ราคาผู้ผลิตในจีนหดตัว กดดันปัญหาสินค้าราคาถูกทะลักไทย-อาเซียน
https://www.matichon.co.th/economy/news_5272184
.
.
ราคาผู้ผลิตในจีนหดตัว กดดันปัญหาสินค้าราคาถูกทะลักไทย-อาเซียน
.
น.ส.จิรดา ภักดิ์วิไลเกียรติ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เดือน มิ.ย.68 ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีน (PPI) หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 33 อยู่ที่ -3.6%YoY ซึ่งเป็นระดับหดตัวที่ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ระดับราคาสินค้าผู้ผลิตหดตัวในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะในส่วนของถ่านหิน (-21.8%YoY) ปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ (-12.6%YoY) รวมถึงเหล็ก (-11.3%YoY)
.
ขณะที่เงินเฟ้อจีน (CPI) กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เล็กน้อย ปัจจัยหนุนหลักมาจากมาตรการสนับสนุนภาคการบริโภคของภาครัฐ เช่น โครงการของเก่าแลกของใหม่ (Trade-in Program) โดยระดับราคาของเครื่องใช้ภายในบ้านขยายตัวที่ 0.7%YoY จาก 0.1%YoY ในเดือน พ.ค.68 อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.1%YoY จากทิศทางการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังไม่แน่นอน และการปรับลดราคาสินค้าของผู้ผลิตตามทิศทางดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ยังปรับลดลง
.
ในระยะข้างหน้าจีนยังมีความเสี่ยงด้านเงินฝืด โดยเงินเฟ้อมีทิศทางอยู่ในระดับต่ำตลอดทั้งปี 2568 มีรายละเอียด ดังนี้
.
1. บวกจากโครงการของเก่าแลกของใหม่ (Trade-in Program) คาดว่าจะลดลงในครึ่งหลังของปี เนื่องจากสินค้าในโครงการเป็นสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ และ Smartphones อีกทั้งรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งเริ่มประกาศระงับเงินอุดหนุน และจำกัดโควต้ารายวันหลังเริ่มเผชิญปัญหาขาดแคลนเงินทุน
.
2. ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ยังไม่แน่นอนสูงกดดันภาคการผลิตในจีน แม้จะมีข้อตกลงปรับลดภาษีชั่วคราวระหว่างสหรัฐและจีน แต่อัตราภาษีปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งทิศทางและระดับการเก็บภาษีในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ผลิตมีแนวโน้มชะลอการลงทุน และการผลิต สะท้อนผ่านผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตชะลอลงต่อเนื่อง
.
3. ผู้ผลิตในจีนยังคงเผชิญสงครามราคาในหลายอุตสาหกรรม โดยกำไรภาคอุตสาหกรรมในจีนเดือน พ.ค.68 หดตัวลงอย่างมาก
.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ทิศทางราคาผู้ผลิตในจีนที่ยังมีแนวโน้มหดตัวจะยิ่งกดดันปัญหาสินค้าราคาถูกที่จะไหลเข้าสู่อาเซียนรวมถึงไทย
เมื่อมองไประยะข้างหน้าผู้ผลิตในจีนยังมีแนวโน้มปรับลดราคาสินค้าลงจากปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่ได้รับปัจจัยกดดันจากปัญหาสงครามการค้าตั้งแต่ 1 ส.ค.2568 ที่ระดับภาษีในแต่ละประเทศมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
.
โดยสินค้าคงคลังในบางอุตสาหกรรมของจีน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยายังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะกดดันต่อเนื่องไปถึงทิศทางระดับราคาสินค้าในประเทศที่จีนส่งออกสินค้าไป โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนอย่างเวียดนามรวมถึงไทย
.
.
เอสเอ็มอีไทย จุกภาษีทรัมป์หวั่นกระทบจ้างงาน 3.7 ล้านคน ทุบศก.ปีนี้ติดลบ 1.1%
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9845491
.
