เราอาศัยอยู่ที่นอร์เวย์ค่ะ ย้ายตามสามีมาตั้งแต่ปลายปี 2016 ปี 2017 เรียนภาษาและปลายปีเดียวกันก็สอบจนผ่านทุกระดับ
เดือนมกราคม ปี 2018 เราไปถามงานที่ร้านค้าในเทศบาล เริ่มจากฝึกงาน ตอนนั้นได้รับค่าจ้างจากหน่วยงานสวัสดิการสังคม ชื่อ NAV วันละ 350 krones น้อยมาก แต่สามีก็บอกมีแต่ได้กับได้ ก็เลยอดทนทำต่อ 5 เดือนผ่านไป เราก็คุยกับนายจ้างว่า ต้องการเงินเดือนเต็ม เพราะเรียนรู้งานได้เกือบหมดแล้ว และภาษาก็พูดได้คล่อง ตอนนั้นได้ทำสัญญานายจ้างจ่าย 50% และอีก 50% จาก NAV จนสิ้นสุดปี 2018 นายจ้างก็จ่าย 100%
ร้านค้าที่เราทำงานนี้ เป็นร้านค้าในเครือบริษัทใหญ่ค่ะ หัวหน้างานเป็นมีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัท ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านค้าแต่อย่างใด และก็มีจะผู้ช่วยหัวหน้า ในร้านมีลูกจ้างประมาณ 20 กว่าคน
ตั้งแต่เราเริ่มทำงาน ที่สังเกตคือ หัวหน้ามาทำงาน นิดๆหน่อย เพื่อนที่ทำงานเล่าให้ฟังว่า ไม่มีใครเค้าทำกันหรอก ถึงจะมีงานเอกสารมากมาย แต่อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าหัวหน้าอยู่ไหน ที่เห็นทุกวันคือผู้ช่วยหัวหน้าค่ะ เราเรียกเค้าว่า C ในกระทู้นี้ละกันค่ะ เป็นผู้หญิงคนนอร์เวย์ อายุประมาณ 40 ปี โสด มาทำงานทุกวัน ทำทุกอย่างแทนหัวหน้าและมีอำนาจตัดสินใจหลายอย่าง จนเหมือนเป็นหัวหน้า
ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก็รู้สึกมาตลอดว่า ที่ทำงานนี้ภายใต้การเป็นหัวหน้าของ C มีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ในความคิดของเรา แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็มีความเห็นเดียวกัน
* C เป็นคนอารมณ์แปรปรวนง่าย ปากร้าย เวลาจะถามอะไรหรือแจ้งเรื่องสำคัญ ต้องคอยลุ้นอารมณ์เขาตลอด ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะเริ่มการสนทนา แม้ในเรื่องที่สำคัญ ชั่วโมงการทำงานไม่ครบ ทั้งๆที่เป็นสิทธิ์ของลูกจ้าง เขาก็พูดไม่ดีใส่ และผิดบ่อยมาก เราจึงไปติดต่อหัวหน้าคนที่ไม่ค่อยมาทำงานให้ช่วยลงให้มันถูกต้องแทน
* ไม่เคยมีระบบในที่ทำงาน ไม่เคยมีการวางแผนงาน ว่าใครจะทำอะไรวันนี้ ลูกจ้างบางคนยืนทำงานในแคชเชียร์ทั้งวัน โดยไม่มีคนมาเปลี่ยน ที่ถูกต้องคือ จะต้องมีการเปลี่ยนกันไปทำงานงานต่างๆ ตลอดกะ
* ลูกจ้างผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนโปรดของ C ผู้หญิงคนนี้เคยโขมยลอตเตอรี่แบบขูด ถูกจับได้และลาออก จากนั้นเขาติดต่อกลับมาของาน C ก็รับเขากลับมา ในระหว่างนั้น gขาก็โขมยเงินในตู้เซฟอีก ตอนนั้นไม่มีระบบที่ดี เกือบทุกคนรู้ว่ากุญแจตู้เซฟอยู่ไหน เรื่องโขมยเงินนี้ C เป็นคนเล่าให้เราฟังเอง เพราะเขาเช็คจากกล้องวงจรปิดได้ แต่เรื่องก็เงียบ เราก็ไม่สบายใจว่าทำไมหัวหน้าไม่ยอมทำอะไรในกรณีร้ายแรงแบบนี้ และทำไมรับคนที่มีประวัติโขมยกลับมาทำงาน ผู้หญิงคนนี้ได้เรียนรู้งานหลายอย่างจาก C ทุกอย่างเขาจะทำแทนได้ เมื่อ C ไปพักร้อน ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เพราะคนนี้มีประวัติโขมยของ แถมยังไม่มีความรู้หรือการศึกษาที่จะสามารถทำงานในตำแหน่งแทนหัวหน้าได้
ตอนปี 2020 หัวหน้าป่วย ต้องผ่าตัด และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถกลับมาทำงานได้ C จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชั่วคราว เราค้านในใจตั้งแต่ตอนรู้ข่าวเลยค่ะ
