สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้างานที่ทำไม่ใช่ Remote ต้องเข้า office 100% จขกท จะทำแบบไหนคะ
ต้องหาคนมาเลี้ยงใช่ไหมคะ
ในเมื่อกลับมาทำงานแล้ว ทำไมไม่หาคนมาเลี้ยงมาช่วยดูค่ะ แล้วก็ใช้ปั้มเหมือนที่ผู้บริการบอก
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเข้าเต้า หรือ ปั้มดูดนะะค
ประเด็นสำหรับผู้บริการคือ มันคือเวลางาน เพราะฉะนั้นต้องทำงานค่ะ ไม่ใช่เลี้ยงลูก เอาลูกเข้าเต้า มันจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ แล้วมันจะเสียระบบ
และเหมือนที่ท่านบนๆ บอก เรื่องนี้แก้ปัญหาได้ด้วยเงิน คือ
1. จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูลูก แล้ว จขกท ก็ปั้มนมเอา เดินไปดูลูกบ้างบางเวลา
2. ลาออกค่ะ
ต้องหาคนมาเลี้ยงใช่ไหมคะ
ในเมื่อกลับมาทำงานแล้ว ทำไมไม่หาคนมาเลี้ยงมาช่วยดูค่ะ แล้วก็ใช้ปั้มเหมือนที่ผู้บริการบอก
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเข้าเต้า หรือ ปั้มดูดนะะค
ประเด็นสำหรับผู้บริการคือ มันคือเวลางาน เพราะฉะนั้นต้องทำงานค่ะ ไม่ใช่เลี้ยงลูก เอาลูกเข้าเต้า มันจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ แล้วมันจะเสียระบบ
และเหมือนที่ท่านบนๆ บอก เรื่องนี้แก้ปัญหาได้ด้วยเงิน คือ
1. จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูลูก แล้ว จขกท ก็ปั้มนมเอา เดินไปดูลูกบ้างบางเวลา
2. ลาออกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 23
เวลาทำงาน ควรให้ความสำคัญกับเรื่องงานเป็นอันดับหนึ่งค่ะ
คุณอยู่บ้านคุณจะทำอะไรก็ได้ก็จริง แต่คุณต้องเตรียมพร้อมเสมอเมื่อมีเรื่องงานเข้ามา
ไม่ใช่บอกว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกเพราะให้นมลูกอยู่
ความคิดแบบคุณก็ไม่ต่างจากคนที่ชอบเอาเรื่องลูกมาเป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน
เช่นพวกที่มาสายกลับเร็วเพราะอ้างว่าต้องไปรับส่งลูก เป็นต้น
หรืออีกตัวอย่าง ถ้าคุณต้องติดต่องานกับพนักงานคนหนึ่ง แต่พนักงานคนนั้นบอกว่ายังไม่สะดวกจะคุยกับคุณเพราะกำลังให้นมลูกอยู่ คุณจะรู้สึกยังไง
ถ้าผู้บริหารยอมให้คุณมีอภิสิทธิ์ได้ คนอื่นก็ต้องขออภิสิทธิ์ได้เหมือนกัน
ต่อไปงานอาจจะเดินได้ช้า เพราะใครๆก็มีข้ออ้างในการทำเรื่องส่วนตัวในเวลางานได้ทั้งนั้น
ถ้าคุณไม่พอใจกับนโยบายของที่นี่ ก็สามารถหางานใหม่ได้ค่ะ คุณเองก็มีสิทธิ์เลือก
แต่ถ้าจะบอกว่าบริษัทนี้ใจแคบ เราไม่เห็นด้วย เพราะสิ่งที่คุณทำคือจุดเริ่มต้นของการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน
การที่เค้าไม่ยอมให้เราเอาเปรียบแล้วเราไปตำหนิเค้าว่าใจแคบ คงไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
คุณอยู่บ้านคุณจะทำอะไรก็ได้ก็จริง แต่คุณต้องเตรียมพร้อมเสมอเมื่อมีเรื่องงานเข้ามา
