น้ำมันแพง แก๊สขึ้นราคา คนหันมาใช้เตาถ่านแทน พริก ผัก ทยอยปรับราคา
https://www.thairath.co.th/business/economics/2408365
น้ำมันแพง แก๊สขึ้นราคา คนหันมาใช้เตาถ่านแทน ขณะที่ พริก ผัก ทยอยขึ้นราคา คะน้าขาดตลาดไปแล้ว
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.65 นาง
ปราณี จุลชีพ วัย 73 ปี ชาวจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันทั้งตัวเองและลูกทีมอีก 3 คน ต้องเร่งปั้นเตาดินตามขนาดให้ทันกับความต้องการ เนื่องจากตอนนี้มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่คนที่มาสั่งจะนำไปขายต่อในตัวจังหวัด หรือตามหมู่บ้านต่างๆ หลังที่ก๊าซหุงต้มปรับราคาครั้งที่ 3 จากเดิมที่ขายถังขนาด 15 กิโลกรัม ประมาณ 348 บาท พุ่งเป็นถังละ 363 บาท
ทั้งนี้ ทำให้มียอดออเดอร์สั่งซื้อเตาถ่านไปขายต่อเพิ่มอีก 20% แต่เราก็ยังผลิตตามออเดอร์ไม่ทัน เพราะปัญหาหน้าฝนผลิตเตากินใช้ฟืน หรือถ่านแห้งไม่ทัน เมื่อฝนใกล้ตกต้องรีบไปเก็บเตาดินที่ตากแดดไว้หลบฝนก่อนไปตากในวันรุ่งขึ้น
ในส่วนราคาขายส่งยังเท่าเดิม ลูกเล็กใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงลูกละ 38 บาท ลูกใหญ่ใช้ฟืนหรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงลูกละ 65 บาทเท่านั้น โดยลูกทีมที่ปั้นเตาด้วยจะมีรายได้อย่าน้อยวันละ 300 - 500 บาท ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน
ส่วนตนเองหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วมีรายได้จากการปั้นเตาดินขายลูกละ 5 บาท วันละ 100 ลูก มีรายได้แต่ละวัน 500 เท่านั้น อีกอย่างเราก็ไม่กล้าขึ้นราคา กลัวขายไม่ได้เหมือนกัน แม้น้ำมันจะปรับขึ้นราคา ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังขายราคาเดิม ยังไม่ปรับขึ้นราคาแต่อย่างไร
นางสาว
ขวัญจิตร ขวัญใจเลิศ แม่ค้าขายส่งผัก ตลาดศูนย์การค้า จ.กำแพงเพชร กล่าวว่า ตอนนี้พริกฮอตแดงราคาพุ่งสูงมาก แต่เดิมถุงละ 10 กิโลกรัม เราขายอยู่ที่ 800 - 900 บาท แต่ขณะนี้ราคาขึ้นไปเป็นถุงละ 1,200 บาทแล้ว และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก
เนื่องจากพริกฮอตแดงส่วนมากจะมาจากฝั่งเมียนมา แต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่สงบ จึงทำให้มีของส่งเข้ามาน้อย เช่นเดียวกับพริกฮอตเขียว ราคาก็ขยับจากถุงละ 550 บาท ขึ้นมาเป็น 900 บาทแล้ว
นอกจากนั้นยังมีแตงกวาถุงละ 10 กิโลกรัม ก็ขึ้นจากถุงละ 120 บาทมาเป็น 180 บาทแล้ว ผักกาดขาวจากถุงละ 40-50 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 120 บาท มะเขือเจ้าพระยาจากเดิมถุงละ 60-70 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นถุงละ 160 บาท ส่วนผักชีจากเดิมโลละ 100 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 150-160 บาทแล้ว ส่วนผักที่ขาดตลาดในช่วงนี้คือ ผักคะน้าหวาน มีแต่ผักคะน้าตามบ้านที่พอมีออกมาขายบ้างเท่านั้น
นาย
