จากข่าวฉาวในวงการสงฆ์น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่ว่ากิจของสงฆ์มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น

หลายคนไม่มีความเคารพในคำขององค์พระศาสดา

หลายคนดูหมิ่นดูแคลนว่า คำขององค์พระศาสดา ล้าสมัยไปแล้ว ไม่ทันโลก ไม่ทันยุคสมัย

บางคนอ้างว่า ยุคสมัยนี้ พระภิกษุควรมีส่วนช่วยเหลือสังคม พระภิกษุต้องเป็นพระนักพัฒนา ต้องทำกิจประชาสงเคราะห์

ไม่ใช่เอาแต่ทำเพียงกิจ 2 อย่างตามที่พระพุทธองค์มีพระดำรัสต่อพระมหาปาละ

หลายคนไปกล่าวตู่เสริมเติมแต่งคำของพระพุทธองค์ ว่า กิจของสงฆ์มีมากกว่านั้น มีเป็น 10 อย่าง บลาๆๆ

แต่จริงๆ แล้ว องค์พระศาสดาตรัสแก่พระมหาปาละว่า

“ภิกษุ ธุระมี 2 อย่าง คือ คันถธุระ (กับ) วิปัสสนาธุระ เท่านั้น”

พระมหาปาละทูลถามว่า “พระเจ้าข้า ก็คันถธุระเป็นอย่างไร? วิปัสสนาธุระเป็นอย่างไร?”

พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า "ธุระนี้ คือ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วทรงไว้ กล่าวบอกพุทธวจนะนั้น ชื่อว่า คันถธุระ

ส่วนการเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ยังวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งการติดต่อแล้ว ถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติแคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัด ชื่อว่า วิปัสสนาธุระ"

********************************************

เมื่อพระภิกษุไม่เคารพคำขององค์พระศาสดา

ตั้งตนเป็นพระนักพัฒนา  ก็ย่อมจะต้องมีการเรี่ยไรเงินบริจาคจากพุทธศาสนิกชน มาทำโครงการต่างๆ มากมาย  ราวกับว่า ประเทศนี้ไม่มีรัฐบาล ไม่มีองค์กร NGO ต่างๆ ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีมูลนิธิต่างๆ ที่แต่ละองค์กรต่างก็ทำหน้าที่ของตนๆ อยู่แล้ว   แต่กลับไปแย่งบทบาทเหล่านั้น เพื่อดึงเงินบริจาคมากมายเข้ามา

สุดท้ายกลับกลายเป็นเอาเงินบริจาคไปสร้างสนามฟุตบอล ไปสร้างสโมสรฟุตบอล  ไปซื้อโรงแรม  ไปซื้อผับบาร์  สร้างความร่ำรวยให้แก่ใคร?

ต้องย้อนกลับมาถามว่า  นี่ใช่กิจของสงฆ์แน่หรือ?

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่