ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๓ #

แพทย์สวรรค์ถูกพาตัวมารักษาสรษดาอย่างเงียบเชียบตามคำสั่งของพระนางมาทรี เพราะหากเหตุการณ์ที่โอรสสวรรค์ถูกลอบทำร้ายล่วงรู้ไปถึงองค์อินทร์ เกรงว่าจะได้รับโทษทัณฑ์กันหมด 

อารมณ์กรุ่นโกรธพุ่งไปที่บุตรสาว
“เพราะเจ้าทีเดียวที่พาหลานข้าไปที่นั่น หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร”

“หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้..ลูกแค่สงสารสรษดาที่เขาต้องตรากตรำเล่าเรียนอย่างหนัก หวังให้เขาได้ว่ายน้ำผ่อนคลายบ้างเท่านั้น..ลูกเองก็ไม่อยากให้เขาได้รับอันตรายเช่นกันนะเพคะ”

“ที่เจ้าพูดมาก็หมายโทษว่าเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นใช่ไหม”

“ไม่ใช่นะเพคะ..ทุกอย่างลูกผิดเองที่ไม่ดูแลเขาให้ดี..ลูกผิดเอง”
แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียยกใหญ่ จนพระนางมาทรีรำคาญ ได้แต่หันไปกำชับแพทย์สวรรค์ให้รักษาหลานชายอย่างสุดความสามารถ ก่อนเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าแพทย์ตรวจดูอาการบุตรชายเสร็จแล้ว พระมเหสีมณฑาที่เริ่มคลายสะอื้นก็เข้ามาถาม
“ท่านหมอ..ลูกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกพ่ะย่ะค่ะ..พระโอรสแค่ตกพระทัย แล้วก็เหนื่อยมากไปเท่านั้น พักผ่อนแล้วก็เสวยโอสถที่กระหม่อมให้ไว้ อีกไม่กี่วันก็กลับมาแข็งแรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของพระมเหสีค่อยคลายกังวล “เช่นนั้นเหรอ” 

หลังจากแพทย์สวรรค์ไปแล้ว ก็เฝ้าดูแลบุตรด้วยตัวเอง จนกระทั่ง โอรสน้อยเริ่มรู้สึกตัวและลืมตามองมารดา

ในคราแรก พระนางมณฑาตื่นเต้นดีใจ เมื่อบุตรชายลืมตาเสียที ทว่า ดวงตาข้างหนึ่งสีดำขลับล้ำลึกประดุจนิลกาฬ อีกข้างสุกสกาวร้อนแรงด้วยสีแดงทองประกายเพลิง โอสถในมือหลุดร่วง แข้งขาพลันอ่อนแรงทรุดนั่งกับพื้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างมองบุตรอย่างตกใจระคนตื่นกลัว

เด็กน้อยคิดจะโผเข้าหาอ้อมกอดหวังได้รับการปลอบประโลมจากผู้ให้กำเนิด แต่เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวนั้น ก็หันไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างของตนกอดเข่าสะอื้นไห้จนตัวโยน ทั้งหวาดกลัว สับสน และสิ้นหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น

พระนางมณฑาได้ยินเสียงร้องไห้โฮอย่างเสียขวัญของลูกเพียงครู่จึงได้สติ รีบลุกขึ้นโผไปดึงผ้าห่มนั้นออกเพื่อกอดปลอบประโลมบุตรด้วยความรักทั้งหมดที่มี
“ไม่เป็นไร..แม่อยู่นี่แล้ว..ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น..แม่อยู่นี่..” ทั้งปลอบทั้งลูบเนื้อลูบตัวอยู่หลายอึดใจ ร่างน้อยๆในอ้อมกอดก็คลายสะอื้น พระนางจึงมองสบดวงตาเจิ่งนองทั้งคู่ของลูกอย่างกังวล..หากผู้อื่นมาเห็นเข้า ชีวิตของลูกคงไม่แคล้วมอดม้วย