สมบัติ ศรีชัยภูมิ อายุ 60 ปี คนขับรถรับจ้างโดยสารประจำทางที่จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันนั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับเรา ระยะนี้ผู้โดยสารไม่ค่อยจะมี เพราะส่วนมากนิยมใช้รถส่วนตัวมากขึ้น ขณะที่การวิ่งตามรอบก็ต้องทำเช่นเดิม ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งก็อยากที่จะคุยกับสำนักงานขนส่งเพื่อขอให้มีการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ขึ้นแบบไม่หยุด
ตอนนี้ค่าโดยสารอยู่ที่ 9 บาท ตลอดสาย ซึ่งราคานี้มีนานมากแล้ว ตั้งแต่ราคาน้ำมันดีเซลยังไม่ถึงลิตรละ 30 บาท ซึ่งถ้าได้ปรับราคาจริงๆ จะขอให้ปรับเปลี่ยนเป็น 12-15 บาท ถึงจะเหมาะสมกับราคาน้ำมัน
อีกทั้งตั้งแต่โควิดระบาด ผู้โดยสารหันไปใช้รถส่วนตัว แต่ช่วงนี้ดีขึ้นเพราะโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ทำให้ช่วงที่คนขึ้นมากที่สุด คือ ตอนเช้า ที่ผู้โดยสารจะเป็นนักเรียน หลังจากนั้นก็จะมีอีกทีช่วงนักเรียนเลิกเรียน ส่วนช่วง กลางวันแทบจะไม่มีคนขึ้นเลย
ด้าน นาย
แดง แบ่งคง อายุ 56 ปี คนขับรถโดยสารประจำทาง กล่าวว่า ยอมรับว่าราคาน้ำมันแพงแบบนี้กระทบกับรายได้ของการขับรถสองแถวชัดเจน ปัจจุบัน ค่าโดยสารแยกเป็นนักเรียน 6 บาท ผู้ใหญ่และคนทั่วไป 9 บาทตลอดสาย ซึ่งราคานี้รายได้ก็จะเท่าเดิม ขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น
ทั้งนี้ รัฐควรจะมีการปรับค่าโดยสารขึ้นให้เหมาะสมกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นด้วย เพราะค่าโดยสารนี้ไม่ขึ้นมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่น้ำมันดีเซลลิตรละ 27 บาท จนวันนี้น้ำมันดีเซลราคาลิตรละ 33 บาทแล้ว แต่ราคาค่าโดยสารยังเท่าเดิม เราเองก็ปรับตัวไม่ได้ก็ได้แต่ทำใจ เพราะเราไม่ใช่ผู้บริหาร
ถ้าเป็นผู้บริหารก็ต้องคิดดูว่าคนหาเช้ากินค่ำเดือดร้อนแค่ไหน ถ้าสมควรปรับก็ต้องปรับ ส่วนราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมกับราคาน้ำมันช่วงนี้ประมาณ 12 บาท ไม่ขอมากขอแค่นี้ เพราะถ้า 15 บาทจะแพงเกินไป อีกทั้งถ้าปรับราคาขึ้นก็ให้จะทำให้คนขับรถโดยสารประจำทางอยู่ได้ไม่ลำบากมาก
ขณะนี้ ผู้โดยสารหายไปประมาณ 50% วันใดที่นักเรียนมาโรงเรียนก็ยังพอมีลูกค้า แต่ถ้าวันใดไม่มีนักเรียน รายได้ก็จะเหลือแต่ค่าน้ำมัน ส่วนค่าเช่ารถก็ยังลำบาก เดิมที่ผ่านมาเคยหักค่าต้นทุนต่างๆ แล้วจะเหลือรายได้วันละ 200-300 บาท
แต่วันนี้เหลือรายรับเพียง 100 บาท จึงอยากจะฝากถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ช่วยเรื่องค่าน้ำมัน ถ้าไม่ลดราคาก็ขอให้ช่วยปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร เพราะถ้าให้หยุดวิ่งไปเลยคงจะไม่ได้ เพราะเป็นอาชีพที่หาเลี้ยงคนในครอบครัว
ชัชชาติ มาทำงานตี 4 ไม่มีนักข่าวตาม รับร้องเรียน 2 เรื่อง จ่อคุย ‘เคที’ ปม รฟฟ.สายสีเขียว-สายไฟ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3378536
ชัชชาติ มาทำงานตี 4 ไม่มีนักข่าวตาม รับร้องเรียน 2 เรื่อง จ่อคุย ‘เคที’ ปม รฟฟ.สายสีเขียว-สายไฟ
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) (เสาชิงช้า) นาย
