JJNY : โควิดดันหนี้ครัวเรือนพุ่งต่อ│สุดารัตน์เข้าพบมิตต์ รอมนีย์│โอดเจ้าพระยาท่วมสวนกล้วยไข่│ก.ก.เล็งชงสูตร MMP ชั้นกมธ.

โควิด-19 ฉุดรายได้ ดันหนี้ครัวเรือนพุ่งต่อ
https://www.thansettakij.com/money_market/497143
  
 
กูรูประสานเสียง 3 ปัจจัย “รายได้ลด สินเชื่อใหม่โต หนี้เก่าเข้าพักชำระ กดดันหนี้ครัวเรือนเพิ่มต่อเนื่อง กสิกรระบุ ไตรมาส 2 ยอดหนี้เร่งตัวขึ้น 4.8% สงกว่าการเร่งตัวของไตรมาสแรก ทีทีบี หนุนมาตรการรวมหนี้ ช่วยลดภาระดอกเบี้ย ค่ายอีไอซีห่วงทั้งหนี้ในและนอกระบบ
  
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจไทยซบเซาต่อเนื่อง นอกจากสะท้อนจากยอดขายสินค้า บริการ และคนตกงานแล้ว หลายสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างสะท้อนมุมมองของโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะเลื่อนออกไปอีก 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางโจทย์ท้าทายของรายได้ในตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มลดลง 20-30% แถมมีโอกาสที่คนจะตกงานนานขึ้น  ออกจากระบบแรงงานสู่การทำงานอิสระมากขึ้น ส่วนทางภาวะหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัย กสิกรไทย จำกัดเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนของไทยไตรมาส 2 จะมียอดคงค้างที่ 14.250 ล้านล้านบาท เติบโตเร่งตัวขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมียอดคงค้างที่ 14.128 ล้านล้านบาท
 
ทั้งนี้ เป็นผลจากมีหนี้ของรายย่อยเข้ามาตรการช่วยเหลือหรือปรับโครงสร้าง และมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออุปโภคบริโภค ทำให้ยอดคงค้างหนี้ใหม่ยังโต ขณะที่หนี้เก่าชำระคืนน้อยลง จากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน 
 
สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี แนวโน้มย่อลงมาอยู่ที่ไม่ประมาณไม่เกิน 90% ต่อจีดีพี จาก 90.5% ในไตรมาส 1 จากการที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเลข (Nominal GDP) ไตรมาส 2 โต 10.7% ซึ่งสูงกว่าตลาดคาด
  
“แม้ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนจะโตเร่งขึ้น แต่ Nominal GDP โตในอัตราสูงกว่า จึงคาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะย่อลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 90% ของจีดีพี แต่แนวโน้มไตรมาส 3 หนี้ครัวเรือนจะวกกลับมาเพิ่มขึ้นอีก จากโมเมนตัมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจากโควิดต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังเพิ่มขึ้น” นางสาวกาญจนากล่าว
 
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics กล่าวว่า ทีทีบีคาดการณ์ว่า ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอาจปรับเพิ่มเป็น 93.0% ต่อจีดีพีในสิ้นปี 2564 ซึ่งไตรมาส 2 และ 3 ยังเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดสินเชื่อส่วนบุคคลยังเติบโต ซึ่งหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหารายได้หด ยังไม่กลับมา ภาระหนี้เดิมไม่ได้ชำระ เพราะมีการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ แต่ครัวเรือนยังต้องการสภาพคล่อง ฉะนั้นหนี้ยังเพิ่มขึ้นต่อ ขณะที่การจะทำให้ตัวเลขจีดีพีเติบโตกว่าหนี้ครัวเรือนก็เป็นเรื่องยาก
 