เอสเอ็มอีไทย อัดภาษีทรัมป์ กระทบจ้างงาน 3.7 ล้านคน หวั่นทุบศก.ปีนี้ติดลบ 1.1%
.
นาย
ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 เป็นต้นไป จะทำให้เอสเอ็ม อีรายย่อยต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น
.
เวียดนาม 20% และมาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32% ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ 25% ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำกว่าไทย ทำให้ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการชะลอคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าสหรัฐ รวมถึงการขอต่อรองราคาหรือส่วนลดมากขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรของเอสเอ็มอีรายย่อยหดตัวลงอย่างมาก
.
โดยเฉพาะกลุ่มที่รับจ้างผลิตหรือส่งผ่านเทรดเดอร์ อาจเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียตลาดหลักทันทีจากการถูกยกเลิกออเดอร์หรือถูกลดปริมาณการสั่งซื้อ ผลกระทบยังลุกลามไปถึงแรงงานในภาคเอสเอ็มอี ซึ่งมีแรงงานกว่า 3.7 ล้านคน และเอสเอ็มอีเกือบ 5,000 รายที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว อีกทั้งยังกระทบต่อจีดีพีไทยปีนี้ที่ติดลบ 1.1% และครึ่งปีหลังอาจติดลบถึง 4-4.5%
.
ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐและจีน อาจชะลอหรือย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ได้อัตราภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนาม จึงมองว่าภาษี 36% ของสหรัฐ เป็นวิกฤตที่กระทบเอสเอ็มอีรายย่อยอย่างรุนแรง ทางสมาพันธ์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการเยียวยาอย่างเร่งด่วน อาทิ
.
การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน การช่วยเหลือในการหาตลาดใหม่ในภูมิภาค และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีรายย่อย พร้อมกันนี้ยังขอให้รัฐบาลเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เหมาะสมและไม่เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนการปรับตัวของเอสเอ็มอีไทยด้วยการกระจายตลาด ลดการพึ่งพาตลาดเดียว และส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาใช้ในสินค้าและบริการ
.
.
ไทยสร้างไทย จี้สอบแก๊งลักลอบขนน้ำมันปาล์มมาเลย์ ผ่านไทยไปเมียนมาเอี่ยวถึง รมต.
https://www.thairath.co.th/news/politic/2870045
.
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย แฉ มีขบวนการลักลอบส่ง “น้ำมันปาล์มมาเลย์” ผ่านไทยไปเมียนมา เอี่ยวอิทธิพลใหญ่ถึงระดับรัฐมนตรี จี้ “กรมศุลกากร-กระทรวงการคลัง-กระทรวงพาณิชย์” ตรวจสอบ หวั่นไทยเสียรายได้ 300–500 ล้านบาทต่อปี
.
วันที่ 12 ก.ค. 2568 นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เปิดเผยว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซียเข้ามาในประเทศไทยผ่านช่องทางเขตปลอดอากร (Free Zone) จึงขอตั้งคำถามถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องว่า น้ำมันปาล์มที่อ้างว่าเพื่อส่งออก แต่กลับมีความผิดปกติชัดเจน ล่าสุด พบตู้คอนเทนเนอร์ 4 ตู้ บรรทุกน้ำมันปาล์มจากมาเลเซียถูกส่งต่อจากท่าเรือแหลมฉบังเข้าเขตปลอดอากรชื่อ “ฟรีโซนปลาวาฬ” แล้วลากขึ้นมาลงสินค้าที่ท่าขนถ่ายสินค้า 36 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทั้งที่รัฐบาลมีนโยบาย “3 ตัด” และล็อกชายแดนไม่ให้มีการลง-ขนส่งสินค้าผ่านแดนในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งที่การเคลื่อนย้ายสินค้าน้ำมันปาล์มเข้าสู่เขตปลอดอากร ต้องผ่านการอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เท่านั้น และหากเป็นการนำเข้าเพื่อส่งออก ก็ต้องซื้อสินค้าภายในประเทศในสัดส่วน 2 เท่าของปริมาณที่นำเข้า แต่ข้อมูลในพื้นที่กลับพบว่า ไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ครบถ้วนตามระเบียบ อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่อ้างว่า เจ้าของฟรีโซนปลาวาฬมีอิทธิพลใหญ่ถึงระดับรัฐมนตรี และสามารถจัดการให้มีการย้ายนายตรวจมาประจำแม่สอดเพื่อการตรวจ-ปล่อยเฉพาะสินค้าของตนเอง
.
