JJNY : 5in1 ใช้จ่าย‘วาเลนไทน์-มาฆบูชา’ร่วง│ปชช.ไม่พอใจวงเงิน"คนละครึ่ง"│ขึ้นค่าขนส่ง20%│เกษตรกขิงเข็กน้อยร้อง│สภาล่ม

ใช้จ่าย ‘วาเลนไทน์-มาฆบูชา’ ร่วงหนักกว่า 20% หวั่นค่าขนส่งเพิ่ม ดันราคาสินค้า 3-4%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3176993
 
 
ใช้จ่าย ‘วาเลนไทน์-มาฆบูชา’ ร่วงหนักกว่า 20% ม.หอค้าไทย เตือนปัญหาเยาวชนพุ่ง ชี้ขนส่งเพิ่ม 20% ดันราคาสินค้าอีก 4%
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ จากประชาชน 1,245 รายทั่วประเทศ สำรวจช่วง 2-8 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่าส่วนใหญ่กว่า 51% มองว่าบรรยากาศวาเลนไทน์ปีนี้คึกคักน้อยลงกว่าปีก่อน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจแย่ลง ราคาสินค้าแพงขึ้น การแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้ลดลง ความกังวลเรื่องความปลอดภัย และ ตกงาน โดย 83% ที่เตรียมจะฉลองกับคู่รักในที่พักบ้านแทนการออกนอกบ้าน เฉลี่ยการใช้จ่ายต่อคนประมาณ 1,176 บาท จึงประเมินว่ายอดเงินใช้จ่ายวาเลนไทน์ปีนี้มีมูลค่า 2,068 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่า 2,560 ล้านบาท หรือลดลง 19.20% เป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 15 ปี จากได้มีการสำรวจมา
 
ทั้งนี้ ในการสำรวจพบว่าน่ากังวลในภาคสังคม คือ นักเรียนนักศึกษา ระบุจะมีการเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ โดยใช้สถานที่โรงแรมและม่านรูด อีกทั้งกลุ่มวัยรุ่นและคนเริ่มทำงาน ระบุการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในปัจจุบัน และกลุ่มนี้มองว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานมีจำนวนเพิ่มขึ้น และกว่า 52% ระบุว่ายอมรับได้ หากภรรยาหรือสามีของท่านเคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานกับท่าน อีกทั้งมองว่าปัญหาเด็กและเยาวชนรุนแรงมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องโสเภณีเด็ก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ติดยาเสพติด เด็กเร่ร่อน พ่อ-แม่ไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงดู ขาดศีลธรรม การยกพวกตีกัน มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ใส่ถุงยางอนามัย) การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน การคลอดแล้วทิ้ง การล่วงละเมิดทางเพศของคนใกล้ชิด และล่อลวงทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรเร่งเข้ามาดูแลเพื่อไม่เป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงในอนาคต
นายธนวรรธน์กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ได้สำรวจการใช้จ่ายเงินในเทศกาลวันมาฆบูชา 16 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่ามีทิศทางเดียวกัน ประชาชนระบุจะใช้จ่ายลดลง เนื่องจากกระทบปัญหารายได้ วิตกต่อเศรษฐกิจ การเมือง และการแพร่ระบาดของโอมิครอน รวมถึงเป็นวันหยุดกลางสัปดาห์ คาดเงินสะพัดลดลงเหลือ 1,900-2,000 ล้านบาท จากปีก่อน 2,321 ล้านบาท หรือมูลค่าต่ำสุดในรอบ 7 ปี นับจากทำการสำรวจ
 
“สำรวจใช้จ่ายตามเทศกาลเป็นไปในทิศทางเดียวกับก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปีใหม่ ตรุษจีน ก็พบว่ากังวลต่อเรื่องราคาของแพง ห่วงการจ้างงานและรายได้ในอนาคต ทำให้ระมัดระวังใช้จ่าย รวมกับสถานการณ์ล่าสุด เริ่มกังวลต่อจำนวนการแพร่ระบาดโอมิครอนรายวันสูงขึ้นเกิน 1 หมื่นคนต่อวัน กังวลว่าจะทำให้รัฐใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มขึ้นอีกครั้ง อาจกระทบต่อกิจกรรมปกติ และชะงักการจ้างงาน แม้ตอนนี้อัตราว่างงานอยู่ที่ 2% ยังไม่ถือว่าน่าวิตก
“หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ก็การจ้างงานและรายได้ในอนาคต อีกทั้งมองเรื่องการเข้ามาดูแลค่าครองชีพและราคาพลังงานที่สูงขึ้น จนกระทบต่อการขนส่งปรับเพิ่ม 20% หากขนส่งเพิ่ม 10% ก็จะมีผลต่อราคาสินค้าสูงขึ้น 1-2% ไม่กระทบต่อกรอบเงินเฟ้อ 1.5-2.5% แต่หากขนส่งเพิ่ม 20% ส่งผลต่อราคาสินค้าเพิ่ม 3-4 % จะกระทบต่อเงินเฟ้อเกิน 3% ดังนั้น การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะไม่กระทบต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และการผ่อนชำระหนี้” นายธนวรรธน์กล่าว
 

