ได้ฟังคำร่ำลือ เรื่องอุณหภูมิเครื่อง (น้ำหล่อเย็น) / อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ของ City 1.0 Turbo รุ่นนี้ค่อนข้างสูง จนมาเจอกับตัวเอง ตอนเอารถไปทำเบรค ที่ร้านพี่เสว แล้ว แกหยิบ OBD2 มาเสียบ ตอนลองรถกัน
วันนั้นที่ลอง คือ แถวดาวคะนอง นี่แหละ ฝนตกปรอยๆบางจุด รถไม่เยอะ บางช่วงวิ่งได้ถึง 100 กม./ช.ม.
อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ วิ่งระหว่าง 99 - 105 องศา
อุณหภูมิเครื่อง 101 - 105 องศา
สูงแบบน่าสยองดีจัง
สยองเพราะ Nissan เวลาใช้ CVTz50 ดูอุณหภูมิน้ำมันเกียร์กันนั้น เกิน 90 องศา App ก็โชว์ว่า Hot ค่า Deterior ก็นับละ เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่า ทำไมพวก Jazz GK หรือ CITY ตัวที่แล้ว ตลอดจน HRV มันขยันพังกันจัง โดยเฉพาะหลังแสนกม.เนี่ย
ซึ่ง Nissan เอง พอ Almera Turbo ออกมา ก็ติดแผง Oil Cooler มาให้ (Sylphy ผลิตบ้านเรา ขายมาเลย์ มีแผง Oil ให้ แต่ขายคนไทย บ้านเกิด ตัดทิ้ง !!) แต่ City Turbo ไม่มีแฮะ
พอดี ใช้คันนี้บ่อยๆ ก็เริ่มชอบ ตรงที่ มันประหยัดน้ำมันดีจัง ขับทางไกล วิ่ง 100 - 110 รถไม่ติดนี่ ระดับ 20 - 21 กม./ลิตรสบายๆ (จากหน้าจอ ของจริง ลบไป 1 กม./ลิตร) เลยเริ่มคิดเผื่อว่า ถ้าจะเอามันไปไต่ดอย มันจะรอดป่าวหว่า ???
เลือกรุ่น / ราคา แผง Oil Cooler
- เรื่องร้าน คงไม่ใช่ประเด็น ยังไงก็ติดร้านเดิม ที่ติดให้ Pulsar อยู่ละ งานได้มาตรฐาน อุปกรณ์ต่างๆใช้ของคุณภาพดี ก็เหลือรุ่น ว่าจะติดตัวไหนดี ? ซึ่งมันต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งติดตั้งด้วย โดยตำแหน่งที่เหมาะสม จะเป็นช่วงกระจังหน้า ใต้คิ้วโครเมี่ยมกระจังนั่นแหละ เพราะอยู่สูง โอกาสไปคร่อมหิน หรือ สิ่งแปลกปลอม แล้วกระแทกแตกก็น้อย
- รุ่นที่จะลงได้ ความสูง ต้องไม่เกิน 100 มม. ครับ ซึ่งผมก็ไล่ดู Clip ที่เค้าติดแล้ววัด Temp กัน (ผมตั้งเป้า Temp ต้องไม่เกิน 80 องศานะ)
1. Setrab STD613 ... แผงขนาด 13 ชั้น ค่า BTU 12,000 .. อันนี้ คันที่ติด Temp จะอยู่แถวๆ 85 องศา ตัวนี้ จบที่ 12,500 บาท
- แต่ ... จากประสบการณ์ใน pulsar วิ่งปกติ 78 - 82 องศา แต่พอเจอรถติด แบบทางด่วนหลังเลิกงาน แป้บเดียว พวกไป 95 องศาละ (แต่ Pulsar ผมไม่ได้ตัด warmer ออกนะ ดังนั้น อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นที่ขึ้นไป 94 - 95 องศา ก็มีผล) เลยมองว่า ถ้าเผื่อเจ้าของรถเอามาใช้ตอนรถติดๆ มันจะเอาไม่อยู่