“ลูกแม่..เรื่องที่เจ้าสามารถลืมตาได้แล้วจงเก็บเป็นความลับให้รู้กันเพียงแค่เราเท่านั้นนะ..ไม่ว่าใคร เจ้าก็ห้ามปริปากพูดเรื่องนี้เด็ดขาด แม้แต่เสด็จพ่อ หรือเสด็จยาย ก็ห้ามบอก..เจ้าสัญญากับแม่นะ”

“พ่ะย่ะค่ะ..” รับคำพลางสะอื้นไห้“เสด็จแม่..ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับลูกได้อย่างไร..ลูกกลัวเหลือเกิน..”

“ไม่ต้องกลัว..ขอเพียงเจ้าไม่พูดเรื่องนี้ออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม..จงเชื่อแม่นะ”

“..พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าน้อยๆพยักรับคำก่อนซุกตัวลงกับอ้อมกอดของมารดา
พระนางกระชับกอดผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจ พลางครุ่นคิดหาวิธีปกปิดเรื่องนี้ด้วยความหวาดวิตก

นับจากนั้น..

พระมเหสีมณฑาคอยจับตาดูบุตรชายแทบทุกอิริยาบถ และด้วยความหวาดระแวงเกรงว่าบุตรจะเผลอลืมตาขึ้นต่อหน้าผู้อื่น จึงได้นำผ้ามาคาดปิดตาไว้ โดยอ้างกับมารดาว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงคราวนั้น บุตรชายมีอาการปวดแสบปวดร้อนจนต้องนำผ้ามาคาดปิดไว้ ถึงจะช่วยบรรเทาอาการได้ ซึ่งแม้แต่แพทย์สวรรค์ก็หาสาเหตุไม่ได้เช่นกัน

แม้คำกล่าวอ้างนี้จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตาม ทว่า..ไม่สามารถทำให้พระนางมาทรีผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความหวาดระแวงเชื่อในถ้อยคำของบุตรีได้ จึงสั่งให้สัตว์ภูตลอบจับตาดูความผิดปกติ กระทั่งวันหนึ่ง ท้องฟ้าปรากฏแสงเรืองรองหลากสี เหล่าบริวารต่างพูดถึงความงดงามนั้น พระโอรสน้อยได้ยินก็อยากเห็นบ้าง จึงแอบไปยืนบริเวณที่ลับสายตา ก่อนปลดผ้าและมองความงามนั้นอย่างชื่นชม

สัตว์ภูตที่แอบอยู่ด้านหลัง เห็นดังนั้นก็มั่นใจว่า พระโอรสสามารถมองเห็นแล้ว จึงนำความเรื่องนี้รายงานต่อผู้เป็นนาย
“ว่าไงนะ..สรษดามองเห็นแล้วเช่นนั้นเรอะ!”

“กระหม่อมมั่นใจ..เพราะพระองค์ยืนมองสายรุ้งอยู่นานสองนาน ก่อนจะพันผ้าปิดตาไว้เช่นเดิม”

พระนางโกรธขึ้งในตัวบุตรี
“แล้วเหตุใด ลูกของข้าถึงไม่รายงานเรื่องอันเป็นมงคลนี้แก่ข้า แต่กลับปกปิดซุกซ่อนราวกับมันเป็นเรื่องร้ายแรง”

พระนางครุ่นคิดเพียงครู่ รอยยิ้มมากเล่ห์หยัดขึ้นมุมปาก ก่อนออกคำสั่ง
“ไปเชิญพระมเหสีพร้อมโอรสสวรรค์ มาหาข้าเดี๋ยวนี้”

สัตว์ภูตน้อมรับ 

ไม่นาน..สองแม่ลูกก็ปรากฏกาย ภายในวิมานของพระนางตามคำสั่ง
พระมเหสีมณฑาพยายามซ่อนความหวาดวิตก ยามเอ่ยถาม
“เสด็จแม่เรียกลูกกับสรษดามาทำไมหรือเพคะ”