 
ปชช.ไม่พอใจวงเงิน "คนละครึ่ง" ขอเพิ่มอีก 3,000 บาท
https://ch3plus.com/news/program/278476
 
วันนี้ กระทรวงการคลังเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง เฟส 4" อีก 1 ล้านสิทธิ ซึ่งล่าสุดใกล้เต็มแล้ว ขณะที่ผลสำรวจประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ไม่พอใจวงเงินที่ได้รับ และขอเพิ่มอีก 3,000 บาท
 
โดยประชาชนที่เคยใช้จ่ายผ่านแอพฯ เป๋าตัง สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านแอพพ์ เป๋าตัง ได้เลย หรือ ผ่านเว็บไซต์ คนละครึ่ง.com เช่นเดียวกับคนที่ไม่มีแอพฯ เป๋าตัง ก็ให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ คนละครึ่ง.com เช่นกัน โดยคนที่ลงทะเบียนใหม่วันนี้ จะเริ่มใช้สิทธิ ได้ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 เมษายน
 
ขณะที่หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความพึงพอใจต่อจำนวนเงินคนละครึ่ง ในเฟส 4 ที่ได้รับคนละ 1,200 บาท พบว่า มากกว่าร้อยละ 50% ของกลุ่มตัวอย่าง บอกพอใจน้อย ตามมาด้วยพอใจปานกลาง และไม่พอใจ และเมื่อถามว่าหากสามารถเพิ่มวงเงินได้ อยากเพิ่มอีกกี่บาท พบว่า ร้อยละ 64.7 ขอเพิ่มเป็น 3,000 บาท และอีกร้อยละ 28.3 ขอเพิ่มเป็น 5,000 บาท และพบว่า กว่าร้อยละ 94.4 ของกลุ่มตัวอย่าง อยากให้มีโครงการคนละครึ่งต่อ โดยร้อยละ 31.2 ขอต่ออีก 1 เดือน รองลงมา ขอต่ออีก 6 เดือน และขอวงเงินใช้จ่ายเฉลี่ย 1,500 บาทต่อเดือน
 
ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/G9aap6N9NSU 
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 


สหพันธ์ขนส่งฯ ประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20% เริ่ม 15 ก.พ.นี้ เอกชนหวั่น SME กระทบหนัก
https://ch3plus.com/news/category/278387
 
นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้ประกอบการรับจ้างขนส่งที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์ฯ จำนวน 4 แสนคัน จะปรับขึ้นค่าขนส่ง 20% พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมันดีเซลแพง 
เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลในกรุงเทพฯ ใกล้จะแตะลิตรละ 30 บาทแล้ว ขณะที่ในต่างจังหวัด ปั๊มหลอดพื้นที่ห่างไกลราคาพุ่งสูงถึงลิตรละ 32 บาท ซึ่งกระทบกับผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยในท้องถิ่นมาก
 
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรถขนส่งส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกสหพันธ์ฯ ที่จะปรับขึ้นค่าขนส่ง ส่วนใหญ่จะให้บริการสินค้าจำเป็นเกือบทุกชนิด เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค พืชไร่ รวมทั้งวัสดุก่อสร้าง ครั้งนี้เราจะไม่หยุดวิ่ง แต่จะปรับขึ้นค่าขนส่งแทน หากในอนาคตราคาน้ำมันปรับขึ้นอีก ก็จำเป็นต้องปรับขึ้นตามกลไกลตลาดเพื่อให้อยู่รอด
 
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคการผลิตมีภาระต้นทุนด้านการขนส่งประมาณ 10% หากภาคขนส่งมีการปรับขึ้นราคาจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนเป็นลูกโซ่ ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับขึ้นราคาสินค้าตาม และผู้บริโภคก็ต้องซื้อของราคาแพงขึ้น แต่ในทางกลับกันหากผู้บริโภคเลือกที่จะลดการใช้จ่ายลงก็ส่งผลกระทบกลับมาที่ผู้ผลิตและผู้ขนส่ง
 
ทั้งนี้ หากมีการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งจริง ผู้ประกอบการภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากไม่สามารถทำสัญญากับกลุ่มผู้ขนส่งในระยะยาวได้ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่จะมีการทำสัญญาล่วงหน้า 1-3 เดือน ขณะนี้ภาคขนส่งจะยังไม่ปรับขึ้นค่าขนส่ง เพราะภาคขนส่งมีหลายกลุ่ม แต่ถ้าปรับจริงจะกระทบแน่นอน ซึ่งเรื่องราคาน้ำมันและราคาสินค้าแพงเกี่ยวเนื่องกัน
 
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีปัญหาราคาน้ำมัน ถึงเวลาทบทวนปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันหรือไม่ว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ได้มีการหารือแล้ว ขอรอการชี้แจงในรายละเอียดที่จะมีการหารือกันอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีแผนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องกองทุนน้ำมัน การจัดเตรียมวงเงินกู้ใช้สำหรับชดเชย และกองทุนน้ำมันก็ติดลบอยู่ในขณะนี้ 
 
ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมรองรับปัญหาราคาแก๊สอีก โดยปัญหาหลักไม่ได้มาจากเรา แต่มาจากต้นทุนพลังงาน ซึ่งเราพึ่งพาวัตถุดิบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ สถานการณ์พลังงานยังติดพันอีกเยอะ และไม่ใช่ระยะเวลาอันสั้น เราจะเอางบที่ไหนมาถมตรงนี้ ต้องหาวิธีการที่เหมาะสมก่อน
 
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/BATKpQLYv0E

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
เกษตรกรขิงเข็กน้อย ร้องราคาตก เกรดเอ เหลือ 4 บาท จากเดิม 25 บาท พ้อหนี้ท่วม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6882200
 
เกษตรกรขิงเข็กน้อย ร้องราคาตก เกรดเอ เหลือเพียง 4 บาท จากเดิม 25 บาท พ้อชาวบ้านเป็นหนี้ เผยเหตุปลูกบนที่สูงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
   
เมื่อเวลา 13. 30 น. วันที่ 10 ก.พ.65 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม นำโดย นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานกมธ. คนที่ 1 รับหนังสือร้องเรียนจาก นายชาตรี วรฉัตรคีรี รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เข็กน้อย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกขิงเข็กน้อย ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ จากปัญหาราคาขิงตกต่ำ
 
นายชาตรี กล่าวว่า ขิงในประเทศไทย และกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นขิงที่มีมูลค่าการส่งออกสูงพอสมควร แต่ละปียอดเป็นพันล้านบาท แต่วันนี้วิกฤตมาก จากเดิมก.ก.ละ 25 บาท ปีนี้เหลือก.ก.ละ 4 บาท ซึ่งเป็นราคาขิงเกรดเอเพื่อส่งออกเท่านั้น ส่วนขิงที่ไม่สามารถส่งออกได้ไม่มีใครอยากซื้อ แต่ขณะนี้ยังขาดหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เกษตรกรต้องเป็นหนี้ หากยังเกิดสภาวะแบบนี้ โอกาสที่เราจะลืมตาอ้าปากเท่าเทียมองค์กรอื่นลำบากมาก
 
จึงอยากขอความอนุเคราะห์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เกษตรกรชาวนา ชาวไร่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่วันนี้กระดูกสันหลังของชาติหักหมดแล้ว เราในฐานะเกษตรผู้ปลูกขิงที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์รู้สึกน้อยใจที่เกิดมาบนเขาบนดอย เพราะวันนี้เกิดความเหลื่อมล้ำ ยกตัวอย่างราคาขิงที่ตลาดไท ก.ก.ละ 30 กว่าบาท ขิงที่ส่งออกต่างประเทศแค่ขีดสองขีดหลักร้อยบาท นี่คือความแตกต่างเหลื่อมล้ำที่เกษตรกรมีความลำบากใจ
 
ด้าน นายจาตุรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ขิงมีประโยชน์ช่วยป้องกันโควิด – 19 เป็นสินค้าที่ปลูกโดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในประเทศไทย ปัญหาใหญ่คือพื้นที่ปลูกขิงมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 600 – 700 เมตร ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่มีการจดทะเบียน เวลาราคาตกต่ำต้องแก้ปัญหาจะไม่มีเอกสารไม่มีข้อมูล ทำให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือ
 
ดังนั้น ทุกหน่วยงานต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ ให้หน่วยงานศึกษาหาข้อมูลให้ชัดเจนเกี่ยวกับตลาดในประเทศ ส่วนการส่งออกต่างประเทศ ควรมีข้อแนะนำเกษตกรว่าต้องปลูกจำนวนเท่าไหร่อย่างไร และต้องศึกษาว่าขิงในประเทศต้องไม่ถูกพืชผลทางการเกษตรต่างประเทศ เข้ามาตัดราคาในประเทศไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่