ดังนั้น แนวทางการปรับโครงสร้างหนี้หรือการรวมหนี้น่า จะทำให้หนี้ไม่ขยายตัวใหญ่ขึ้น แต่ในทางปฎิบัติการหนี้เติบโตในระบบดีกว่าให้คนออกไปโตหนี้นอกระบบ ซึ่งในแง่ของการเพิ่มรายได้ ต้องรอสถานการณ์หลังคลายล็อกดาวน์ ซึ่งต้องใช้เวลา ถ้าเริ่มควบคุมโควิดได้ ไม่กลับมาล็อกดาวน์อีกรอบ จะเห็นการกลับมาของรายได้ ซึ่งต้องประคองไม่ให้กลับมาล็อกดาวน์อีก
 
“หนี้ครัวเรือนยังเป็นประเด็นต้องเร่งปรับโครงสร้างหนี้ หรือรวมหนี้ให้เร็วขึ้น โดยการปรับโครงสร้างหนี้นั้นไม่ใช่ทุกครั้งจะลดยอดหนี้เสมอไป แต่เป็นการลดภาระการผ่อน คือ เป็นการยืดเทอมลดภาระผ่อนให้ลูกหนี้ไปไหวเพื่อรอรายได้กลับมา ซึ่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ต้องอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเปิดประเทศได้” นายนริศกล่าว
 
ส่วนการรวมหนี้นั้น คนกังวลจะเสียหลักประกัน  ถ้าภาครัฐมีกลไกลดความกังวล เช่น ค้ำประกันส่วนเพิ่ม40%เพื่อให้คนและแบงก์สบายใจที่จะทำเพราะการรวมหนี้จะช่วยเหลือได้มากกว่าการลดดอกเบี้ย  เพราะดอกเบี้ยของหนี้ที่รวมแล้วจะลดไปครึ่งหนึ่ง  เช่น เดิมดอกเบี้ยอยู่ที่ 18%ต่อปีอาจจะเหลือแค่ 6-7% ต่อปีและระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้ายังได้พักชำระด้วย
 
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัญญาณการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อภาคครัวเรือน โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล สะท้อนความเดือดร้อนเรื่องสภาพคล่อง ขณะที่กูเกิลเทรนด์ยังพบว่า มีการค้นหาคำว่า “เงินด่วน” “เงินร้อน” อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดดังนั้น ประเด็นที่น่ากังวล หนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบต่อรายได้ยังมีแนวโน้มสูง เพราะรายได้ลดลง โดยหนี้เพิ่มขึ้นทั้งในระบบและหนี้นอกระบบ
  
“กังวลว่า ภายหลังจบมาตรการพักหนี้แล้ว งบดุลของภาคครัวเรือน ส่วนหนึ่งอาจจะแย่ลง เพราะยังจำเป็นกู้หนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ” ดร.ยรรยงกล่าว
 
ทั้งนี้ อีไอซีประเมินว่า หนี้ครัวเรือนซึ่งเป็น 1 ใน 3 แผลเป็นทางเศรษฐกิจ คือ ภาคธุรกิจปิดกิจการ ตลาดแรงงานเปราะบางและหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงนั้น มีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อเนื่อง จากไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 90.5% เพราะจีดีพีของครึ่งหลังปีนี้จะติดลบโดยมองว่าสิ้นปีจะเห็นหนี้ครัวเรือนขยับเป็น 92%ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรง


 
สุดารัตน์ เข้าพบ มิตต์ รอมนีย์ ขอวัคซีน mRNA ให้ท้องถิ่น-เอกชนไทย
https://www.prachachat.net/politics/news-768305
 
สุดารัตน์เดินสายการเมือง พบ “มิตต์ รอมนีย์” แห่ง “ริพับลิกัน” ช่วยสนับสนุนวัคซีน mRNA ให้ไทย
 
วันที่ 24 กันยายน 2564 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า 
 
มาอเมริกาครั้งนี้ ได้มีโอกาสได้พบหารือกับ ท่านวุฒิสมาชิก มิตต์ รอมนีย์ แห่งรัฐยูทาห์ ท่านเป็นอดีตผู้ว่าการรัฐเมสซาชูเซตส์ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ของพรรคริพับลิกัน เมื่อปี 2012
 
โดยได้หารือถึงความร่วมมือ ในด้านการค้า การลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ และในภูมิภาค โดยเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด ที่ประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาแนวทางที่จะส่งเสริมการค้าระหว่างกัน
  