พระนางมองบุตรีด้วยสายตาเย็นชา
“บุตรของเจ้าก็โตขึ้นมากแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะลืมตาได้อีกเรอะ”

พระมเหสีอึกอัก
“เอ่อ..ยังเพคะ..แต่ถึงแม้ว่าสรษดาจะมองไม่เห็น แต่ความสามารถด้านประสาทสัมผัสอย่างอื่นของเขาเหนือกว่าผู้อื่นมากเลยนะเพคะ..เสด็จแม่ทรงวางพระทัยได้”

“หึ! จะให้แม่วางใจ ทั้งๆที่เจ้าปิดบังเรื่องใหญ่ไว้เช่นนั้นเรอะ”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำให้สองแม่ลูกผวาเฮือก
“เสด็จแม่..อย่าทรงกริ้วเลยเพคะ..หากลูกกระทำสิ่งใดผิดไป ขอเสด็จแม่โปรดตักเตือน ลูกจะได้ไม่กระทำอีกในภายหลัง”

“เช่นนั้น..เจ้าก็บอกถึงเหตุผลที่ปิดบังข้าเรื่องตาของลูกเจ้าให้ข้าฟังสิ”

ได้ยินดังนั้น พระมเหสียิ่งร้อนรน 
“หม่อมฉัน..เอ่อ..หม่อมฉันไม่ได้ปิดบังอะไรนะเพคะ..”ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาโน้มน้าวมารดา 

พระนางมาทรีสั่งให้สัตว์ภูตฉุดร่างของพระมเหสีเข้ามาใกล้ ในขณะที่ทหารเทพจับร่างพระโอรสไว้
“เสด็จแม่..จะทำอะไรลูกเพคะ!?” 

มเหสีมณฑาถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นมารดาหยิบหางกระเบนอันเรียวยาวฟาดมาที่ไหล่ แม้ว่าจะไม่แรงนัก แต่อารามตกใจ พระนางอุทานเสียงหลง
และจากเสียงอุทาน ทำให้เด็กน้อยตกใจ คิดว่าเกิดเหตุร้ายกับมารดาจึงกระชากผ้าคาดตาออก พร้อมใช้พลังอันมหาศาลสะบัดร่างของทหารเทพจนกระเด็น แล้วถลันไปตรวจดูร่างกายมารดาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง

“เสด็จแม่ ท่านเป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
พลางกวาดสายตามองร่องรอยบาดแผล แต่ก็ไม่เห็นมี นอกจากรอยแดงเป็นริ้วบริเวณต้นแขนเท่านั้น

“แม่ไม่เป็นไร” พระมเหสีรีบบอก พลางรวบร่างของลูกมากอดยามมองไปที่มารดา ซึ่งกำลังจ้องตาเขม็ง พระโอรสก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่าเผลอตัวทำอะไรลงไป จึงนิ่งขึง หลุบเปลือกตาลงอย่างตื่นกลัว

พระนางมาทรีเดินเข้ามาใกล้
“โอ้..นี่มันเกิดอะไรขึ้น..หลานรักของยายสามารถมองเห็นแล้ว แต่เหตุใดถึงต้องปกปิด..ไหน หันหน้ามาให้ยายชื่นชมเจ้าหน่อยสิ สรษดา”

เด็กน้อยเหลือบสายตามองสบมารดา ใบหน้างดงามค่อนข้างเผือดซีด ดวงตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“เอ้า พวกเจ้าแม่ลูกนี่ช่างพิกลนัก” พระนางมาทรีหยุดยืนตรงหน้า เห็นบุตรีคว้าร่างพระโอรสไปกอด ก่อนทั้งสองหันใบหน้ามาเผชิญ
รอยยิ้มปลื้มปิติ พลัน แข็งค้างยามเห็นดวงตาข้างหนึ่งของหลานชาย ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับดวงตาของพญามาร วฤตระ

