัตติผลโมคคัลลานะ
ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง สารีบุตร
พอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร ฯ
------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 23
[๑๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว ผู้ยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยมอันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบ เหมือนสารีบุตรนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยม อันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบทีเดียว ฯ"
ทำไมสำนักพุทธวจนตั้งข้อรังเกียจหรือดูแคลนพระอรรถกถาจารย์
แต่การพึ่งสูงสุด คือ ควรพึ่งปัญญาของท่านเหล่านั้นต่างหากที่จะเป็นเครื่องนำพาชีวิตให้ไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น
ไม่เช่นนั้น ก็ไม่เรียกว่า มีพระรัตนตรัยเป็นทึ่พึ่งสูงสุด เพราะคำว่า "ตรัย" แปลว่า "สาม"
ขอยกข้อเขียนของ อ. เผดิม ยี่สมบุญ มาไว้ให้พิจารณาว่า มีเหตุมีผลหรือไม่
"@ ประเด็นกล่าวตู่อ้างว่า พระอภิธรรมเป็นคัมภีร์แต่งขึ้นภายหลัง จากสาวก หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า
ขอยกข้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถาจารย์อธิบาย แสดงความจริงว่า พระพุทธเจ้า ตรัสว่ามีพระอภิธรรม ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และ ภิกษุทั้งหลายสมัยนั้นก็สนทนาพระอภิธรรมกัน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 275
ข้อความบางตอนจาก อัสสสูตรที่ ๑
....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ
และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรากล่าวว่า นี้เป็นเชาวน์
ของเขา และเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย ก็วิสัชนาได้ ไม่จนปัญญา เรากล่าวว่านี้เป็นวรรณะของเขา และเขามักได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
เรากล่าวว่า นี้เป็นความสูงและความใหญ่ของเขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ และสมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายบุรุษกระจอก ๓ จำพวกนี้แล ฯ
-----------------------
และเรื่อง ภิกษุสนทนากันเรื่องพระอภิธรรมสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต - หน้าที่ 352 (ฉบับมหาจุฬา ไม่มีอรรถกถา)
ข้อความบางตอนจาก...๖. จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร
[๓๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมือง
พาราณสี ก็สมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมสนทนา
อภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ได้ทราบว่า ในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อพวก
ภิกษุผู้เถระกำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ลำดับนั้น ท่านพระมหา
โกฏฐิตะได้กล่าวกะท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ พูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร จงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน ฯ
@ ประเด็นการกล่าวอ้าง เพียงเห็นศพสีเหลืองแล้วพยากรณ์ว่าเป็นพระอนาคามี
- ผู้ที่จะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นไหน ต้องเป็นผู้มีพระปัญญา ดั่งเช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น พระอริยสาวกในอดีต มีท่านพระสารีบุตร อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นผู้เลิศทางปัญญารองจากพระองค์ ก็ไม่ได้พยากรณ์ใครว่าเป็นพระอนาคามี เพียงเห็นศพสีเหลือง เพราะศพสีเหลือง เกิดขึ้นได้ แม้ไม่ได้ฟังคำพระพุทธเจ้า และผู้นั้นที่พยากรณ์ มีญาณ ปัญญาระดับใด จึงพยากรณ์ เพียงศพสีเหลืองว่าได้ฟังคำพระพุทธเจ้าก่อนตายเป็นพระอนาคามี เพราะ การเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่การเห็นด้วยตาปัญญาที่ได้ฌานอภิญญา
การยกพุทธวจนะ แต่ ตนเองอธิบายผิด ก็ชื่อว่าคำของตนเองเป็นคำของอัญญเดียรถีย์ นอกศาสนา ไม่ใช่แม้คำของพระอริยสาวก เพราะ อธิบายไม่สอดคล้องตามพระธรรมวินัย ทำลายพุทธวจนะ มีเรื่องปฏิเสธพระอภิธรรม และ พยากรณ์ศพสีเหลือง เป็นต้น พระอภิธรรมก็อันตรธานไป จากคำของผู้อ้างตนเป็นสาวก กล่าวตามพุทธวจนะแต่อธิบายผิด ว่าอภิธรรมเป็นคำแต่งภายหลัง และคนปัจจุบัน ส่วนมากก็ชื่นชมชอบกัน แต่ไม่พิจารณาความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะคำที่บุคคลอธิบายต่อจากพุทธวัจนะ ที่อธิบายผิด ก็ชื่อว่าสาวกภาษิตนอกศาสนา
ขอเชิญอ่านข้อความพระไตรปิฎกฉบับบมหาจุฬาที่ไม่มีอรรถกถา เป็นพระพุทธพจน์ที่แสดงว่าควรฟังคำของพระอริยสาวก มีท่านพระสารีบุตร และ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ - หน้าที่ 337
๑๑. สัจจวิภังคสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิดโมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผลโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง สารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร ฯ
------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท - หน้าที่ 23
[๑๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว ผู้ยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยมอันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบ เหมือนสารีบุตรนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมยังธรรมจักรที่ยอดเยี่ยม อันตถาคตให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบทีเดียว ฯ"