ไม่ใช่บอกว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกเพราะให้นมลูกอยู่
ความคิดแบบคุณก็ไม่ต่างจากคนที่ชอบเอาเรื่องลูกมาเป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน
เช่นพวกที่มาสายกลับเร็วเพราะอ้างว่าต้องไปรับส่งลูก เป็นต้น
หรืออีกตัวอย่าง ถ้าคุณต้องติดต่องานกับพนักงานคนหนึ่ง แต่พนักงานคนนั้นบอกว่ายังไม่สะดวกจะคุยกับคุณเพราะกำลังให้นมลูกอยู่ คุณจะรู้สึกยังไง
ถ้าผู้บริหารยอมให้คุณมีอภิสิทธิ์ได้ คนอื่นก็ต้องขออภิสิทธิ์ได้เหมือนกัน
ต่อไปงานอาจจะเดินได้ช้า เพราะใครๆก็มีข้ออ้างในการทำเรื่องส่วนตัวในเวลางานได้ทั้งนั้น
ถ้าคุณไม่พอใจกับนโยบายของที่นี่ ก็สามารถหางานใหม่ได้ค่ะ คุณเองก็มีสิทธิ์เลือก
แต่ถ้าจะบอกว่าบริษัทนี้ใจแคบ เราไม่เห็นด้วย เพราะสิ่งที่คุณทำคือจุดเริ่มต้นของการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน
การที่เค้าไม่ยอมให้เราเอาเปรียบแล้วเราไปตำหนิเค้าว่าใจแคบ คงไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
ความคิดเห็นที่ 7
แม้จะทำงานแบบ remote ก็ตามแต่เวลางานคือเวลางานค่ะ คุณไม่สามารถเลี้ยงลูกและทำงานพร้อมกันได้ คุณควรมีพี่เลี้ยงช่วยเหลือในตอนกลางวัน หากงานของคุณต้องมีการประชุมในระหว่างวัน
บริษัทจ่ายเงินเดือนเพื่อให้คุณทำงานตามเวลาที่บริษัทซื้ออย่างเต็มที่
เรามองว่าคุณไม่ควรทำงานไปเลี้ยงลูกไป แม้กระทั่งเวลาประชุม
ถ้ามันนิดหน่อยก็พอได้ แต่ถึงขั้นเอาลูกเข้าเต้าระหว่างประชุมมันไม่สมควร
เรื่องนม คุณเอาลูกเข้าเต้านอกเวลางาน หรือช่วงพัก ช่วงที่ไม่ได้ประชุมมันก็ได้ แต่ควรเว้นช่วงประชุม หรือจำเป็นต้องเอานมออกระหว่างประขุม คุณใช้เครื่องปั้มนม แล้วผ้าคลุม ใช้หูฟังแทนมันช่วยตัดเสียงได้อยู่ ไม่ได้ดังมาก
บริษัทจ่ายเงินเดือนเพื่อให้คุณทำงานตามเวลาที่บริษัทซื้ออย่างเต็มที่
เรามองว่าคุณไม่ควรทำงานไปเลี้ยงลูกไป แม้กระทั่งเวลาประชุม
ถ้ามันนิดหน่อยก็พอได้ แต่ถึงขั้นเอาลูกเข้าเต้าระหว่างประชุมมันไม่สมควร
เรื่องนม คุณเอาลูกเข้าเต้านอกเวลางาน หรือช่วงพัก ช่วงที่ไม่ได้ประชุมมันก็ได้ แต่ควรเว้นช่วงประชุม หรือจำเป็นต้องเอานมออกระหว่างประขุม คุณใช้เครื่องปั้มนม แล้วผ้าคลุม ใช้หูฟังแทนมันช่วยตัดเสียงได้อยู่ ไม่ได้ดังมาก
แสดงความคิดเห็น
หลังคลอดมีใครกลับมาทำงานแล้วโดนแบบนี้บ้างไหมคะ
เนื่องจากกลัวผลกระทบค่ะ และอยากมาปรึกษาปัญหาเป็นกรณีๆ ไปเท่านั้น
เราเพิ่งคลอดลูกแฝดไปค่ะ และกลับมาทำงานได้ 2 สัปดาห์แล้ว
ตำแหน่งที่เรากลับมาทำคือ Hr หรือฝ่ายบุคคลค่ะ
ซึ่งบริษัทที่ทำตอนนี้เป็นการ Work Remote 100%
และตามนโยบายผู้บริหารคือ ตำแหน่งหลังบ้านทั้งหมดจะทำงานแบบ Remote แล้ว
ซึ่งมีเพียงพนักงานหน้าร้านที่ต้องเข้าออกเวลางาน
ส่วนปัญหาที่เรากลับมาเจอคือ
เราคลอดลูกแฝดค่ะ เลี้ยงกันเองกับสามี