* ลูกจ้างบางคนทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ถือว่าผิดกฎหมายแรงงาน บางวันได้ทำงานแค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็กลับบ้าน ส่วนมากจะจ้างกัน 6 ชั่วโมงขึ้นไป เราเองก็ถูกให้ทำงาน 3 ชั่วโมง แต่ไม่ได้ท้วง เพราะถ้าใครไม่เห็นด้วยกับ C เขาก็จะโกรธและพูดว่าเขาเป็นคนมีอำนาจในการตัดสินใจ ให้ไปหางานที่อื่นได้เลย ลูกจ้างประจำจะต้องมีแผนการทำงานประจำ แต่ก็ถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อย โดยไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า
* รับคนทำงานใหม่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึกงานแบบเข้มข้น บางทีคนที่ทำงานเยอะมาก แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในที่ทำงาน
* หลายอย่างในที่ทำงานไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ เช่น หลอดไฟหลังร้านตรงที่เอาขยะไปทิ้งเสีย ก็ไม่ซ่อม และฤดูหนาวที่นี่ก็มืดมาก ทำให้เกิดอันตรายได้ น้ำรั่วก็ไม่แจ้งซ่อม ที่ร้านขายไก่ย่าง เม็ดน้ำยาสำหรับล้างเตาอบหมด ก็ไม่สั่ง ทั้งๆที่ลูกจ้างแจ้งไปหลายรอบ และเมื่อเตาไม่สะอาด มันจะมีผลต่อสุขอนามัยของอาหารที่ขาย
* ตอนปี 2019 เราและเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ได้แจ้งหัวหน้าฝ่ายบริหารเรื่อง ลูกจ้างคนหนึ่งที่มีพฤติกรรม หายไปจากที่ทำงานบ่อยๆ ไปทำธุระส่วนตัว เรื่องเป็นแบบนี้มาหลายปี โดยที่พวกหัวหน้าไม่ยอมทำอะไร การจแจ้งครั้งนี้มีผลให้ลูกจ้างคนนั้นได้รับการตักเตือนขั้นหนัก และเรารู้มาว่า C เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น หลายๆคนที่ทำงาน ว่าเราเป็นคนทำ มีคนบอกเราอย่างน้อย 2 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะการเป็นหัวหน้า จะต้องมีคุณสมบัติในการรักษาความลับด้วย
* เมษายน 2020 เราตั้งท้อง คลอดเดือนธันวาคม และลาคลอดจนถึง มิถุนายน 2021 เรากลับมาทำงาน หน้าที่งาน ในความรับผิดชอบของเรา ถูกเอาไปให้คนอื่นทำหมด และ C ลดจำนวนชั่วโมงทำงานของเราลง โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เราทำงานทุกวันตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มทำงาน เราบอกไปว่า เราเคยทำงาน 100% ทำไมเราถึงไม่ได้ C ตอบว่า "เธอไม่จำเป็นต้องทำงาน 100%" ประโยคนี้เราจำฝังใจมาก เขาลดเงินเดือนเราลง โดยไม่มีเหตุผลสมควรและไม่มีการแจ้ง ที่สำคัญเราเป็นลูกจ้างถาวร สัญญางาน 70% เมื่อมีชั่วโมงว่างเราต้องได้ก่อนลูกจ้างชั่วคราว แต่เขาเอาชั่วโมงไปให้คนอื่นหมด ลูกจ้างชั่วคราวบางคนทำงานเต็มสัปดาห์ แต่เราไม่ได้ ดูยังไงก็เหมือนจงใจ ตอนนั้นเราเครียดมาก เงินเดือนก็ลด ในที่ทำงานก็ไม่มีบรรยากาศที่ดีเลย
* พฤติกรรมของ C เมื่อมาที่ทำงาน ก็เอาแต่เดินคุย ดูดบุหรี่ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ในด้านหลังโกดัง มีแต่ของที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีการจัดเก็บ ไม่มีระบบอะไรทั้งนั้น ลูกจ้างยืนคุยกันนิดหน่อย ก็ไม่ได้ C เอาเรื่องราวของลูกจ้างไปพูดลับหลังให้ลูกจ้างคนอื่นฟัง เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ เขาใช้กัญชาในที่ทำงาน ลูกจ้างคนหนึ่งเล่าว่า C เคยเอากัญชาให้เขาในที่ทำงาน ลูกจ้างผู้หญิงหลายคนเคยประสบว่า C ปฎิบัติต่อเขาแบบไม่ยุติธรรมในความเป็นผู้หญิง หลายคนรู้สึกว่าการเป็นผู้ชายจะง่ายกว่า กรณีของเราที่ถูกเอางานที่เคยทำไปให้คนอื่น เรายังรู้สึกว่าเหมือนการลงโทษที่เราไปคลอดลูกมา