“นี่ไม่ใช่แค่การลักลอบขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกธรรมดา แต่เป็นการบิดเบือนกฎหมาย และใช้อำนาจบุคคลแทรกแซงอำนาจรัฐอย่างชัดเจน ผมขอตั้งคำถามตรงไปที่กระทรวงการคลังและกรมศุลกากรว่า สินค้าเหล่านี้ผ่านเข้ามาได้อย่างไร รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ด้วยว่า ใครเป็นคนลงนามอนุมัติการนำเข้าและส่งออกสินค้าเหล่านี้ ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมน้ำมันพืชไทย ระบุว่า น้ำมันปาล์มในไทยมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 68–70 บาทต่อลิตร ขณะที่ต้นทุนน้ำมันจากมาเลเซียเพียง 57 บาท/กิโลกรัม หากปล่อยให้ลักลอบนำเข้าอย่างเป็นระบบ โดยไม่เสียภาษีนำเข้า ซึ่งปกติสูงกว่า 30% ต่อหน่วย อาจทำให้รัฐไทยต้องสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 300–500 ล้านบาทต่อปี ยังไม่รวมผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันไทยและผู้ผลิตภายในประเทศที่ถูกบิดเบือนกลไกราคาอย่างรุนแรง ผมจึงเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐทั้ง กรมศุลกากร, ป.ป.ช. และกรมการค้าต่างประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบ สืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนและหาผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ให้ได้” โฆษก ทสท. กล่าว
.
.
แรงงานเขมร ลอบข้ามพรมแดน กลับไทย รับผิดหวังโฆษณาชวนเชื่อรัฐบาลตัวเอง ชี้ อยู่ต่ออดตายแน่ https://www.matichon.co.th/region/news_5272156
.
แรงงานเขมร ลอบข้ามพรมแดน กลับไทย รับผิดหวังโฆษณาชวนเชื่อรัฐบาลตัวเอง ชี้ ขืนอยู่ต่อไปอดตาย
.
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ต.อ.ภัทรกร ขาวนวล ผกก.สภ.คลองลึกได้ เปิดเผยข้อมูล และสถิติการจับกุมผู้ลักลอบข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 4-10 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 61 ราย เป็นชาวไทย 44 คน และชาวกัมพูชา 17 คน
พ.ต.อ.ภัทรกรระบุว่า ในส่วนของคนไทย จำนวน 44 คน ที่ถูกจับกุมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ลักลอบเข้าประเทศ เพราะถูกหลอกเข้าไปทำงาน เมื่อตรวจสอบเชิงรุกแล้วพบว่า เป็นผู้ที่มีหมายจับ 6 ราย ในข้อกล่าวหา คดีฉ้อโกง ฟอกเงิน คดีเยาวชน และคดีเทคโนโลยี ไม่พบหมายจับมากกว่า 40 ราย และอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม 4 ราย
.