รวมทั้งความร่วมมือในการต่อสู้กับ COVID-19 ทั้งด้านข้อมูล องค์ความรู้ วัคซีน และยา โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนที่สหรัฐกำลังพัฒนาวัคซีน mRNA ในรุ่น 2 เพื่อต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์ โดยดิฉันได้กล่าวถึง เอกชน และท้องถิ่นของไทยหลายแห่ง มีความพร้อม และประสงค์จะซื้อวัคซีน mRNA ที่ FDA สหรัฐ รับรองอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เพื่อไปฉีดให้พนักงานของแต่ละบริษัท และประชาชนในแต่ละท้องถิ่น โดยใช้เงินของท้องถิ่นเอง จึงฝากท่าน ส.ว. มิตต์ รอมนีย์ ช่วยสนับสนุนการจัดหาวัคซีนให้หน่วยงานท้องถิ่น รวมทั้งเอกชนไทยด้วย
  
https://www.facebook.com/sudaratofficial/posts/4372592382819521
 


เกษตรกรโอด เจ้าพระยาเอ่อท่วมสวนกล้วยไข่ เสียหายหนัก กระทบส่งออก
https://www.matichon.co.th/region/news_2956593
 
เมื่อวันที่ 24 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากช่วงนี้ฝนตกต่อเนื่องทางภาคเหนือของไทย ทำให้แม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา ที่รับน้ำเหนือจากแม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน มีปริมาณสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดแม่น้ำเจ้าพระยาได้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 3 ตำบลตะเคียนเลื่อน อำเภอเมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นพื้นลุ่มต่ำที่ชาวบ้านปลูกกล้วยไข่ กล้วยหอม ส่งออกนอกจำนวนมากได้รับผลกระทบ น้ำที่ท่วมสร้างความเสียหายให้สวนกล้วยไข่แล้วจำนวนหลายร้อยไร่
 
นายบุญสม มีสอนอายุ 57 ปี เป็นเจ้าของสวนกล้วยไข่จำนวน 10 ไร่ ตำบลตะเคียนเลื่อน เปิดเผยว่า ฝนที่ตกติดต่อช่วงนี้ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มต่อเนื่อง จนเมื่อคืนที่ผ่านมาระดับแม่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นเกือบ 1 เมตร ทำให้น้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมสวนกล้วยไข่ ซึ่งกำลังตกเครือกำลังจะเก็บผลผลิตได้ไม่กี่สัปดาห์ ครอบครัวกังวลมากไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าหากน้ำท่วมแช่กล้วยนาน 3-4 วัน ต้นกล้วยจะล้มเสียหาย เพราะว่าพื้นที่สวนกล้วยเป็นดินทราย ช่วงเช้าที่ผ่านมาวันนี้จึงตัดสินใจช่วยกันตัดกล้วยที่พอจะตัดได้นำไปขายก่อน และเร่งขุดหน่อกล้วยไว้เพื่อนำไปขยายพันธ์ต่อไป
 
นายบุญสม ยังกล่าวอีกว่า ปีนี้ลงทุนทำกล้วยไข่กล้วยหอมทอง เพื่อส่งขายนอกประเทศทั้ง 10 ไร่ ลงทุนไปนับแสนบาทแต่น้ำท่วมปีนี้น่าจะขาดทุน 100% เวลานี้ความหวังเดียวคือขอเงินชดเชยจากรัฐบาลบ้าง จึงไปแจ้งขอความช่วยเหลือไว้แล้วที่ อบต.ตะเคียนเลื่อน
 
อย่างไรก็ตามนอกจากชาวสวนกล้วยไข่แล้ว น้ำยังเริ่มท่วมส่งผลกระทบกับชาวบ้านที่ปลูกผักสวนครัว สวนมะละกอ พริก มะเขือ ถั่วฟักยาว ที่ปลูกไว้ตามริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาเสียหายหลายสิบไร่ และมีบ้านเรือนประชาชนริมแม่น้ำกว่า 10 หลังคาเรือนกำลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่