* ทุกปีช่วงคริสต์มาส บริษัทจะแจก gift card ให้ลูกจ้าง เราทำงานตลอดทั้งปี จนลาคลอดวันที่ 14 ธันวาคม แต่ไม่เคยได้รับของขวัญเลย ไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆจาก C และเมื่อกลับมาทำงานก็ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้ เรามีสถานะเป็นลูกจ้าง ไม่ว่าเราจะลาป่วยหรือลาคลอด เราก็สมควรได้รับสิทธิ์
เราอดทนและคิดว่ามันอาจจะดีขึ้น และเราทำเพื่อเงิน อย่าไปใส่ใจ แต่เราทำไม่ได้ เราเครียด สามีก็บอกให้ขอชั่วโมงทำงานจากเขา ลองถามดีๆ เราค้านในใจว่า ไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิทธิ์ของเรา เราต้องได้รับโดยไม่มีการขอ เราดูตารางการทำงานทุกสัปดาห์ เห็นว่าเราได้ทำงานตามเปอร์เซ็นต์สัญญาจ้างเท่านั้น แต่คนอื่นที่ไม่มีสัญญาจ้างถาวรเลย กลับได้ทำมากกว่าเรา นี่คือความอดทนขั้นสุดท้าย เราติดต่อเพื่อนร่วมงาน ที่ลาป่วยไป เพราะเป็นมะเร็ง เราเรียกเขาว่า T นะคะ เราติดต่อเขามาตลอด เขาเองก็เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี การใช้อำนาจในทางที่ผิด และไม่เห็นด้วยหลายอย่าง เราบอก T ว่า เราจะติดต่อฝ่ายบุคคล เรื่องนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง T บอกเราว่าเราต้องรวบรวมเพื่อนร่วมงาน เรารวบรวมได้ 2 คน รวม T อีก ทั้งหมดก็เป็น 4 คน
เราติดต่อฝ่ายบุคคล เหมือนเป็นตัวแทนองค์กรในด้านความเชื่อถือในตัวหัวหน้า ในเดือนกันยายน 3 เดือนหลังกลับมาทำงาน เราเขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ โทรคุยกับเขาและบอกว่ายังมีลูกจ้างอีก 2 คนอยากจะคุยกับเขาด้วย เขาบอกว่าเขาสามารถมาเจอพวกเราได้ เราจึงนัดวัน นัดสถานที่คือในสวนที่บ้านเราเอง วันนั้นเราคุยกันสามชั่วโมง ลูกจ้าง 3 คน คุยกันทั้งหมดถึงปัญหาที่สะสมมานาน ฝ่ายบุคคลเล่าว่า มีคนโทรมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ หลายปีที่ผ่านมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เพราะคนที่โทรไม่ยอมทำอะไรต่อ เมื่อเขาขอข้อมูลมากขึ้น เพราะหลายคนกลัวผลกระทบ ฝ่ายบุคคลบอกว่า เขาจะติดต่อหัวหน้าเขาทันที และจะติดต่อเราเมื่อมีความคืบหน้า
ผ่านไป 1 สัปดาห์ เราได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคล เขาอยากนัดประชุมกับหัวหน้าของเขา และขอให้เราติดต่อ T เพื่อให้มาด้วยกัน เราตกลงนัดวันและสถานที่กัน ในวันนั้นมีเรา T หัวหน้าฝ่ายบุคคล ตัวแทนองค์กรและหัวหน้าประจำภูมิภาค ซึ่งเป็นหัวหน้าของ C อีกที เราประชุมกัน 2 ชั่วโมงกว่า T บอกเราว่า ให้ข้อมูลเขาให้มากที่สุด ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พอ T จะบอกเรื่องการใช้สารเสพติดในที่ทำงาน เป็นข้อมูลขั้นสุดที่เรามี ซึ่ง T ก็ได้ตัดสินใจบอกไป เพราะเรามาถึงขั้นประชุมกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะบอกทั้งหมด หลังจากประชุม ฝ่ายบุคคล คนที่เราติดต่อครั้งแรกบอกว่า มีโอกาส 90% ที่ C จะโดนย้าย เราดีใจมาก แต่ยังไม่ทั้งหมด เรารอและคิดไปสารพัด เราคิดในแง่บวก ว่าลูกจ้างรวมตัวกันขนาดนี้ และพฤติกรรมที่ส่งผลเสีย จากคนคนหนึ่งที่จะเป็นหัวหน้า ถ้าบริษัทจะเก็บไว้ เราก็คงเสียศรัทราในบริษัทมากๆ
