พริตตี้สาวที่ป่าช้าหลังวัดร้าง
(เรื่องออกแนวหวิวนิด ๆ คุณผู้อ่านอาจต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้จินตนาการในการอ่าน)
โดย ล. วิลิศมาหรา
ฉันชื่อมิ้นต์ค่ะ อายุเพิ่งย่างเข้าสิบเก้าปี ฉันทำงานเป็นพริตตี้ไปด้วย เรียน กศน. ไปด้วย จนจบ ม. 6 มาหมาด ๆ เพราะความที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะดีอะไรมาก พ่อทำงานขับรถส่งของ แม่เป็นแม่บ้านให้องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดแถวภาคอีสาน ฉันเลยไม่ได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา แต่ทำงานหารายได้มาช่วยเลี้ยงครอบครัวอีกแรงหนึ่ง
งานปัจจุบันค่อนข้างหายาก พอดีฉันเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ก็เลยทำงานเป็นพริตตี้ค่ะ รับทั้งงานถ่ายแบบ งานโปรโมทสินค้า บางทีก็ไปเป็นโคโยตี้ และรับงานเอนเตอร์เทนไปด้วย ต้องเดินทางขึ้นล่องตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นประจำ ตอนไปก็มีพักตามโรงแรมบ้าง พักรีสอร์ทบ้าง ตามแต่ผู้จัดงานจะหาให้ เวลาไปพักตามโรงแรมก็เคยเจอประสบการณ์ประหลาด มีทั้งเสียงทั้งเงา บางทีก็เป็นกลิ่น ได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพบ้าง กลิ่นธูปเทียนเหมือนอยู่ในงานศพบ้าง แต่ฉันไม่มีทางเลือก เพราะมันจำเป็นต้องพึ่งพาการพักในโรงแรม สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่ทั้งแปลกและชวนสยองอย่างที่สุด สำหรับการพักในโรงแรมของฉันเลยค่ะ
ครั้งหนึ่งฉันรับงานพริตตี้ในจังหวัดหนึ่ง เราไปกันหลายคน มีฉัน พี่แป๋ว อ้อย แหวน รวมสี่คน เข้าพักในที่พักซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็ก อยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานที่คนจัดงานหาไว้ให้ ตอนนั้นเราไปถึงเกือบค่ำแล้ว หลังหาข้าวเย็นกินเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน เราพักกันเป็นคู่ อ้อยพักกับแหวน ส่วนฉันพักกับพี่แป๋ว แต่คืนนั้นพี่แป๋วที่มีเพื่อนเป็นคนจังหวัดนี้ ได้นัดกันกับเพื่อนไปเที่ยวข้างนอกต่อ ฉันพออาบน้ำเสร็จก็สวมชุดนอนเป็นเสื้อยืดกับกางเกงนอนขาสั้น เปิดวิดีโอคอลคุยกับแฟนจนถึงเวลาประมาณสักห้าทุ่มได้ ก็ปิดไฟเข้านอน
ตอนปิดไฟนอนนั้นเอง ที่ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องมันดูแปลกพิกล ความจริงโรงแรมนี้มันก็มีอะไรแปลกหลายอย่าง เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ไกลจากถนนใหญ่ ทางเข้าเป็นซอยค่อนข้างเปลี่ยว ภายในโรงแรมดูเหมือนไม่ค่อยมีคนมาพัก นอกจากคนที่ไปรับเรามาจากท่ารถ กับพนักงานที่เคาน์เตอร์และในห้องอาหารของโรงแรมแล้ว เราไม่เจอแขกคนอื่นอีกเลย ลอบบี้โรงแรมดูสะอาดสะอ้านดี ตกแต่งพอใช้ได้ แต่บรรยากาศภายในโรงแรมนี่สิ ที่ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยดีแบบอธิบายไม่ถูก มันเย็น ๆ ดูเงียบวังเวงผิดปกติ ตอนมาถึงที่นี่ก่อนจะเข้าไปเช็กอิน ดูเหมือนต้นโมกที่ปลูกเป็นแนวสองข้างรั้วโรงแรมสั่นไหว โดยไม่มีลมพัดมาเลย พวกเรามองสบตากัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดมาก คิดว่าอาจมีตัวอะไรวิ่งผ่านไปก็ได้
เพราะความง่วงประกอบกับความอ่อนเพลีย ทำให้ไม่นานฉันก็หลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ มาสะดุ้งตื่นอีกทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกผีอำ พอจะขยับตัวปรากฏว่าขยับตัวไม่ได้...ได้แต่นอนหงายลืมตาจ้องมองเพดาน พยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไป แต่มองอะไรได้เพียงสลัว ไม่เห็นชัดนัก เหลือบแลไปทางเตียงพี่แป๋ว พอมองเห็นได้ว่าเตียงยังว่าง แสดงว่าพี่แป๋วยังไม่กลับเข้าห้อง
