การปรับเงินเดือนประจำปี ของบริษัทที่เราทำงานอยู่
ถ้าปรับตามเกณฑ์ มาตราฐานกลาง ๆ ทั่วไป บริษัทจะปรับ 3 - 4 % ของเงินเดือน
เราทำงานที่นี่มา 8 ปี ปีนี้เข้าปีที่ 9
1 - 7 ปี ที่ผ่านมา เราได้ปรับตามเกณฑ์มาตราฐาน
แต่ปีที่ 8 ปรับให้เรา 300 บาท ซึ่ง ไม่ถึง 1 % ของเงินเดือน
สืบเนื่องมาจาก ในปีที่ 7 เราเข้าโครงการสมัครใจลาออก
แต่บริษัทไม่อนุมัติ เนื่องจากถ้าอนุมัติตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้น จะไม่สามารถรับคนเพิ่มได้
โดยก่อนการเขียนใบสมัครใจลาออก เราได้ถามหัวหน้างานว่า " พี่คิดว่าหนูทำงานได้แย่ ตามที่รุ่นพี่พูดไหม"
ซึ่งการถามคำถามนี้ หัวหน้าเราให้คำตอบว่า "ใช่"
มันจึงนำมาซึ่ง การกระทำโดยตั้งใจของเรา เราจึงตัดสินใจเขียนใบสมัครใจลาออก
ซึ่งการทำเช่นนั้น หัวหน้าเรารู้สึกโกรธ และรู้สึกเสียหน้ามาก
โดยมีปฏิกริยาคือ ฟึดฟัด หลบหน้า ไม่พูดคุยกับเราเลยแม้แต่คำเดียว
และหัวหน้างานคนดังกล่าว ได้ดึงงานที่เคยให้เราช่วยแบ่งเบาหน้าที่ของหัวหน้าคนนั้น ทั้งหมด กลับไปให้รุ่นพี่ทำทั้งหมด
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้โรคประจำตัวมา คือ วิตกกังวล และ เครียด
โดยเมื่อเราเครียด เราต้องพบจิตแพทย์ สม่ำเสมอ ตามแพทย์นัด เพื่อติดตามอาการ
การไปพบจิตแพทย์ตามนัด ทำให้เราต้องลางาน ครั้งละ 1 วัน
เราจะขอใบรับรองแพทย์ทุกครั้ง เพราะถ้าไม่มีใบรับรองแพทย์ หัวหน้าเราจะไม่ให้ใช้ลาป่วย
ซึ่ง 7 ปีที่ผ่านมา การลาป่วย ไม่นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการปรับเงินเดือนประจำปี
แต่...ในปีที่ 9 นี้ เขานำการลาป่วย มาใช้คิดเป็นเกณฑ์ ในการปรับเงินเดือนด้วย
หัวหน้าเรา เป็นคนแบบที่ต่อหน้าเรา จะพูดดี มีเหตุผล เหมือนห่วงใย เหมือนใจดี หวังดีกับเรา
แต่จะไปพูดกับผู้บริหารอีกอย่าง ซึ่งข้อนี้เราจะไม่มีทางรู้เลย ถ้าผู้บริหารไม่ได้โทรมาแนะแนวทางแก้ไขให้เราปฏิบัติ
เช่น เมื่อเราเครียด ปวดศรีษะ ไม่สามารถไปทำงานได้ เราลาป่วย เพื่อไปพบจิตแพทย์
หัวหน้าเรา โทรหาผู้บริหารที่เอ็นดูเรา เข้าอกเข้าใจเรา ว่า "มีวิธีการไหน ที่จะจัดการกับเราได้บ้าง"
ซึ่งผู้บริหารท่านนี้ สงสารเรา จึงช่วยเหลือเรา ด้วยการบอกให้ครอบครัวเรา พาเราไปพบแพทย์ เพื่อนำใบรับรองแพทย์มาแนบในการลา
การลางาน โดยการลาป่วย 1 วัน ตามกฏหมายแรงงาน ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ก็ได้
แต่เราขอใบรับรองแพทย์มาทุกครั้ง เมื่อต้องพบแพทย์ เพื่อยืนยัน ว่าเราพูดความจริงในทุกครั้ง
กล่าวถึงฐานะทางบ้านเรา ไม่ได้แย่ แม่เรามีธุรกิจห้องเช่า 4 สถานที่ ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นชื่อของเราเอง
แต่เราไม่เคยนำเงินนั้นมาใช้จ่าย เนื่องจากแม่เราเป็นคนดูแล เราจึงให้แม่ทุกบาท ทุกสตางค์
เราแต่งงานแล้ว ยังคงอยู่ในเรือนเดียวกับแม่ แต่เราก็ยังคงมีภาระผ่อนรถ ซึ่งยังเหลืออีก 11 เดือน
เราไม่ต้องการเป็นภาระของทางบ้าน เราจึงยังคงทำงานที่นี่ เพราะไกล้บ้าน
เดินทางสะดวก ใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านมาที่ทำงานเพียง 10 นาที