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานในวันนี้ว่า วันนี้มาทำงานตั้งแต่ตี 4 ไม่เห็นนักข่าวมารอเลย ผมก็แค่เปลี่ยนที่วิ่งจากสวมลุม มาเป็นเสาชิงช้า วัดพระแก้ว ปากคลองตลาด เป็นมุมที่สวย วิ่งไปก็มีความสุขดี
นาย
ชัชชาติ กล่าวต่อว่า วันนี้มีกลุ่มคนมายื่นเรื่องสองกลุ่ม เครือข่ายคนพิการกับมนุษย์ล้อ รู้จักกันอยู่แล้วดีใจที่มาเยี่ยม แต่วันหลังไม่ต้องมา มันลำบาก เขาอยากได้หมวกกันน็อคของเด็ก เพราะเด็กหาหมวกกันน็อคใส่ยาก เดี๋ยวรับเรื่องมาจะดูอีกทีว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานไหนต้องรับผิดชอบ ดูว่าจะจัดให้ได้มากน้อยอย่างไร อีกเครือข่ายเป็นเครือข่ายหาบเร่ แต่ก่อนอยู่รอบจตุจักรมีประมาณ 94 ราย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว อยากกลับมาค้าขายอีก ส่วนตัวไม่ได้รับปากอะไร แต่ต้องมาดูนโยบายอีกที ว่านโยบายของจตุจักรเป็นอย่างไร ถือเป็นความเดือนร้อนของประชาชน
นาย
ชัชชาติ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีนโยบายที่บางเขตเริ่มรับไปทำต่อ ต้องทำวิธีให้ร้องเรียนให้ง่ายขึ้น ไม่ต้องถึงผู้ว่าฯ มีคนรับเรื่องอย่างแท้จริง เดี๋ยวจะมีโชว์แอพพลิเคชั่นทราฟฟี่ ฟองดูว์ ไว้ดูว่าปัญหาเป็นอย่างไรแก้ไขอย่างไร ตอนนี้รับมาแล้ว 4,000 เรื่อง แต่ระบบล่มเพราะมีคนร้องเรียนมาเยอะ
“ส่วนในวันนี้จะเรียนเคทีเข้ามาคุยเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เรื่องรับมอบสายไฟฟ้าลงดิน และการจัดการบริหารรถไฟฟ้า BRT เรื่องนโยบายหลักก็ต้องทำ เรื่องรายละเอียดก็ต้องทำ เพราะหน้าที่ของกทม.มีเยอะ แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่ทำเรื่องกลยุทธ์ ต้องแก้ที่เส้นเลือดฝอยก่อน แต่ผู้อำนวยการเขต ผู้บริหารเขตต้องรู้” นาย
ชัชชาติ กล่าวและว่า ส่วนองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น โดยจะคุยในวันจันทร์ ที่ 6 มิ.ย. ช่วงบ่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ปชช เพราะเราเริ่มต้นใหม่ สร้างความมั่นใจมั่นคงให้ประชาชนมากขึ้น หากบอกว่าเราโปร่งใส แค่พูดไปประชาชนก็ไม่เชื่อ หากตั้งต้นได้ดี จัดกระดุมเม็ดแรกถูกก็จะเดินต่อไปได้
‘สุทิน’ ฝากรบ.เข้าใจใหม่ อภิปรายแนะทางออก ไม่ใช่ตำหนิ คาดสี่ทุ่มได้ลงมติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3378509
‘สุทิน’ ฝากรบ.เข้าใจใหม่ อภิปรายแนะทางออก ไม่ใช่ตำหนิ คาดสี่ทุ่มได้ลงมติ
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 2 มิถุนายน ที่รัฐสภา นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมในวันที่สองของ การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2566 ว่า
บรรยากาศเรียบร้อยดี ไม่มีเหตุที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นที่น่าสังเกตที่ฝ่ายค้านหลังการอภิปรายจะมีการให้คำแนะนำในทางออก ประกอบการอธิบายว่าทำไมจึงไม่รับหลักการ ไม่ใช่การตำหนิเพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังใช้ความคิดเดิมๆ ว่าฝ่ายค้านมีแต่ตำหนิ
นาย