ผ่านไปอีก1 สัปดาห์ วันจันทร์ เราจำได้ว่ากำลังแต่งตัวไปทำงานกะค่ำ ตอนบ่ายสองกว่าๆ ได้รับข้อความจากเพื่อนร่วมงานว่า C มาลา บอกว่าเขาให้ย้ายไปทำงานที่อื่น นาทีนั้นเรายังงงๆ ถามไปอีกรอบ เขาตอบมาว่า งงทำไม นี่ C มาลา จะไม่ทำงานที่นี่แล้ว เรากรี๊ดเสียงดังมากรีบคุยกับแฟนที่ทำงานอยู่ที่บ้าน โทรหา T เราสองคนกรี๊ดใส่โทรศัพท์แข่งกัน วันนั้นคือเรานอนไม่หลับเลย ไปทำงานก็ยิ้มเยอะมากๆ ยิ้มมาจากใจ
วันนั้นตอนค่ำ C ก็เขียนข้อความยาวเหยียดส่งมาในกลุ่มเฟซบุก ที่เอาไว้ใช้ติดต่อกันในกลุ่มลูกจ้าง เขียนสวยหรู ประมาณว่า ได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานอื่นที่ปฎิเสธไม่ได้ ตอนนั้นเราก็เชื่อนะคะ คิดว่าเขาแค่ย้าย C ไปที่อื่น แต่หลังจากเวลาผ่านมาสักระยะ เราได้ข่าวว่า C ถามหางานกับคนอื่นๆที่รู้จัก และก็ลาป่วยกินเงินจากรัฐตั้งแต่ถูกย้าย ซึ่งมันทำให้เรากับ T ฟันธงว่า C ไม่ได้แค่ถูกย้ายแน่ๆ แต่ถูกไล่ออกไปเลย การถูกไล่ออกฟ้าผ่าแบบนี้ ใครๆก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรง เพราะระดับหัวหน้า ถ้าได้งานใหม่ ต้องรออย่างน้อย 3 เดือน ถึงจะย้ายออกได้
เราก็ได้ยินมาจากหลายๆที่ค่ะ ว่า C เชื่อว่าเป็นเราที่เริ่มต้น ทำให้เขาถูกไล่ออก ถึงตอนนี้เราก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันไม่มีค่าสำหรับเราเลย เราได้ทำงานทุกวัน ได้หัวหน้างานใหม่ที่ผ่านการคัดกรองจากษริษัท ที่มีความยุติธรรม และเป็นมืออาชีพ ทุกวันนี้ไปทำงานแบบมีความสุขมากขึ้น
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ เรายังนึกดีใจที่เราตัดสินใจต่อสู้และติดต่อฝ่ายบุคคล แทนที่จะเป็นการไปขอชั่วโมงทำงานจากหัวหน้าที่เอาเปรียบลูกน้องและเหมือนเป็นโรคป่วยทางจิต เรื่องนี้สร้างเรื่องราวในหมู่ลูกจ้างพอสมควร แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเป็นความลับ บางคนยังงงๆเลยว่า อยู่ดีๆ C ก็หายไป แต่หลายคนก็พอใจมาก เพราะแบบที่เราเคยเป็นมันเละเทะมาก แทบจะไม่ใช่สถานที่ทำงานด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้ C ก็ป่วยยาวไปค่ะ ที่นอร์เวย์ ถ้าคุณป่วย ไม่ว่าทางจิตใจหรือร่างกาย จะได้รับเงินช่วยเหบือ มากที่สุด 1 ปี และประมาณ 66% ของเงินเดือนที่เคยได้ อันนี้เราไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ทางรัฐบาล เขาจ่ายเงินให้ เขาไม่ให้อยู่เฉยๆ เขาจะผลักดันให้หางาน ให้หาอะไรทำ ไม่ใช่รอแต่เงินฟรี หลังจาก 1 ปี ก็ไม่ได้รับเงินแล้วค่ะ
เราก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังอีกเยอะว่า C ไปสร้างเรื่องสวยหรูให้ตัวเอง ไปบอกครอบครัวว่า ได้งานใหม่ เป็นหัวหน้างาน ตอนนี้แค่ป่วยไปก่อน ชีวิตของ C ไม่เคยเป็นชีวิตค่ะ เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ครอบคัรวพ่อแม่ฟัง เพราสำหรับเขาทุกอย่างต้องสำเร็จ เขาต้องเป็นคนสำเร็จในทุกด้าน การลูกไล่ออก จึงเป็นเรื่องน่าอายอย่างมาก พ่อเขามาซื้อของที่ร้าน เจอลูกจ้างคนอื่น ก็บอกว่าไม่ยุติธรรม เขาเก่งจะตาย ทำรายได้ให้ร้านตั้งเยอะ เราก็แบบ หรอ แต่รายได้เนี่ยมันก็มาจากลูกจ้างแบบเราๆ ด้วยนะ แล้วเขาเคยเล่าบ้าไหมว่าเคยทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง
เรารู้สึกขอบคุณ T ที่ช่วยแนะนำตลอดและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ยืนข้างเดียวกัน แต่เขาก็ทนมานานเหมือนกัน และโดยเฉพาะฝ่ายบุคคลที่ยุติธรรมและทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เรารู้ว่าเขาอยู่ข้างลูกจ้างแบบเรา นั่นคืองานของเขา จึงทำให้เราตั้งใจว่า เมื่อมีคนอยู่ข้างเดียวกัน เราก็จะสู้ให้ถึงที่สุด