ฐานะทางบ้านของเรา หัวหน้าเราพยายามเปรียบเทียบกับเขาเองมาโดยตลอด
ดูจากการถามข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา
เช่น เขามักจะถามเราว่ารถที่ขับยี่ห้ออะไร แพงไหม ราคาเท่าไหร่ ใช้น้ำหอมอะไร แพงไหม ราคาเท่าไหร่ มีที่ทางกี่ไร่ เยอะไหม อยากขายหรือเปล่า
ถ้าถูกหวยรางวัลที่ 1 จะลาออกไหม
ซึ่งสำหรับเรา คือการสบประมาทเราโดยซึ่งหน้า
การที่เรายังคงทำงานอยู่ที่นี่ เพราะเราเคยปรึกษา MD ซึ่ง MD ให้คำแนะนำว่า
อย่าลาออกเพราะเรื่องคน เพราะเราไปที่ไหน การมีปัญหาเรื่องคน มีทุกที่
และตัว MD เองก็ไม่ได้ชอบลูกน้องทุกคน แต่ก็ต้องทำงานร่วมกันให้ได้
แต่หัวหน้างานเรา ไม่เคยปกป้องเราเลย เฉพาะเราคนเดียว ที่เขาจะพูดเสมอว่า
"อะไรก็ตาม ที่เป็นความรับผิดชอบของเรา เขาจะไม่รับรู้ และไม่ช่วยเลยนะ พี่ไม่เอาเลยนะ"
ตอนลูกน้องในแผนกหนึ่งคนลาออก เขาพยายามจะดึงเราเข้าไป เพื่อไม่ต้องรับคนเพิ่ม
เขาจะมีผลงาน เรื่องลดคน แต่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย
เนื่องจาก เขาไม่เคยมองเราดี เราจึงตอบปฏิเสธไปว่า "หนูไม่มีศักยภาพพอที่จะรับผิดชอบงานนี้ได้"
เขาจึงจำเป็นต้องรับคนเพิ่ม และเรารู้ดีว่า เขาเพียงอยากจะหลอกใช้เหมือนเดิม โดยไม่จริงใจ
อยากเพิ่มงานให้เพิ่ม แต่ ไม่เคยมองว่าเราดี และไม่มีทางขึ้นเงินเดือนให้กับเราแน่นอน
เราอยากถามว่า ถ้าเป็นเพื่อน ๆ เพื่อน ๆ จะทำอย่างไร กับสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกนี้
หัวหน้าไม่ปรับเงินเดือนให้ ควรทำไงต่อดี?
ถ้าปรับตามเกณฑ์ มาตราฐานกลาง ๆ ทั่วไป บริษัทจะปรับ 3 - 4 % ของเงินเดือน
เราทำงานที่นี่มา 8 ปี ปีนี้เข้าปีที่ 9
1 - 7 ปี ที่ผ่านมา เราได้ปรับตามเกณฑ์มาตราฐาน
แต่ปีที่ 8 ปรับให้เรา 300 บาท ซึ่ง ไม่ถึง 1 % ของเงินเดือน
สืบเนื่องมาจาก ในปีที่ 7 เราเข้าโครงการสมัครใจลาออก
แต่บริษัทไม่อนุมัติ เนื่องจากถ้าอนุมัติตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้น จะไม่สามารถรับคนเพิ่มได้
โดยก่อนการเขียนใบสมัครใจลาออก เราได้ถามหัวหน้างานว่า " พี่คิดว่าหนูทำงานได้แย่ ตามที่รุ่นพี่พูดไหม"
ซึ่งการถามคำถามนี้ หัวหน้าเราให้คำตอบว่า "ใช่"
มันจึงนำมาซึ่ง การกระทำโดยตั้งใจของเรา เราจึงตัดสินใจเขียนใบสมัครใจลาออก
ซึ่งการทำเช่นนั้น หัวหน้าเรารู้สึกโกรธ และรู้สึกเสียหน้ามาก
โดยมีปฏิกริยาคือ ฟึดฟัด หลบหน้า ไม่พูดคุยกับเราเลยแม้แต่คำเดียว
และหัวหน้างานคนดังกล่าว ได้ดึงงานที่เคยให้เราช่วยแบ่งเบาหน้าที่ของหัวหน้าคนนั้น ทั้งหมด กลับไปให้รุ่นพี่ทำทั้งหมด
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้โรคประจำตัวมา คือ วิตกกังวล และ เครียด
โดยเมื่อเราเครียด เราต้องพบจิตแพทย์ สม่ำเสมอ ตามแพทย์นัด เพื่อติดตามอาการ
การไปพบจิตแพทย์ตามนัด ทำให้เราต้องลางาน ครั้งละ 1 วัน
เราจะขอใบรับรองแพทย์ทุกครั้ง เพราะถ้าไม่มีใบรับรองแพทย์ หัวหน้าเราจะไม่ให้ใช้ลาป่วย
ซึ่ง 7 ปีที่ผ่านมา การลาป่วย ไม่นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการปรับเงินเดือนประจำปี
แต่...ในปีที่ 9 นี้ เขานำการลาป่วย มาใช้คิดเป็นเกณฑ์ ในการปรับเงินเดือนด้วย
หัวหน้าเรา เป็นคนแบบที่ต่อหน้าเรา จะพูดดี มีเหตุผล เหมือนห่วงใย เหมือนใจดี หวังดีกับเรา
แต่จะไปพูดกับผู้บริหารอีกอย่าง ซึ่งข้อนี้เราจะไม่มีทางรู้เลย ถ้าผู้บริหารไม่ได้โทรมาแนะแนวทางแก้ไขให้เราปฏิบัติ
เช่น เมื่อเราเครียด ปวดศรีษะ ไม่สามารถไปทำงานได้ เราลาป่วย เพื่อไปพบจิตแพทย์
หัวหน้าเรา โทรหาผู้บริหารที่เอ็นดูเรา เข้าอกเข้าใจเรา ว่า "มีวิธีการไหน ที่จะจัดการกับเราได้บ้าง"
ซึ่งผู้บริหารท่านนี้ สงสารเรา จึงช่วยเหลือเรา ด้วยการบอกให้ครอบครัวเรา พาเราไปพบแพทย์ เพื่อนำใบรับรองแพทย์มาแนบในการลา
การลางาน โดยการลาป่วย 1 วัน ตามกฏหมายแรงงาน ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ก็ได้
แต่เราขอใบรับรองแพทย์มาทุกครั้ง เมื่อต้องพบแพทย์ เพื่อยืนยัน ว่าเราพูดความจริงในทุกครั้ง
กล่าวถึงฐานะทางบ้านเรา ไม่ได้แย่ แม่เรามีธุรกิจห้องเช่า 4 สถานที่ ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นชื่อของเราเอง
แต่เราไม่เคยนำเงินนั้นมาใช้จ่าย เนื่องจากแม่เราเป็นคนดูแล เราจึงให้แม่ทุกบาท ทุกสตางค์
เราแต่งงานแล้ว ยังคงอยู่ในเรือนเดียวกับแม่ แต่เราก็ยังคงมีภาระผ่อนรถ ซึ่งยังเหลืออีก 11 เดือน
เราไม่ต้องการเป็นภาระของทางบ้าน เราจึงยังคงทำงานที่นี่ เพราะไกล้บ้าน
เดินทางสะดวก ใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านมาที่ทำงานเพียง 10 นาที
ฐานะทางบ้านของเรา หัวหน้าเราพยายามเปรียบเทียบกับเขาเองมาโดยตลอด
ดูจากการถามข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา
เช่น เขามักจะถามเราว่ารถที่ขับยี่ห้ออะไร แพงไหม ราคาเท่าไหร่ ใช้น้ำหอมอะไร แพงไหม ราคาเท่าไหร่ มีที่ทางกี่ไร่ เยอะไหม อยากขายหรือเปล่า
ถ้าถูกหวยรางวัลที่ 1 จะลาออกไหม
ซึ่งสำหรับเรา คือการสบประมาทเราโดยซึ่งหน้า
การที่เรายังคงทำงานอยู่ที่นี่ เพราะเราเคยปรึกษา MD ซึ่ง MD ให้คำแนะนำว่า
อย่าลาออกเพราะเรื่องคน เพราะเราไปที่ไหน การมีปัญหาเรื่องคน มีทุกที่
และตัว MD เองก็ไม่ได้ชอบลูกน้องทุกคน แต่ก็ต้องทำงานร่วมกันให้ได้
แต่หัวหน้างานเรา ไม่เคยปกป้องเราเลย เฉพาะเราคนเดียว ที่เขาจะพูดเสมอว่า
"อะไรก็ตาม ที่เป็นความรับผิดชอบของเรา เขาจะไม่รับรู้ และไม่ช่วยเลยนะ พี่ไม่เอาเลยนะ"
ตอนลูกน้องในแผนกหนึ่งคนลาออก เขาพยายามจะดึงเราเข้าไป เพื่อไม่ต้องรับคนเพิ่ม
เขาจะมีผลงาน เรื่องลดคน แต่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย
เนื่องจาก เขาไม่เคยมองเราดี เราจึงตอบปฏิเสธไปว่า "หนูไม่มีศักยภาพพอที่จะรับผิดชอบงานนี้ได้"
เขาจึงจำเป็นต้องรับคนเพิ่ม และเรารู้ดีว่า เขาเพียงอยากจะหลอกใช้เหมือนเดิม โดยไม่จริงใจ
อยากเพิ่มงานให้เพิ่ม แต่ ไม่เคยมองว่าเราดี และไม่มีทางขึ้นเงินเดือนให้กับเราแน่นอน
เราอยากถามว่า ถ้าเป็นเพื่อน ๆ เพื่อน ๆ จะทำอย่างไร กับสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกนี้