‘ไทย’ เทหมดหน้าตักแลกดีล ยื่นสหรัฐเปิดเสรีสินค้าเกษตร
“ไทย” ยึดกรอบ “อาร์เซ็ป” ลดภาษีให้สหรัฐกว่า 90% จับตาหั่นภาษีสินค้าเกษตร สรท.เร่งรัฐปิดดีลภาษีทรัมป์ รับได้หากโดน 20% เท่าเวียดนาม
แต่หากเจรจาล้มเหลว ไทยอ่วมไม่เฉพาะส่งออก แต่ลามไปถึงเศรษฐกิจประเทศชะงัก ต้องใช้เวลาฟื้นฟู 5-10 ปี ชง 3 ข้อเสนอต่อ “พิชัย-จตุพร”ปกป้องส่งออกไทยไปสหรัฐ 2 ล้านล้านบาท คาดทั้งปีไทยส่งออกไทยไม่ขยายตัวหรือขยายเพียง 1%
สถานการณ์การส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อสหรัฐประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอัตราสูงถึง 36% ภายใต้มาตรการ “Reciprocal Tariff” ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและมาเลเซียที่ปิดดีลได้ที่ 20% และ 25% ตามลำดับ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568
รัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอรอบที่ 2 ให้กับสหรัฐเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2568 โดยมีข้อเสนอไทยขยับเป้าหมายสมดุลการค้าสหรัฐเร็วขึ้นจาก 10 ปี เหลือ 7-8 ปี โดยกำหนดให้ปี2573 ไทยลดได้ดุลการค้าสหรัฐลง 70% และปี2574-2575 ไทย และสหรัฐมีสมดุลการค้ากัน
ส่วนข้อเสนอเปิดตลาดการค้าได้ปรับเป็นการเปิดเสรีหรือภาษีนำเข้า 0% ให้สหรัฐในสินค้าจำนวนหนึ่ง แต่ต้องไม่ทำให้คู่ค้าไทยที่มีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เสียเปรียบสหรัฐ รวมทั้งไทยจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและเครื่องบิน
นายลวรณ แสงสนิทปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเสนอรอบที่ 2 ที่ยื่นให้สหรัฐมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ
รวมถึงอุตสาหกรรมในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากการลดภาษีสินค้าจำนวนมากให้เป็น 0% เพื่อเปิดตลาดให้ อย่างไรก็ตาม หลายรายการเป็นสินค้าที่เราได้ลดภาษี 0% อยู่แล้วกับประเทศคู่ค้า FTA อื่นๆ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า ไทยยื่นข้อเสนอการลดภาษีให้สหรัฐพิจารณาได้ยึดแนวทางการลดภาษีตามกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งมีการลดภาษีครอบคลุมสินค้าประมาณ 90% หรือประมาณ 9,000 รายการ โดยเป็นแนวทางที่จะไม่กระทบกับคู่ค้าอื่นของไทย
นอกจากนี้ ไทยได้มีการพิจารณาอัตราภาษีศุลกากร MFN ซึ่งมีประมาณ 10,000 รายการ ในปี 2566 มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 9.8% แบ่งเป็นอัตราภาษีสำหรับสินค้าเกษตรอยู่ที่ 27.0% และอัตราภาษีสินค้าที่ไม่ใช่เกษตร 7.1% โดยจะเห็นได้ว่าอัตราภาษีกลุ่มสินค้าเกษตรค่อนข้างสูงจึงทำให้สหรัฐต้องการลดภาษีส่วนนี้ลง
อ่านต่อ:
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1188795?anm=
ไทย’ เทหมดหน้าตักแลกดีล ยื่นสหรัฐเปิดเสรีสินค้าเกษตร
“ไทย” ยึดกรอบ “อาร์เซ็ป” ลดภาษีให้สหรัฐกว่า 90% จับตาหั่นภาษีสินค้าเกษตร สรท.เร่งรัฐปิดดีลภาษีทรัมป์ รับได้หากโดน 20% เท่าเวียดนาม
แต่หากเจรจาล้มเหลว ไทยอ่วมไม่เฉพาะส่งออก แต่ลามไปถึงเศรษฐกิจประเทศชะงัก ต้องใช้เวลาฟื้นฟู 5-10 ปี ชง 3 ข้อเสนอต่อ “พิชัย-จตุพร”ปกป้องส่งออกไทยไปสหรัฐ 2 ล้านล้านบาท คาดทั้งปีไทยส่งออกไทยไม่ขยายตัวหรือขยายเพียง 1%
สถานการณ์การส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อสหรัฐประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอัตราสูงถึง 36% ภายใต้มาตรการ “Reciprocal Tariff” ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและมาเลเซียที่ปิดดีลได้ที่ 20% และ 25% ตามลำดับ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568
รัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอรอบที่ 2 ให้กับสหรัฐเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2568 โดยมีข้อเสนอไทยขยับเป้าหมายสมดุลการค้าสหรัฐเร็วขึ้นจาก 10 ปี เหลือ 7-8 ปี โดยกำหนดให้ปี2573 ไทยลดได้ดุลการค้าสหรัฐลง 70% และปี2574-2575 ไทย และสหรัฐมีสมดุลการค้ากัน
ส่วนข้อเสนอเปิดตลาดการค้าได้ปรับเป็นการเปิดเสรีหรือภาษีนำเข้า 0% ให้สหรัฐในสินค้าจำนวนหนึ่ง แต่ต้องไม่ทำให้คู่ค้าไทยที่มีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เสียเปรียบสหรัฐ รวมทั้งไทยจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและเครื่องบิน
นายลวรณ แสงสนิทปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเสนอรอบที่ 2 ที่ยื่นให้สหรัฐมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ
รวมถึงอุตสาหกรรมในประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากการลดภาษีสินค้าจำนวนมากให้เป็น 0% เพื่อเปิดตลาดให้ อย่างไรก็ตาม หลายรายการเป็นสินค้าที่เราได้ลดภาษี 0% อยู่แล้วกับประเทศคู่ค้า FTA อื่นๆ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า ไทยยื่นข้อเสนอการลดภาษีให้สหรัฐพิจารณาได้ยึดแนวทางการลดภาษีตามกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งมีการลดภาษีครอบคลุมสินค้าประมาณ 90% หรือประมาณ 9,000 รายการ โดยเป็นแนวทางที่จะไม่กระทบกับคู่ค้าอื่นของไทย
นอกจากนี้ ไทยได้มีการพิจารณาอัตราภาษีศุลกากร MFN ซึ่งมีประมาณ 10,000 รายการ ในปี 2566 มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 9.8% แบ่งเป็นอัตราภาษีสำหรับสินค้าเกษตรอยู่ที่ 27.0% และอัตราภาษีสินค้าที่ไม่ใช่เกษตร 7.1% โดยจะเห็นได้ว่าอัตราภาษีกลุ่มสินค้าเกษตรค่อนข้างสูงจึงทำให้สหรัฐต้องการลดภาษีส่วนนี้ลง
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1188795?anm=