สุทิน กล่าวต่อว่า จึงอยากฝากไปยังรัฐบาลว่า หากฟังดีๆ แล้ว เป็นการเสนอทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ซึ่งเมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน) พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการใช้อารมณ์ ตำหนิคำแนะนำของฝ่ายค้านว่ามาหาเสียงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรจะรับฟังและตักตวงเพื่อเป็นประโยชน์นำไปแก้ไข
“การอภิปรายงบฯ มีข้อที่น่าตั้งข้อสังเกตว่าในประเด็นสำคัญผู้อภิปรายมีการกล่าวหารัฐบาล และตำหนิด้วยความห่วงใยว่า คิดแบบเดิมทำแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ปีที่แล้วคิดยังไง ก็ทำเหมือนเดิม ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็ออกมายอมรับว่างบประจำปีนี้ก็ทำเหมือนเดิม โดยยังไม่มีใครอธิบายว่ามีอะไรที่ใหม่จากเดิม” นาย
สุทิน กล่าว
นาย
สุทิน กล่าวด้วยว่า ส่วนที่เมื่อวานนี้ น.อ.
อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคพท. ได้พูดถึงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพเรือ (ทร.) โดยซื้ออาวุธและอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โดยไม่มีอาวุธ ทั้งที่สเปกต้องมีอาวุธ ส่วนของการจัดงบนั้นจัดไว้สำหรับโดรนที่มีอาวุธนั้น ในส่วนนี้ยังไม่มีใครชี้แจง วันนี้จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลหรือกองทัพออกมาชี้แจงนี่ถือว่าเป็นการจัดงบที่ส่อทุจริต ในวันนี้จะพูดถึงกรณีทุจริตโดย นาย
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พท. เป็นผู้นำ และหากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน 22.00 น. จะเป็นการลงมติ
JJNY : น้ำมันแพง แก๊สขึ้น ผักทยอยปรับราคา│ชัชชาติ มาทำงานตี 4 │‘สุทิน’ฝากรบ.เข้าใจใหม่│โรมจี้ชวนสอบก่อนเลื่อนส.ส.แทนสำลี
https://www.thairath.co.th/business/economics/2408365
น้ำมันแพง แก๊สขึ้นราคา คนหันมาใช้เตาถ่านแทน ขณะที่ พริก ผัก ทยอยขึ้นราคา คะน้าขาดตลาดไปแล้ว
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.65 นางปราณี จุลชีพ วัย 73 ปี ชาวจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันทั้งตัวเองและลูกทีมอีก 3 คน ต้องเร่งปั้นเตาดินตามขนาดให้ทันกับความต้องการ เนื่องจากตอนนี้มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่คนที่มาสั่งจะนำไปขายต่อในตัวจังหวัด หรือตามหมู่บ้านต่างๆ หลังที่ก๊าซหุงต้มปรับราคาครั้งที่ 3 จากเดิมที่ขายถังขนาด 15 กิโลกรัม ประมาณ 348 บาท พุ่งเป็นถังละ 363 บาท
ทั้งนี้ ทำให้มียอดออเดอร์สั่งซื้อเตาถ่านไปขายต่อเพิ่มอีก 20% แต่เราก็ยังผลิตตามออเดอร์ไม่ทัน เพราะปัญหาหน้าฝนผลิตเตากินใช้ฟืน หรือถ่านแห้งไม่ทัน เมื่อฝนใกล้ตกต้องรีบไปเก็บเตาดินที่ตากแดดไว้หลบฝนก่อนไปตากในวันรุ่งขึ้น
ในส่วนราคาขายส่งยังเท่าเดิม ลูกเล็กใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงลูกละ 38 บาท ลูกใหญ่ใช้ฟืนหรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงลูกละ 65 บาทเท่านั้น โดยลูกทีมที่ปั้นเตาด้วยจะมีรายได้อย่าน้อยวันละ 300 - 500 บาท ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน
ส่วนตนเองหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วมีรายได้จากการปั้นเตาดินขายลูกละ 5 บาท วันละ 100 ลูก มีรายได้แต่ละวัน 500 เท่านั้น อีกอย่างเราก็ไม่กล้าขึ้นราคา กลัวขายไม่ได้เหมือนกัน แม้น้ำมันจะปรับขึ้นราคา ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังขายราคาเดิม ยังไม่ปรับขึ้นราคาแต่อย่างไร
นางสาวขวัญจิตร ขวัญใจเลิศ แม่ค้าขายส่งผัก ตลาดศูนย์การค้า จ.กำแพงเพชร กล่าวว่า ตอนนี้พริกฮอตแดงราคาพุ่งสูงมาก แต่เดิมถุงละ 10 กิโลกรัม เราขายอยู่ที่ 800 - 900 บาท แต่ขณะนี้ราคาขึ้นไปเป็นถุงละ 1,200 บาทแล้ว และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก
เนื่องจากพริกฮอตแดงส่วนมากจะมาจากฝั่งเมียนมา แต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่สงบ จึงทำให้มีของส่งเข้ามาน้อย เช่นเดียวกับพริกฮอตเขียว ราคาก็ขยับจากถุงละ 550 บาท ขึ้นมาเป็น 900 บาทแล้ว
นอกจากนั้นยังมีแตงกวาถุงละ 10 กิโลกรัม ก็ขึ้นจากถุงละ 120 บาทมาเป็น 180 บาทแล้ว ผักกาดขาวจากถุงละ 40-50 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 120 บาท มะเขือเจ้าพระยาจากเดิมถุงละ 60-70 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นถุงละ 160 บาท ส่วนผักชีจากเดิมโลละ 100 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 150-160 บาทแล้ว ส่วนผักที่ขาดตลาดในช่วงนี้คือ ผักคะน้าหวาน มีแต่ผักคะน้าตามบ้านที่พอมีออกมาขายบ้างเท่านั้น
นายสมบัติ ศรีชัยภูมิ อายุ 60 ปี คนขับรถรับจ้างโดยสารประจำทางที่จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันนั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับเรา ระยะนี้ผู้โดยสารไม่ค่อยจะมี เพราะส่วนมากนิยมใช้รถส่วนตัวมากขึ้น ขณะที่การวิ่งตามรอบก็ต้องทำเช่นเดิม ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งก็อยากที่จะคุยกับสำนักงานขนส่งเพื่อขอให้มีการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ขึ้นแบบไม่หยุด
ตอนนี้ค่าโดยสารอยู่ที่ 9 บาท ตลอดสาย ซึ่งราคานี้มีนานมากแล้ว ตั้งแต่ราคาน้ำมันดีเซลยังไม่ถึงลิตรละ 30 บาท ซึ่งถ้าได้ปรับราคาจริงๆ จะขอให้ปรับเปลี่ยนเป็น 12-15 บาท ถึงจะเหมาะสมกับราคาน้ำมัน
อีกทั้งตั้งแต่โควิดระบาด ผู้โดยสารหันไปใช้รถส่วนตัว แต่ช่วงนี้ดีขึ้นเพราะโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ทำให้ช่วงที่คนขึ้นมากที่สุด คือ ตอนเช้า ที่ผู้โดยสารจะเป็นนักเรียน หลังจากนั้นก็จะมีอีกทีช่วงนักเรียนเลิกเรียน ส่วนช่วง กลางวันแทบจะไม่มีคนขึ้นเลย
ด้าน นายแดง แบ่งคง อายุ 56 ปี คนขับรถโดยสารประจำทาง กล่าวว่า ยอมรับว่าราคาน้ำมันแพงแบบนี้กระทบกับรายได้ของการขับรถสองแถวชัดเจน ปัจจุบัน ค่าโดยสารแยกเป็นนักเรียน 6 บาท ผู้ใหญ่และคนทั่วไป 9 บาทตลอดสาย ซึ่งราคานี้รายได้ก็จะเท่าเดิม ขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น
ทั้งนี้ รัฐควรจะมีการปรับค่าโดยสารขึ้นให้เหมาะสมกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นด้วย เพราะค่าโดยสารนี้ไม่ขึ้นมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่น้ำมันดีเซลลิตรละ 27 บาท จนวันนี้น้ำมันดีเซลราคาลิตรละ 33 บาทแล้ว แต่ราคาค่าโดยสารยังเท่าเดิม เราเองก็ปรับตัวไม่ได้ก็ได้แต่ทำใจ เพราะเราไม่ใช่ผู้บริหาร
ถ้าเป็นผู้บริหารก็ต้องคิดดูว่าคนหาเช้ากินค่ำเดือดร้อนแค่ไหน ถ้าสมควรปรับก็ต้องปรับ ส่วนราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมกับราคาน้ำมันช่วงนี้ประมาณ 12 บาท ไม่ขอมากขอแค่นี้ เพราะถ้า 15 บาทจะแพงเกินไป อีกทั้งถ้าปรับราคาขึ้นก็ให้จะทำให้คนขับรถโดยสารประจำทางอยู่ได้ไม่ลำบากมาก
ขณะนี้ ผู้โดยสารหายไปประมาณ 50% วันใดที่นักเรียนมาโรงเรียนก็ยังพอมีลูกค้า แต่ถ้าวันใดไม่มีนักเรียน รายได้ก็จะเหลือแต่ค่าน้ำมัน ส่วนค่าเช่ารถก็ยังลำบาก เดิมที่ผ่านมาเคยหักค่าต้นทุนต่างๆ แล้วจะเหลือรายได้วันละ 200-300 บาท
แต่วันนี้เหลือรายรับเพียง 100 บาท จึงอยากจะฝากถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ช่วยเรื่องค่าน้ำมัน ถ้าไม่ลดราคาก็ขอให้ช่วยปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร เพราะถ้าให้หยุดวิ่งไปเลยคงจะไม่ได้ เพราะเป็นอาชีพที่หาเลี้ยงคนในครอบครัว
ชัชชาติ มาทำงานตี 4 ไม่มีนักข่าวตาม รับร้องเรียน 2 เรื่อง จ่อคุย ‘เคที’ ปม รฟฟ.สายสีเขียว-สายไฟ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3378536
ชัชชาติ มาทำงานตี 4 ไม่มีนักข่าวตาม รับร้องเรียน 2 เรื่อง จ่อคุย ‘เคที’ ปม รฟฟ.สายสีเขียว-สายไฟ
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) (เสาชิงช้า) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานในวันนี้ว่า วันนี้มาทำงานตั้งแต่ตี 4 ไม่เห็นนักข่าวมารอเลย ผมก็แค่เปลี่ยนที่วิ่งจากสวมลุม มาเป็นเสาชิงช้า วัดพระแก้ว ปากคลองตลาด เป็นมุมที่สวย วิ่งไปก็มีความสุขดี
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า วันนี้มีกลุ่มคนมายื่นเรื่องสองกลุ่ม เครือข่ายคนพิการกับมนุษย์ล้อ รู้จักกันอยู่แล้วดีใจที่มาเยี่ยม แต่วันหลังไม่ต้องมา มันลำบาก เขาอยากได้หมวกกันน็อคของเด็ก เพราะเด็กหาหมวกกันน็อคใส่ยาก เดี๋ยวรับเรื่องมาจะดูอีกทีว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานไหนต้องรับผิดชอบ ดูว่าจะจัดให้ได้มากน้อยอย่างไร อีกเครือข่ายเป็นเครือข่ายหาบเร่ แต่ก่อนอยู่รอบจตุจักรมีประมาณ 94 ราย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว อยากกลับมาค้าขายอีก ส่วนตัวไม่ได้รับปากอะไร แต่ต้องมาดูนโยบายอีกที ว่านโยบายของจตุจักรเป็นอย่างไร ถือเป็นความเดือนร้อนของประชาชน
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีนโยบายที่บางเขตเริ่มรับไปทำต่อ ต้องทำวิธีให้ร้องเรียนให้ง่ายขึ้น ไม่ต้องถึงผู้ว่าฯ มีคนรับเรื่องอย่างแท้จริง เดี๋ยวจะมีโชว์แอพพลิเคชั่นทราฟฟี่ ฟองดูว์ ไว้ดูว่าปัญหาเป็นอย่างไรแก้ไขอย่างไร ตอนนี้รับมาแล้ว 4,000 เรื่อง แต่ระบบล่มเพราะมีคนร้องเรียนมาเยอะ