สามีจะดูลูกให้เวลากลางคืน เนื่องจากเขาทำงานกลางคืน
ส่วนเราจะทำงานเวลากลางวัน ก็จะดูลูกเวลากลางวันเช่นกัน
สามีจะตื่นมากินข้าวบ้าง ซึ่งเขาก็ช่วยดูแลลูกในเวลาที่ตื่นมา
ส่วนเด็กๆ ตอนนี้ยังไม่กี่เดือนค่ะ ซึ่งเลี้ยงค่อนข้างง่าย กินแล้วนอนแค่นั้นเลย
ในมุมของเราการทำงานไม่มีปัญหาค่ะ เพราะเวลาประชุมหรืออะไรเราก็ตั้งกล้องให้เห็นตั้งแต่คอขึ้นมา
เนื่องจากจะมีบางเวลาที่เวลาให้นมตรงกับเวลาที่ต้องประชุม
เราเคยขอผู้บริหารแล้วว่าเราขอไม่เปิดกล้องได้ไหม เพราะบางทีต้องให้นมลูก
ซึ่งทางผู้บริหารไม่อนุญาติ เนื่องจากจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่ทีมและพนักงานคนอื่น
2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเราจึงต้องเปิดกล้องโดยให้เห็นตั้งแต่คอขึ้นมาเท่านั้น
โดยที่การประชุมในแต่ละครั้งค่อนข้างลากยาวพอสมควร เช่นตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น
ดังนั้นต่อ 1 วาระการประชุม ลูกจะเข้าเต้าเรา 2-3 ครั้ง แต่การประชุมก็เป็นไปอย่างราบรื่นมาตลอดค่ะ
แต่ปัญหามาเกิดตรงที่หลังๆ ผู้บริหารเริ่มจะมีการติงเราว่า ไม่มีใครตั้งกล้องแบบเรา มันทำให้ดูเสียความเป็นระเบียบไป
อยากให้เราตั้งกล้องเหมือนคนอื่น นั่นคือจะเห็นตั้งแต่ช่วงหน้าอกขึ้นมา
เราชี้แจงไปว่าระหว่างการประชุมเราต้องเอาลูกเข้าออกเต้า แม้จะใส่ผ้าคลุมให้นม แต่มันก็ไม่สมควรที่ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นต้องมาเห็น
ผู้บริหารเสนอว่าให้เราเปลี่ยนเป็นการปั๊มนมแทนการเอาลูกเข้าเต้า จะได้ไม่ต้องเอาลูกเข้าออกเต้าให้คนอื่นเห็น
แต่เราก็ชี้แจงไปว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ ซ้ำเสียงที่ปั๊มนมยังค่อนข้างดังกว่าเสียงลูกเข้าเต้า
ตอนนี้เราเลยถูกกดดันให้เลือก 2 ทางค่ะ คือต้องตั้งกล้องอย่างที่ผู้บริหารต้องการ กับอีกแนวทางนึงที่สามีเสนอคือลาออกมาเลย
และเราดูจะเอนเอียงไปในแนวทางที่ 2 พอสมควรค่ะ
จริงๆ ก็เคยคิดมาก่อนหน้านี้ว่าหลังคลอด อาจจะลาออก เนื่องจากกลัวเหนื่อยจากงานแล้วจะเลี้ยงลูกได้ไม่เต็มที่
เรายังสองจิตสองใจ แม้สามีจะมีรายได้จากหลายทางที่ดีมาก และตัวเราเองจะมีรายได้จากทางอื่นบ้าง
เพราะเรากลัวเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น แล้วสมัยนี้งานก็หาไม่ง่ายแม้เราจะแค่ 30 ต้นๆ ก็ตาม
อีกอย่างคือเราค่อนข้างชอบการทำงานแบบ Remote 100% แล้วด้วยค่ะ กลัวว่าถ้าหางานใหม่ในตำแหน่งใกล้เคียงกัน
แล้วการทำงานจะไม่ได้ Remote 100% ค่ะ แต่อีกใจนึงก็อยากจะเต็มที่กับการเลี้ยงลูกด้วย
ตอนนี้สามีเสนอมาว่า จะลองสอบถามไปยังบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ว่าพอจะมีตำแหน่งอะไรที่เราทำได้ไหม
เพราะบริษัทสามีก็ทำงานแบบ Remote 100% เพียงแต่เป็นบริษัทที่อยู่ต่างประเทศ ไม่ใช่บริษัทในไทยเหมือนบริษัทที่เราทำอยู่ค่ะ