หลังจากที่ได้นำเสนอทฤษฎีมาตลอด เรื่องสารพิษโลหะหนักและยีสต์ทำให้เกิดโรคทางสมองได้ยังไง
เราลองมาดูกันว่าแม่คนหนึ่งที่ชื่อว่า ซาร่า สามารถรักษาลูกชายอายุ 2 ขวบครึ่ง ให้หายจากโรคออทิสติกได้ยังไงนะครับ
เธอได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดเลยเพื่อเป็น testimony สำหรับทฤษฎีการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิตของ ดร.คัทเลอร์
ซึ่งการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิตจะช่วย 50% คือในส่วนของสมอง
ส่วนอีก 50% จะเป็นศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่คือการรักษาไมโครไบโอมซึ่งเป็นส่วนของลำไส้
บางคนขับสารปรอทอย่างเดียวแบบคัทเลอร์ก็จะไม่ได้ผล เพราะไม่สนใจเรื่องไมโครไบโอม ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก
ปัจจุบันในทางวิทยาศาสตร์ลำไส้มีความสำคัญอย่างมากไม่แพ้สมอง
เป็นเรื่องปกติที่โรคทางสมองเกิดจากความผิดปกติของลำไส้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราถูกสอนให้ยอมรับและอยู่ไปกับโรคออทิสติกให้ได้
เราถูกสอนว่าโรคนี้เป็นตัวตนของลูกของเรา หรือแม้กระทั่งถูกสอนว่าไม่ให้หาทางรักษา
แต่เรื่องราวของพ่อแม่อีกหลายคนที่จะมาเล่า ไม่ได้คิดหรือเชื่อแบบเดียวกับที่เขาบอกต่อ ๆ กันมา
ทุกคนต่างศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง เพื่อหาทางแก้ไขโรคที่หมอบอกว่าต้องเป็นตลอดชีวิต
เป็นพลังของคนธรรมดาตัวเล็ก ๆ ที่น่าศึกษาและเรียนรู้อย่างยิ่งครับ
สำหรับบ้านเรา พวกเรารักษาโรคติกส์ของลูกจนหาย ซึ่งมีอีกหลายคนทำตามจนสำเร็จ
และกำลังรักษาโรคออทิสติกของลูกอยู่ ซึ่งการรักษาสมองและลำไส้ที่ถูกต้องทำให้ลูกดีขึ้นทันตอนเข้าอนุบาล
และสามารถเรียนร่วมกับเพื่อนปกติได้ จากเดิมที่หมอที่ รพ.ราม เคยแนะนำให้ไปเรียนในคลาสพิเศษที่สาธิตเกษตร
ไมโครไบโอมเขาดีแล้วแต่เนื่องจากเรายังขับสารพิษไม่เสร็จ เขาจึงยังมีนิสัยดื้อซนแบบแปลก ๆ อยู่
ซึ่งเขาอาจจะสามารถมีนิสัย ความคิด ความสนใจ ที่ดีกว่านี้ได้อีก ถ้าหากได้ขับสารพิษออกไปทั้งหมด
แต่นั่นเป็นความเชื่อของผมเท่านั้น เขาอาจจะมีนิสัยแบบเนิร์ด ๆ แบบนี้ไปตลอดก็ได้
เพราะประสบการณ์ในการรักษาแนวนี้ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับผลกระทบและระดับของสารพิษส่วนตัวของแต่ละคน เช่น บางคนเป็นแพนิค บางคนเป็นซึมเศร้า
แต่หลาย ๆ เรื่องพูดไว้ตรงกัน ว่ามันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีตั้งแต่รอบแรก ๆ ที่ทำ
จากเดิมที่บำบัดหรือกินยามาไม่รู้กี่ปีแต่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะถ้าเราสืบจนรู้ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของโรคได้ มันควรจะแก้ไขโรคนั้นได้ ตามหลักเหตุผล
เพราะมันเป็นผลกระทบจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ กันไป
หลัก ๆ เราอาจจะเคยแต่ได้ยินว่าทำให้เกิดมะเร็ง แต่มันมีโรคมากกว่านั้นมาก เพราะสมองเรานั้นชอบดูดซับสารพิษมาก