"เธอไม่จำเป็นต้องทำงาน 100%" แชร์ประสบการณ์ถูกหัวหน้าเอาเปรียบและการต่อสู้จนได้สิทธิ์ของตัวเองกลับคืนมา
เดือนมกราคม ปี 2018 เราไปถามงานที่ร้านค้าในเทศบาล เริ่มจากฝึกงาน ตอนนั้นได้รับค่าจ้างจากหน่วยงานสวัสดิการสังคม ชื่อ NAV วันละ 350 krones น้อยมาก แต่สามีก็บอกมีแต่ได้กับได้ ก็เลยอดทนทำต่อ 5 เดือนผ่านไป เราก็คุยกับนายจ้างว่า ต้องการเงินเดือนเต็ม เพราะเรียนรู้งานได้เกือบหมดแล้ว และภาษาก็พูดได้คล่อง ตอนนั้นได้ทำสัญญานายจ้างจ่าย 50% และอีก 50% จาก NAV จนสิ้นสุดปี 2018 นายจ้างก็จ่าย 100%
ร้านค้าที่เราทำงานนี้ เป็นร้านค้าในเครือบริษัทใหญ่ค่ะ หัวหน้างานเป็นมีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัท ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านค้าแต่อย่างใด และก็มีจะผู้ช่วยหัวหน้า ในร้านมีลูกจ้างประมาณ 20 กว่าคน
ตั้งแต่เราเริ่มทำงาน ที่สังเกตคือ หัวหน้ามาทำงาน นิดๆหน่อย เพื่อนที่ทำงานเล่าให้ฟังว่า ไม่มีใครเค้าทำกันหรอก ถึงจะมีงานเอกสารมากมาย แต่อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าหัวหน้าอยู่ไหน ที่เห็นทุกวันคือผู้ช่วยหัวหน้าค่ะ เราเรียกเค้าว่า C ในกระทู้นี้ละกันค่ะ เป็นผู้หญิงคนนอร์เวย์ อายุประมาณ 40 ปี โสด มาทำงานทุกวัน ทำทุกอย่างแทนหัวหน้าและมีอำนาจตัดสินใจหลายอย่าง จนเหมือนเป็นหัวหน้า
ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก็รู้สึกมาตลอดว่า ที่ทำงานนี้ภายใต้การเป็นหัวหน้าของ C มีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ในความคิดของเรา แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็มีความเห็นเดียวกัน
* C เป็นคนอารมณ์แปรปรวนง่าย ปากร้าย เวลาจะถามอะไรหรือแจ้งเรื่องสำคัญ ต้องคอยลุ้นอารมณ์เขาตลอด ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะเริ่มการสนทนา แม้ในเรื่องที่สำคัญ ชั่วโมงการทำงานไม่ครบ ทั้งๆที่เป็นสิทธิ์ของลูกจ้าง เขาก็พูดไม่ดีใส่ และผิดบ่อยมาก เราจึงไปติดต่อหัวหน้าคนที่ไม่ค่อยมาทำงานให้ช่วยลงให้มันถูกต้องแทน
* ไม่เคยมีระบบในที่ทำงาน ไม่เคยมีการวางแผนงาน ว่าใครจะทำอะไรวันนี้ ลูกจ้างบางคนยืนทำงานในแคชเชียร์ทั้งวัน โดยไม่มีคนมาเปลี่ยน ที่ถูกต้องคือ จะต้องมีการเปลี่ยนกันไปทำงานงานต่างๆ ตลอดกะ
* ลูกจ้างผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนโปรดของ C ผู้หญิงคนนี้เคยโขมยลอตเตอรี่แบบขูด ถูกจับได้และลาออก จากนั้นเขาติดต่อกลับมาของาน C ก็รับเขากลับมา ในระหว่างนั้น gขาก็โขมยเงินในตู้เซฟอีก ตอนนั้นไม่มีระบบที่ดี เกือบทุกคนรู้ว่ากุญแจตู้เซฟอยู่ไหน เรื่องโขมยเงินนี้ C เป็นคนเล่าให้เราฟังเอง เพราะเขาเช็คจากกล้องวงจรปิดได้ แต่เรื่องก็เงียบ เราก็ไม่สบายใจว่าทำไมหัวหน้าไม่ยอมทำอะไรในกรณีร้ายแรงแบบนี้ และทำไมรับคนที่มีประวัติโขมยกลับมาทำงาน ผู้หญิงคนนี้ได้เรียนรู้งานหลายอย่างจาก C ทุกอย่างเขาจะทำแทนได้ เมื่อ C ไปพักร้อน ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เพราะคนนี้มีประวัติโขมยของ แถมยังไม่มีความรู้หรือการศึกษาที่จะสามารถทำงานในตำแหน่งแทนหัวหน้าได้
ตอนปี 2020 หัวหน้าป่วย ต้องผ่าตัด และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถกลับมาทำงานได้ C จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชั่วคราว เราค้านในใจตั้งแต่ตอนรู้ข่าวเลยค่ะ