(มีต่อ)
ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง...พริตตี้สาวที่ป่าช้าหลังวัดร้าง (เรื่องสั้นติดเรท)
ฉันชื่อมิ้นต์ค่ะ อายุเพิ่งย่างเข้าสิบเก้าปี ฉันทำงานเป็นพริตตี้ไปด้วย เรียน กศน. ไปด้วย จนจบ ม. 6 มาหมาด ๆ เพราะความที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะดีอะไรมาก พ่อทำงานขับรถส่งของ แม่เป็นแม่บ้านให้องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดแถวภาคอีสาน ฉันเลยไม่ได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา แต่ทำงานหารายได้มาช่วยเลี้ยงครอบครัวอีกแรงหนึ่ง
งานปัจจุบันค่อนข้างหายาก พอดีฉันเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ก็เลยทำงานเป็นพริตตี้ค่ะ รับทั้งงานถ่ายแบบ งานโปรโมทสินค้า บางทีก็ไปเป็นโคโยตี้ และรับงานเอนเตอร์เทนไปด้วย ต้องเดินทางขึ้นล่องตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นประจำ ตอนไปก็มีพักตามโรงแรมบ้าง พักรีสอร์ทบ้าง ตามแต่ผู้จัดงานจะหาให้ เวลาไปพักตามโรงแรมก็เคยเจอประสบการณ์ประหลาด มีทั้งเสียงทั้งเงา บางทีก็เป็นกลิ่น ได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพบ้าง กลิ่นธูปเทียนเหมือนอยู่ในงานศพบ้าง แต่ฉันไม่มีทางเลือก เพราะมันจำเป็นต้องพึ่งพาการพักในโรงแรม สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่ทั้งแปลกและชวนสยองอย่างที่สุด สำหรับการพักในโรงแรมของฉันเลยค่ะ
ครั้งหนึ่งฉันรับงานพริตตี้ในจังหวัดหนึ่ง เราไปกันหลายคน มีฉัน พี่แป๋ว อ้อย แหวน รวมสี่คน เข้าพักในที่พักซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็ก อยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานที่คนจัดงานหาไว้ให้ ตอนนั้นเราไปถึงเกือบค่ำแล้ว หลังหาข้าวเย็นกินเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน เราพักกันเป็นคู่ อ้อยพักกับแหวน ส่วนฉันพักกับพี่แป๋ว แต่คืนนั้นพี่แป๋วที่มีเพื่อนเป็นคนจังหวัดนี้ ได้นัดกันกับเพื่อนไปเที่ยวข้างนอกต่อ ฉันพออาบน้ำเสร็จก็สวมชุดนอนเป็นเสื้อยืดกับกางเกงนอนขาสั้น เปิดวิดีโอคอลคุยกับแฟนจนถึงเวลาประมาณสักห้าทุ่มได้ ก็ปิดไฟเข้านอน
ตอนปิดไฟนอนนั้นเอง ที่ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องมันดูแปลกพิกล ความจริงโรงแรมนี้มันก็มีอะไรแปลกหลายอย่าง เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ไกลจากถนนใหญ่ ทางเข้าเป็นซอยค่อนข้างเปลี่ยว ภายในโรงแรมดูเหมือนไม่ค่อยมีคนมาพัก นอกจากคนที่ไปรับเรามาจากท่ารถ กับพนักงานที่เคาน์เตอร์และในห้องอาหารของโรงแรมแล้ว เราไม่เจอแขกคนอื่นอีกเลย ลอบบี้โรงแรมดูสะอาดสะอ้านดี ตกแต่งพอใช้ได้ แต่บรรยากาศภายในโรงแรมนี่สิ ที่ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยดีแบบอธิบายไม่ถูก มันเย็น ๆ ดูเงียบวังเวงผิดปกติ ตอนมาถึงที่นี่ก่อนจะเข้าไปเช็กอิน ดูเหมือนต้นโมกที่ปลูกเป็นแนวสองข้างรั้วโรงแรมสั่นไหว โดยไม่มีลมพัดมาเลย พวกเรามองสบตากัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดมาก คิดว่าอาจมีตัวอะไรวิ่งผ่านไปก็ได้
เพราะความง่วงประกอบกับความอ่อนเพลีย ทำให้ไม่นานฉันก็หลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ มาสะดุ้งตื่นอีกทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกผีอำ พอจะขยับตัวปรากฏว่าขยับตัวไม่ได้...ได้แต่นอนหงายลืมตาจ้องมองเพดาน พยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไป แต่มองอะไรได้เพียงสลัว ไม่เห็นชัดนัก เหลือบแลไปทางเตียงพี่แป๋ว พอมองเห็นได้ว่าเตียงยังว่าง แสดงว่าพี่แป๋วยังไม่กลับเข้าห้อง
(มีต่อ)