BBB ที่ว่าแข็งแรงนั้น มันไม่ได้ช่วยป้องกันได้มากอย่างที่คิด
ทุกอย่างของลูกชายซาร่าดีขึ้นเพราะการขับสารปรอทแบบระยะครึ่งชีวิตตาม ACC
เธอได้เห็นลูกชายค่อย ๆ หายดีขึ้นต่อหน้าต่อตาของเธอในทุก ๆ วัน การพูด จินตนาการ การเข้าสังคม
ทุกอย่างดีขึ้นทั้งหมด ซาร่าบอกว่าลูกของเธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิซึมระดับ 2 ตอนอายุ 14 เดือน
ออทิซึมระดับ 2 หมายถึงเด็กต้องได้รับการช่วยเหลือมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความยากลำบากในการสื่อสาร
ลูกชายของเธอหยุดพูดอย่างสิ้นเชิง แม้แต่การทำเสียงอ้อแอ้ รวมไปถึงการสบสายตา
ลูกไม่แสดงออก ไม่โบกมือ ไม่ชี้ หรือเล่นกับของเล่นอย่างถูกต้อง เขาหมกมุ่นอยู่กับการหมุนล้อรถช้า ๆ
ด้วยหน้าของเขา และถูล้อไปข้างหน้ากับถอยหลังกับตา เขาร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
เขาไม่สนใจเวลาซาร่านั่งลงที่พื้นเอาของเล่นใหม่มาให้เล่น เขาอยู่กับตัวเอง ไม่ยุ่งกับใคร
ตอนอุ้มเขาออกจากที่นอน เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่มองเธอ
แต่ในวันนี้เขาอายุ 2 ขวบครึ่งแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
การขับสารปรอทแบบระยะครึ่งชีวิต ช่วยให้ลูกของเธอหายจากโรคออทิซึม
บุคลิกภาพของเขาช่างสดใสร่าเริง มีแต่ความสุข เขาชี้นิ้ว ขอให้อุ้ม โบกมือพูดว่าไฮและบาย ส่งจูบ กอด
เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในระดับเดียวกับเด็กคนอื่น เขารู้จักและเรียกอวัยวะทุกส่วนได้
รู้จักและพูดชื่อสี รูปร่าง ตัวหนังสือ เลขหนึ่งถึง 20 เขาร้องเพลงและเขาพูดได้
เขามีคำศัพท์เยอะจนซาร่านับไม่หมด
เขาพูดตามคำที่เขาได้ยินพ่อแม่พูด บอกพ่อแม่ว่าเขาอยากได้อะไรและต้องการอะไร
สามารถผสมคำสองคำหรือสามคำเข้าด้วยกัน และเขาสามารถพูดประโยคที่ใช้บ่อยเช่น
ผมต้องการอันนี้อีกครับ และผมรักแม่ เขามีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เวลาเห็นใครร้องไห้บนทีวี
เขาจะทำหน้าบุ้ยแล้วบอกว่าเศร้า เขาเห็นแผลเล็กน้อยบนแขนพ่อเขาก็จูบที่แผลแล้วบอกว่าหายไว ๆ นะ
เขาเห็นซาร่าร้องไห้ทีนึงแล้วเขาก็เริ่มร้องไห้ด้วยแล้วเอาหัวนอนบนตักของซาร่า
เขาเล่นเรื่องสมมติกับของเล่นได้ เขาป้อนข้าวและโยกตุ๊กตาสัตว์ของเขา
เขาจับมือแม่เวลาออกไปข้างนอกแทนที่จะวิ่งออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เขาจ้องดูในตาของแม่
ตรงเข้ามาที่วิญญาณของเธอ เขาคอยดูหน้าของแม่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะสังเกตว่าแม่กำลังจะหัวเราะด้วยหรือแม่จะเห็นว่าเขากำลังจ้องมองอยู่รึเปล่า
เขารักสัตว์และเขารักเด็ก ๆ คนอื่น 6 เดือนที่แล้วพวกเขาเคยไปฝึกการพูด
เพราะตอนนั้นเขายังไม่พร้อมและเขายังไม่หายดีพอ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว
และไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป การขับสารพิษในครั้งนี้ช่วยชีวิตของพวกเราจริง ๆ
ไปดูกันว่าเขาหายจาก [โรคออทิสติก] ได้ยังไง ?