* ลูกจ้างบางคนทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ถือว่าผิดกฎหมายแรงงาน บางวันได้ทำงานแค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็กลับบ้าน ส่วนมากจะจ้างกัน 6 ชั่วโมงขึ้นไป เราเองก็ถูกให้ทำงาน 3 ชั่วโมง แต่ไม่ได้ท้วง เพราะถ้าใครไม่เห็นด้วยกับ C เขาก็จะโกรธและพูดว่าเขาเป็นคนมีอำนาจในการตัดสินใจ ให้ไปหางานที่อื่นได้เลย ลูกจ้างประจำจะต้องมีแผนการทำงานประจำ แต่ก็ถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อย โดยไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า
* รับคนทำงานใหม่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึกงานแบบเข้มข้น บางทีคนที่ทำงานเยอะมาก แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในที่ทำงาน
* หลายอย่างในที่ทำงานไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ เช่น หลอดไฟหลังร้านตรงที่เอาขยะไปทิ้งเสีย ก็ไม่ซ่อม และฤดูหนาวที่นี่ก็มืดมาก ทำให้เกิดอันตรายได้ น้ำรั่วก็ไม่แจ้งซ่อม ที่ร้านขายไก่ย่าง เม็ดน้ำยาสำหรับล้างเตาอบหมด ก็ไม่สั่ง ทั้งๆที่ลูกจ้างแจ้งไปหลายรอบ และเมื่อเตาไม่สะอาด มันจะมีผลต่อสุขอนามัยของอาหารที่ขาย
* ตอนปี 2019 เราและเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ได้แจ้งหัวหน้าฝ่ายบริหารเรื่อง ลูกจ้างคนหนึ่งที่มีพฤติกรรม หายไปจากที่ทำงานบ่อยๆ ไปทำธุระส่วนตัว เรื่องเป็นแบบนี้มาหลายปี โดยที่พวกหัวหน้าไม่ยอมทำอะไร การจแจ้งครั้งนี้มีผลให้ลูกจ้างคนนั้นได้รับการตักเตือนขั้นหนัก และเรารู้มาว่า C เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น หลายๆคนที่ทำงาน ว่าเราเป็นคนทำ มีคนบอกเราอย่างน้อย 2 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะการเป็นหัวหน้า จะต้องมีคุณสมบัติในการรักษาความลับด้วย
* เมษายน 2020 เราตั้งท้อง คลอดเดือนธันวาคม และลาคลอดจนถึง มิถุนายน 2021 เรากลับมาทำงาน หน้าที่งาน ในความรับผิดชอบของเรา ถูกเอาไปให้คนอื่นทำหมด และ C ลดจำนวนชั่วโมงทำงานของเราลง โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เราทำงานทุกวันตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มทำงาน เราบอกไปว่า เราเคยทำงาน 100% ทำไมเราถึงไม่ได้ C ตอบว่า "เธอไม่จำเป็นต้องทำงาน 100%" ประโยคนี้เราจำฝังใจมาก เขาลดเงินเดือนเราลง โดยไม่มีเหตุผลสมควรและไม่มีการแจ้ง ที่สำคัญเราเป็นลูกจ้างถาวร สัญญางาน 70% เมื่อมีชั่วโมงว่างเราต้องได้ก่อนลูกจ้างชั่วคราว แต่เขาเอาชั่วโมงไปให้คนอื่นหมด ลูกจ้างชั่วคราวบางคนทำงานเต็มสัปดาห์ แต่เราไม่ได้ ดูยังไงก็เหมือนจงใจ ตอนนั้นเราเครียดมาก เงินเดือนก็ลด ในที่ทำงานก็ไม่มีบรรยากาศที่ดีเลย
* พฤติกรรมของ C เมื่อมาที่ทำงาน ก็เอาแต่เดินคุย ดูดบุหรี่ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ในด้านหลังโกดัง มีแต่ของที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีการจัดเก็บ ไม่มีระบบอะไรทั้งนั้น ลูกจ้างยืนคุยกันนิดหน่อย ก็ไม่ได้ C เอาเรื่องราวของลูกจ้างไปพูดลับหลังให้ลูกจ้างคนอื่นฟัง เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ เขาใช้กัญชาในที่ทำงาน ลูกจ้างคนหนึ่งเล่าว่า C เคยเอากัญชาให้เขาในที่ทำงาน ลูกจ้างผู้หญิงหลายคนเคยประสบว่า C ปฎิบัติต่อเขาแบบไม่ยุติธรรมในความเป็นผู้หญิง หลายคนรู้สึกว่าการเป็นผู้ชายจะง่ายกว่า กรณีของเราที่ถูกเอางานที่เคยทำไปให้คนอื่น เรายังรู้สึกว่าเหมือนการลงโทษที่เราไปคลอดลูกมา