สำหรับในส่วนของชาวกัมพูชา ทั้งหมด 17 คน ได้ลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามาประเทศไทย ทางช่องทางธรรมชาติ ทั้งหมดเคยทำงานและเคยอยู่ในไทยมานานแต่ต้องกลับบ้านเกิดตามคำเรียกร้องของฮุน เซน โดยหวังว่าจะมีงานทำในบ้านเกิด มีเงินช่วยเหลือ ได้รับการรักษาฟรี ตามที่โฆษณาไว้ แต่ต้องผิดหวังเพราะไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าอยู่ในบ้านเกิดต่อไปต้องอดตายแน่นอน จึงตัดสินใจเดินทางกลับไทยเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
JJNY : 5in1 ราคาผู้ผลิตจีนหดตัว│เอสเอ็มอีไทยจุกภาษี│จี้สอบแก๊งลักลอบขนน้ำมัน│แรงงานเขมรผิดหวัง│กัมพูชาเตรียมม็อบรักชาติ
https://www.matichon.co.th/economy/news_5272184
.
ราคาผู้ผลิตในจีนหดตัว กดดันปัญหาสินค้าราคาถูกทะลักไทย-อาเซียน
.
.
เอสเอ็มอีไทย จุกภาษีทรัมป์หวั่นกระทบจ้างงาน 3.7 ล้านคน ทุบศก.ปีนี้ติดลบ 1.1%
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9845491
.
เอสเอ็มอีไทย อัดภาษีทรัมป์ กระทบจ้างงาน 3.7 ล้านคน หวั่นทุบศก.ปีนี้ติดลบ 1.1%
.
นายณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 เป็นต้นไป จะทำให้เอสเอ็ม อีรายย่อยต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น
.
เวียดนาม 20% และมาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32% ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ 25% ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำกว่าไทย ทำให้ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการชะลอคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าสหรัฐ รวมถึงการขอต่อรองราคาหรือส่วนลดมากขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรของเอสเอ็มอีรายย่อยหดตัวลงอย่างมาก
.
โดยเฉพาะกลุ่มที่รับจ้างผลิตหรือส่งผ่านเทรดเดอร์ อาจเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียตลาดหลักทันทีจากการถูกยกเลิกออเดอร์หรือถูกลดปริมาณการสั่งซื้อ ผลกระทบยังลุกลามไปถึงแรงงานในภาคเอสเอ็มอี ซึ่งมีแรงงานกว่า 3.7 ล้านคน และเอสเอ็มอีเกือบ 5,000 รายที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว อีกทั้งยังกระทบต่อจีดีพีไทยปีนี้ที่ติดลบ 1.1% และครึ่งปีหลังอาจติดลบถึง 4-4.5%
.
ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐและจีน อาจชะลอหรือย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ได้อัตราภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนาม จึงมองว่าภาษี 36% ของสหรัฐ เป็นวิกฤตที่กระทบเอสเอ็มอีรายย่อยอย่างรุนแรง ทางสมาพันธ์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการเยียวยาอย่างเร่งด่วน อาทิ
.
การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน การช่วยเหลือในการหาตลาดใหม่ในภูมิภาค และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีรายย่อย พร้อมกันนี้ยังขอให้รัฐบาลเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เหมาะสมและไม่เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนการปรับตัวของเอสเอ็มอีไทยด้วยการกระจายตลาด ลดการพึ่งพาตลาดเดียว และส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาใช้ในสินค้าและบริการ
.
.
ไทยสร้างไทย จี้สอบแก๊งลักลอบขนน้ำมันปาล์มมาเลย์ ผ่านไทยไปเมียนมาเอี่ยวถึง รมต.
https://www.thairath.co.th/news/politic/2870045
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย แฉ มีขบวนการลักลอบส่ง “น้ำมันปาล์มมาเลย์” ผ่านไทยไปเมียนมา เอี่ยวอิทธิพลใหญ่ถึงระดับรัฐมนตรี จี้ “กรมศุลกากร-กระทรวงการคลัง-กระทรวงพาณิชย์” ตรวจสอบ หวั่นไทยเสียรายได้ 300–500 ล้านบาทต่อปี
.
แรงงานเขมร ลอบข้ามพรมแดน กลับไทย รับผิดหวังโฆษณาชวนเชื่อรัฐบาลตัวเอง ชี้ อยู่ต่ออดตายแน่ https://www.matichon.co.th/region/news_5272156
.