เราลองมาดูกันว่าแม่คนหนึ่งที่ชื่อว่า ซาร่า สามารถรักษาลูกชายอายุ 2 ขวบครึ่ง ให้หายจากโรคออทิสติกได้ยังไงนะครับ
เธอได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดเลยเพื่อเป็น testimony สำหรับทฤษฎีการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิตของ ดร.คัทเลอร์
ซึ่งการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิตจะช่วย 50% คือในส่วนของสมอง
ส่วนอีก 50% จะเป็นศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่คือการรักษาไมโครไบโอมซึ่งเป็นส่วนของลำไส้
บางคนขับสารปรอทอย่างเดียวแบบคัทเลอร์ก็จะไม่ได้ผล เพราะไม่สนใจเรื่องไมโครไบโอม ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก
ปัจจุบันในทางวิทยาศาสตร์ลำไส้มีความสำคัญอย่างมากไม่แพ้สมอง
เป็นเรื่องปกติที่โรคทางสมองเกิดจากความผิดปกติของลำไส้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราถูกสอนให้ยอมรับและอยู่ไปกับโรคออทิสติกให้ได้
เราถูกสอนว่าโรคนี้เป็นตัวตนของลูกของเรา หรือแม้กระทั่งถูกสอนว่าไม่ให้หาทางรักษา
แต่เรื่องราวของพ่อแม่อีกหลายคนที่จะมาเล่า ไม่ได้คิดหรือเชื่อแบบเดียวกับที่เขาบอกต่อ ๆ กันมา
ทุกคนต่างศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง เพื่อหาทางแก้ไขโรคที่หมอบอกว่าต้องเป็นตลอดชีวิต
เป็นพลังของคนธรรมดาตัวเล็ก ๆ ที่น่าศึกษาและเรียนรู้อย่างยิ่งครับ
สำหรับบ้านเรา พวกเรารักษาโรคติกส์ของลูกจนหาย ซึ่งมีอีกหลายคนทำตามจนสำเร็จ
และกำลังรักษาโรคออทิสติกของลูกอยู่ ซึ่งการรักษาสมองและลำไส้ที่ถูกต้องทำให้ลูกดีขึ้นทันตอนเข้าอนุบาล
และสามารถเรียนร่วมกับเพื่อนปกติได้ จากเดิมที่หมอที่ รพ.ราม เคยแนะนำให้ไปเรียนในคลาสพิเศษที่สาธิตเกษตร
ไมโครไบโอมเขาดีแล้วแต่เนื่องจากเรายังขับสารพิษไม่เสร็จ เขาจึงยังมีนิสัยดื้อซนแบบแปลก ๆ อยู่
ซึ่งเขาอาจจะสามารถมีนิสัย ความคิด ความสนใจ ที่ดีกว่านี้ได้อีก ถ้าหากได้ขับสารพิษออกไปทั้งหมด
แต่นั่นเป็นความเชื่อของผมเท่านั้น เขาอาจจะมีนิสัยแบบเนิร์ด ๆ แบบนี้ไปตลอดก็ได้
เพราะประสบการณ์ในการรักษาแนวนี้ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับผลกระทบและระดับของสารพิษส่วนตัวของแต่ละคน เช่น บางคนเป็นแพนิค บางคนเป็นซึมเศร้า
แต่หลาย ๆ เรื่องพูดไว้ตรงกัน ว่ามันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีตั้งแต่รอบแรก ๆ ที่ทำ
จากเดิมที่บำบัดหรือกินยามาไม่รู้กี่ปีแต่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะถ้าเราสืบจนรู้ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของโรคได้ มันควรจะแก้ไขโรคนั้นได้ ตามหลักเหตุผล
เพราะมันเป็นผลกระทบจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ กันไป
หลัก ๆ เราอาจจะเคยแต่ได้ยินว่าทำให้เกิดมะเร็ง แต่มันมีโรคมากกว่านั้นมาก เพราะสมองเรานั้นชอบดูดซับสารพิษมาก
BBB ที่ว่าแข็งแรงนั้น มันไม่ได้ช่วยป้องกันได้มากอย่างที่คิด