* ทุกปีช่วงคริสต์มาส บริษัทจะแจก gift card ให้ลูกจ้าง เราทำงานตลอดทั้งปี จนลาคลอดวันที่ 14 ธันวาคม แต่ไม่เคยได้รับของขวัญเลย ไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆจาก C และเมื่อกลับมาทำงานก็ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้ เรามีสถานะเป็นลูกจ้าง ไม่ว่าเราจะลาป่วยหรือลาคลอด เราก็สมควรได้รับสิทธิ์
เราอดทนและคิดว่ามันอาจจะดีขึ้น และเราทำเพื่อเงิน อย่าไปใส่ใจ แต่เราทำไม่ได้ เราเครียด สามีก็บอกให้ขอชั่วโมงทำงานจากเขา ลองถามดีๆ เราค้านในใจว่า ไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิทธิ์ของเรา เราต้องได้รับโดยไม่มีการขอ เราดูตารางการทำงานทุกสัปดาห์ เห็นว่าเราได้ทำงานตามเปอร์เซ็นต์สัญญาจ้างเท่านั้น แต่คนอื่นที่ไม่มีสัญญาจ้างถาวรเลย กลับได้ทำมากกว่าเรา นี่คือความอดทนขั้นสุดท้าย เราติดต่อเพื่อนร่วมงาน ที่ลาป่วยไป เพราะเป็นมะเร็ง เราเรียกเขาว่า T นะคะ เราติดต่อเขามาตลอด เขาเองก็เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี การใช้อำนาจในทางที่ผิด และไม่เห็นด้วยหลายอย่าง เราบอก T ว่า เราจะติดต่อฝ่ายบุคคล เรื่องนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง T บอกเราว่าเราต้องรวบรวมเพื่อนร่วมงาน เรารวบรวมได้ 2 คน รวม T อีก ทั้งหมดก็เป็น 4 คน
เราติดต่อฝ่ายบุคคล เหมือนเป็นตัวแทนองค์กรในด้านความเชื่อถือในตัวหัวหน้า ในเดือนกันยายน 3 เดือนหลังกลับมาทำงาน เราเขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ โทรคุยกับเขาและบอกว่ายังมีลูกจ้างอีก 2 คนอยากจะคุยกับเขาด้วย เขาบอกว่าเขาสามารถมาเจอพวกเราได้ เราจึงนัดวัน นัดสถานที่คือในสวนที่บ้านเราเอง วันนั้นเราคุยกันสามชั่วโมง ลูกจ้าง 3 คน คุยกันทั้งหมดถึงปัญหาที่สะสมมานาน ฝ่ายบุคคลเล่าว่า มีคนโทรมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ หลายปีที่ผ่านมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เพราะคนที่โทรไม่ยอมทำอะไรต่อ เมื่อเขาขอข้อมูลมากขึ้น เพราะหลายคนกลัวผลกระทบ ฝ่ายบุคคลบอกว่า เขาจะติดต่อหัวหน้าเขาทันที และจะติดต่อเราเมื่อมีความคืบหน้า
ผ่านไป 1 สัปดาห์ เราได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคล เขาอยากนัดประชุมกับหัวหน้าของเขา และขอให้เราติดต่อ T เพื่อให้มาด้วยกัน เราตกลงนัดวันและสถานที่กัน ในวันนั้นมีเรา T หัวหน้าฝ่ายบุคคล ตัวแทนองค์กรและหัวหน้าประจำภูมิภาค ซึ่งเป็นหัวหน้าของ C อีกที เราประชุมกัน 2 ชั่วโมงกว่า T บอกเราว่า ให้ข้อมูลเขาให้มากที่สุด ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พอ T จะบอกเรื่องการใช้สารเสพติดในที่ทำงาน เป็นข้อมูลขั้นสุดที่เรามี ซึ่ง T ก็ได้ตัดสินใจบอกไป เพราะเรามาถึงขั้นประชุมกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะบอกทั้งหมด หลังจากประชุม ฝ่ายบุคคล คนที่เราติดต่อครั้งแรกบอกว่า มีโอกาส 90% ที่ C จะโดนย้าย เราดีใจมาก แต่ยังไม่ทั้งหมด เรารอและคิดไปสารพัด เราคิดในแง่บวก ว่าลูกจ้างรวมตัวกันขนาดนี้ และพฤติกรรมที่ส่งผลเสีย จากคนคนหนึ่งที่จะเป็นหัวหน้า ถ้าบริษัทจะเก็บไว้ เราก็คงเสียศรัทราในบริษัทมากๆ