“ส่วนในวันนี้จะเรียนเคทีเข้ามาคุยเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เรื่องรับมอบสายไฟฟ้าลงดิน และการจัดการบริหารรถไฟฟ้า BRT เรื่องนโยบายหลักก็ต้องทำ เรื่องรายละเอียดก็ต้องทำ เพราะหน้าที่ของกทม.มีเยอะ แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่ทำเรื่องกลยุทธ์ ต้องแก้ที่เส้นเลือดฝอยก่อน แต่ผู้อำนวยการเขต ผู้บริหารเขตต้องรู้” นายชัชชาติ กล่าวและว่า ส่วนองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น โดยจะคุยในวันจันทร์ ที่ 6 มิ.ย. ช่วงบ่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ปชช เพราะเราเริ่มต้นใหม่ สร้างความมั่นใจมั่นคงให้ประชาชนมากขึ้น หากบอกว่าเราโปร่งใส แค่พูดไปประชาชนก็ไม่เชื่อ หากตั้งต้นได้ดี จัดกระดุมเม็ดแรกถูกก็จะเดินต่อไปได้
‘สุทิน’ ฝากรบ.เข้าใจใหม่ อภิปรายแนะทางออก ไม่ใช่ตำหนิ คาดสี่ทุ่มได้ลงมติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3378509
‘สุทิน’ ฝากรบ.เข้าใจใหม่ อภิปรายแนะทางออก ไม่ใช่ตำหนิ คาดสี่ทุ่มได้ลงมติ
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 2 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมในวันที่สองของ การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2566 ว่า
บรรยากาศเรียบร้อยดี ไม่มีเหตุที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นที่น่าสังเกตที่ฝ่ายค้านหลังการอภิปรายจะมีการให้คำแนะนำในทางออก ประกอบการอธิบายว่าทำไมจึงไม่รับหลักการ ไม่ใช่การตำหนิเพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังใช้ความคิดเดิมๆ ว่าฝ่ายค้านมีแต่ตำหนิ
นายสุทิน กล่าวต่อว่า จึงอยากฝากไปยังรัฐบาลว่า หากฟังดีๆ แล้ว เป็นการเสนอทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ซึ่งเมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการใช้อารมณ์ ตำหนิคำแนะนำของฝ่ายค้านว่ามาหาเสียงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรจะรับฟังและตักตวงเพื่อเป็นประโยชน์นำไปแก้ไข
“การอภิปรายงบฯ มีข้อที่น่าตั้งข้อสังเกตว่าในประเด็นสำคัญผู้อภิปรายมีการกล่าวหารัฐบาล และตำหนิด้วยความห่วงใยว่า คิดแบบเดิมทำแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ปีที่แล้วคิดยังไง ก็ทำเหมือนเดิม ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็ออกมายอมรับว่างบประจำปีนี้ก็ทำเหมือนเดิม โดยยังไม่มีใครอธิบายว่ามีอะไรที่ใหม่จากเดิม” นายสุทิน กล่าว
นายสุทิน กล่าวด้วยว่า ส่วนที่เมื่อวานนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคพท. ได้พูดถึงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพเรือ (ทร.) โดยซื้ออาวุธและอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โดยไม่มีอาวุธ ทั้งที่สเปกต้องมีอาวุธ ส่วนของการจัดงบนั้นจัดไว้สำหรับโดรนที่มีอาวุธนั้น ในส่วนนี้ยังไม่มีใครชี้แจง วันนี้จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลหรือกองทัพออกมาชี้แจงนี่ถือว่าเป็นการจัดงบที่ส่อทุจริต ในวันนี้จะพูดถึงกรณีทุจริตโดย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พท. เป็นผู้นำ และหากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน 22.00 น. จะเป็นการลงมติ