ทุกอย่างของลูกชายซาร่าดีขึ้นเพราะการขับสารปรอทแบบระยะครึ่งชีวิตตาม ACC
เธอได้เห็นลูกชายค่อย ๆ หายดีขึ้นต่อหน้าต่อตาของเธอในทุก ๆ วัน การพูด จินตนาการ การเข้าสังคม
ทุกอย่างดีขึ้นทั้งหมด ซาร่าบอกว่าลูกของเธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิซึมระดับ 2 ตอนอายุ 14 เดือน
ออทิซึมระดับ 2 หมายถึงเด็กต้องได้รับการช่วยเหลือมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความยากลำบากในการสื่อสาร
ลูกชายของเธอหยุดพูดอย่างสิ้นเชิง แม้แต่การทำเสียงอ้อแอ้ รวมไปถึงการสบสายตา
ลูกไม่แสดงออก ไม่โบกมือ ไม่ชี้ หรือเล่นกับของเล่นอย่างถูกต้อง เขาหมกมุ่นอยู่กับการหมุนล้อรถช้า ๆ
ด้วยหน้าของเขา และถูล้อไปข้างหน้ากับถอยหลังกับตา เขาร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
เขาไม่สนใจเวลาซาร่านั่งลงที่พื้นเอาของเล่นใหม่มาให้เล่น เขาอยู่กับตัวเอง ไม่ยุ่งกับใคร
ตอนอุ้มเขาออกจากที่นอน เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่มองเธอ
แต่ในวันนี้เขาอายุ 2 ขวบครึ่งแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
การขับสารปรอทแบบระยะครึ่งชีวิต ช่วยให้ลูกของเธอหายจากโรคออทิซึม
บุคลิกภาพของเขาช่างสดใสร่าเริง มีแต่ความสุข เขาชี้นิ้ว ขอให้อุ้ม โบกมือพูดว่าไฮและบาย ส่งจูบ กอด
เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในระดับเดียวกับเด็กคนอื่น เขารู้จักและเรียกอวัยวะทุกส่วนได้
รู้จักและพูดชื่อสี รูปร่าง ตัวหนังสือ เลขหนึ่งถึง 20 เขาร้องเพลงและเขาพูดได้
เขามีคำศัพท์เยอะจนซาร่านับไม่หมด
เขาพูดตามคำที่เขาได้ยินพ่อแม่พูด บอกพ่อแม่ว่าเขาอยากได้อะไรและต้องการอะไร
สามารถผสมคำสองคำหรือสามคำเข้าด้วยกัน และเขาสามารถพูดประโยคที่ใช้บ่อยเช่น
ผมต้องการอันนี้อีกครับ และผมรักแม่ เขามีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เวลาเห็นใครร้องไห้บนทีวี
เขาจะทำหน้าบุ้ยแล้วบอกว่าเศร้า เขาเห็นแผลเล็กน้อยบนแขนพ่อเขาก็จูบที่แผลแล้วบอกว่าหายไว ๆ นะ
เขาเห็นซาร่าร้องไห้ทีนึงแล้วเขาก็เริ่มร้องไห้ด้วยแล้วเอาหัวนอนบนตักของซาร่า
เขาเล่นเรื่องสมมติกับของเล่นได้ เขาป้อนข้าวและโยกตุ๊กตาสัตว์ของเขา
เขาจับมือแม่เวลาออกไปข้างนอกแทนที่จะวิ่งออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เขาจ้องดูในตาของแม่
ตรงเข้ามาที่วิญญาณของเธอ เขาคอยดูหน้าของแม่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะสังเกตว่าแม่กำลังจะหัวเราะด้วยหรือแม่จะเห็นว่าเขากำลังจ้องมองอยู่รึเปล่า
เขารักสัตว์และเขารักเด็ก ๆ คนอื่น 6 เดือนที่แล้วพวกเขาเคยไปฝึกการพูด
เพราะตอนนั้นเขายังไม่พร้อมและเขายังไม่หายดีพอ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว
และไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป การขับสารพิษในครั้งนี้ช่วยชีวิตของพวกเราจริง ๆ