ผ่านไปอีก1 สัปดาห์ วันจันทร์ เราจำได้ว่ากำลังแต่งตัวไปทำงานกะค่ำ ตอนบ่ายสองกว่าๆ ได้รับข้อความจากเพื่อนร่วมงานว่า C มาลา บอกว่าเขาให้ย้ายไปทำงานที่อื่น นาทีนั้นเรายังงงๆ ถามไปอีกรอบ เขาตอบมาว่า งงทำไม นี่ C มาลา จะไม่ทำงานที่นี่แล้ว เรากรี๊ดเสียงดังมากรีบคุยกับแฟนที่ทำงานอยู่ที่บ้าน โทรหา T เราสองคนกรี๊ดใส่โทรศัพท์แข่งกัน วันนั้นคือเรานอนไม่หลับเลย ไปทำงานก็ยิ้มเยอะมากๆ ยิ้มมาจากใจ
วันนั้นตอนค่ำ C ก็เขียนข้อความยาวเหยียดส่งมาในกลุ่มเฟซบุก ที่เอาไว้ใช้ติดต่อกันในกลุ่มลูกจ้าง เขียนสวยหรู ประมาณว่า ได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานอื่นที่ปฎิเสธไม่ได้ ตอนนั้นเราก็เชื่อนะคะ คิดว่าเขาแค่ย้าย C ไปที่อื่น แต่หลังจากเวลาผ่านมาสักระยะ เราได้ข่าวว่า C ถามหางานกับคนอื่นๆที่รู้จัก และก็ลาป่วยกินเงินจากรัฐตั้งแต่ถูกย้าย ซึ่งมันทำให้เรากับ T ฟันธงว่า C ไม่ได้แค่ถูกย้ายแน่ๆ แต่ถูกไล่ออกไปเลย การถูกไล่ออกฟ้าผ่าแบบนี้ ใครๆก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรง เพราะระดับหัวหน้า ถ้าได้งานใหม่ ต้องรออย่างน้อย 3 เดือน ถึงจะย้ายออกได้
เราก็ได้ยินมาจากหลายๆที่ค่ะ ว่า C เชื่อว่าเป็นเราที่เริ่มต้น ทำให้เขาถูกไล่ออก ถึงตอนนี้เราก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันไม่มีค่าสำหรับเราเลย เราได้ทำงานทุกวัน ได้หัวหน้างานใหม่ที่ผ่านการคัดกรองจากษริษัท ที่มีความยุติธรรม และเป็นมืออาชีพ ทุกวันนี้ไปทำงานแบบมีความสุขมากขึ้น
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ เรายังนึกดีใจที่เราตัดสินใจต่อสู้และติดต่อฝ่ายบุคคล แทนที่จะเป็นการไปขอชั่วโมงทำงานจากหัวหน้าที่เอาเปรียบลูกน้องและเหมือนเป็นโรคป่วยทางจิต เรื่องนี้สร้างเรื่องราวในหมู่ลูกจ้างพอสมควร แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเป็นความลับ บางคนยังงงๆเลยว่า อยู่ดีๆ C ก็หายไป แต่หลายคนก็พอใจมาก เพราะแบบที่เราเคยเป็นมันเละเทะมาก แทบจะไม่ใช่สถานที่ทำงานด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้ C ก็ป่วยยาวไปค่ะ ที่นอร์เวย์ ถ้าคุณป่วย ไม่ว่าทางจิตใจหรือร่างกาย จะได้รับเงินช่วยเหบือ มากที่สุด 1 ปี และประมาณ 66% ของเงินเดือนที่เคยได้ อันนี้เราไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ทางรัฐบาล เขาจ่ายเงินให้ เขาไม่ให้อยู่เฉยๆ เขาจะผลักดันให้หางาน ให้หาอะไรทำ ไม่ใช่รอแต่เงินฟรี หลังจาก 1 ปี ก็ไม่ได้รับเงินแล้วค่ะ
เราก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังอีกเยอะว่า C ไปสร้างเรื่องสวยหรูให้ตัวเอง ไปบอกครอบครัวว่า ได้งานใหม่ เป็นหัวหน้างาน ตอนนี้แค่ป่วยไปก่อน ชีวิตของ C ไม่เคยเป็นชีวิตค่ะ เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ครอบคัรวพ่อแม่ฟัง เพราสำหรับเขาทุกอย่างต้องสำเร็จ เขาต้องเป็นคนสำเร็จในทุกด้าน การลูกไล่ออก จึงเป็นเรื่องน่าอายอย่างมาก พ่อเขามาซื้อของที่ร้าน เจอลูกจ้างคนอื่น ก็บอกว่าไม่ยุติธรรม เขาเก่งจะตาย ทำรายได้ให้ร้านตั้งเยอะ เราก็แบบ หรอ แต่รายได้เนี่ยมันก็มาจากลูกจ้างแบบเราๆ ด้วยนะ แล้วเขาเคยเล่าบ้าไหมว่าเคยทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง
เรารู้สึกขอบคุณ T ที่ช่วยแนะนำตลอดและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ยืนข้างเดียวกัน แต่เขาก็ทนมานานเหมือนกัน และโดยเฉพาะฝ่ายบุคคลที่ยุติธรรมและทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เรารู้ว่าเขาอยู่ข้างลูกจ้างแบบเรา นั่นคืองานของเขา จึงทำให้เราตั้งใจว่า เมื่อมีคนอยู่ข้างเดียวกัน เราก็จะสู้ให้ถึงที่สุด