“นี่มันอะไรกัน ! เหตุใดเจ้าถึงมีดวงตามาร” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดแผดลั่น ดวงหน้างดงามบิดเบี้ยว ฝ่ามือแข็งคว้าเรียวแขนเล็กกระชากมาใกล้ พลางพินิจดวงตาของหลานชายที่กำลังเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก เนื้อตัวสั่นเทา

พระมเหสีรีบตามมาคว้าตัวลูก พลางอ้อนวอน
“เสด็จแม่..มันไม่ใช่ความผิดของสรษดานะเพคะ..แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร..โปรดอภัยให้ลูกด้วย ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของลูก”

พระนางมาทรีตวัดสายตาโกรธจัดจ้องเขม็งไปยังบุตรีทันที
“ใช่ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ไม่เอาไหน..แค่การมัดใจองค์อินทร์ข้าก็ยังต้องช่วยเจ้า คอยกำจัดเสี้ยนหนามจนเจ้าสามารถขึ้นเป็นพระมเหสีได้ ก็เป็นเพราะข้า แม้แต่การตั้งครรภ์ของเจ้า ข้าก็เป็นคนมอบให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะข้าหยิบยื่นให้ทั้งนั้น หน้าที่ของเจ้ามีเพียงแค่การเลี้ยงดูโอรสสวรรค์ให้เติบใหญ่อย่างสง่างาม จนขึ้นครองราชย์ เป็นจอมเทพปกครองสวรรค์ทั้งหก แล้วดูตอนนี้สิ เจ้าทำอะไรลงไป แค่การเลี้ยงลูก เจ้าก็ยังทำไม่ได้ ทุกสิ่งที่ข้าสู้อดทนลำบากสร้างมา กลับถูกเจ้าทำลายลงสิ้น..เจ้ามันทั้งโง่เขลาแล้วก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ไม่สมควรเป็นลูกของข้าแม้สักกระผีกริ้น”

พลางถลันเข้าตบตีมเหสีมณฑา ซึ่งได้แต่ก้มหน้าร้องไห้เสียใจต่อคำกล่าวของผู้ให้กำเนิด

พระโอรสที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นรีบเข้าไปขวางพลางกอดขาผู้เป็นยาย
“เสด็จยาย! หลานผิดเอง เรื่องทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะหลาน เสด็จยายจะให้ทำอะไร หลานพร้อมเชื่อฟัง โปรดหยุดมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ..อย่าทำร้ายเสด็จแม่อีกเลย”

ผู้เป็นยายได้ฟังดังนั้น ก็ยอมรามือ ก้มลงมองหลานชาย พลางลูบใบหน้าน้อยๆนั้น
“ไม่ว่าจะทำอะไร เจ้าก็ยอมเช่นนั้นเรอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ...หลานยอมทุกอย่าง ขอแค่เสด็จยายไม่ทำร้ายเสด็จแม่อีก”

พระนางมาทรีได้ฟังดังนั้น ก็แสยะยิ้มเหี้ยม
“หึ! แม่ลูกช่างรักกันดีเหลือเกินนะ” พลางออกคำสั่งกับสัตว์ภูต “พาพระมเหสีกลับวิมาน” แล้วหันไปกำชับกับบุตรสาว 
“จงปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท หากผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้ เจ้าก็รู้ดีนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเจ้า”

พระมเหสีรีบรับคำ
“เพคะ”แล้วมองบุตรชาย “..แล้วสรษดาล่ะเพคะ”

“ข้าจะแก้ไขเรื่องนี้เอง เจ้าจงอยู่เงียบๆแล้วปิดปากให้สนิทเป็นพอ” แล้วออกคำสั่งกับสัตว์ภูตอีกครั้ง “รีบพานางออกไป”

พระมเหสีจึงจำใจยอมกลับวิมาน ทิ้งบุตรชายให้อยู่เผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่