2. Setrab SLM420-10 ... แผง 10 ชั้น แต่ยาวเกือบเต็มหน้ากระจัง ค่า BTU 22,000 .. คันนี้ที่เค้าทดสอบ กดกัน 170 - 180 Temp ยังนิ่งๆที่ 75 องศาเลย (Pulsar ถ้าเกิน 160 นี่ ขยับไปใกล้ 90 องศาละ .. Pulsar ใช้แผงไต้หวันของร้านเอง) แต่แน่นอน ราคา 19,500 บาทนะ
กะให้จบ เผื่อไต่เขา ยังไง ก็ต้องเล่นตัวแพงล่ะเนอะ
เตรียมของเหลว
- รถยังใหม่มาก วิ่งไปแค่ 2,XXX กม.เท่านั้น ดังนั้น พวกของเหลวทั้งหมด ผมก็ยืนยันที่จะใช้ของศูนย์เท่านั้นครับ ข้ามยี่ห้อไปเดี๋ยวลำบากตอนถ่าย กับ วุ่นวายเรื่อง warranty ด้วย
- เนื่องจาก ต้องถอด warmer (ตัวที่ทำหน้าที่อุ่นน้ำมันเกียร์ โดยใช้น้ำจากหม้อน้ำ เข้ามาวน แลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำมันเกียร์ .. คันนี้เป็นแบบ 2 ทาง เพราะไม่มีแผง Oil Cooler มาแบบ Pulsar DIG ดังนั้น ถ้าจะติด Oil Cooler จึงจำเป็นต้องถอด Warmer ออกครับ กับ อีกประเด็นก็คือ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น มันเกิน 100 องศาตลอดเวลา ถ้าไม่ถอด ต่อให้ใส่แผงเทพแค่ไหน ก็เจอน้ำหม้อน้ำ มาทำน้ำมันเกียร์ร้อนอยู่ดีแหละ จริงไหม ?)
สิ่งที่ต้องเตรียม (ถามจากทางร้านก่อนติด)
1. น้ำมันเกียร์ CVT HCF-2 จำนวน 2 ลิตรๆละ 190.50 บาท (ไม่รวม Vat)
2. น้ำหล่อเย็น Type II จำนวน 2 ลิตรๆละ 170 บาท (ไม่รวม Vat) .. แนะนำเตรียม 3 ลิตร นะครับ เดี๋ยวมาบอก ตอนหลัง
ติดตั้ง
- ร้านเดิม Hybrid Auto Car แถวรังสิต คลอง 3 ครับ ไปถึงตั้งแต่ก่อนร้านเปิด ตามสไตล์อยู่ละ
- ขึ้นเขียง แยกชิ้นส่วน (ซึ่งถ้ารถ HONDA นะ ทำใจเลยว่า ถอดกันชนเมื่อไหร่ กันชนห้อย แน่นอน .. คันนี้ ฝั่งคนขับ "ตก" ตั้งแต่ก่อนติดละ) .. คานกันชนหน้า / หัวต่อแซสซีส์ มันหนา และ ใหญ่กว่า รถยุคก่อนเยอะนะ

- ตำแหน่งติดตั้ง

- หน้าตาแบบนี้ เรียกว่า Warmer .. ถ้าเป็นแบบมีแผง Oil Cooler จากโรงงาน จะมีท่อออกมา 4 ท่อ ครับ (ท่ออยู่ข้างล่างนะ พอดีจับกลับหัว)

- ใส่ Adapter ตัวนี้แทน
ลองใช้งาน
- ใช้เวลาติดตั้งไปสัก 2 ช.ม.เศษ คงเพราะเค้าเคยติดตั้งรถรุ่นนี้มาละ เลยคุ้นเคยหน่อย ผิดกับตอน Pulsar คันนั้นไม่ค่อยคุ้น แถมยังให้ใส่ค้ำโช้คอีก มาคันแรก กลับ คันสุดท้ายเลย 55+
พอดี ผมยังไม่มีเกจ์ OBD2 นะ ขอเวลาทำใจซื้อก่อน ใน Pulsar / CRV นี่หลักร้อย อันนี้หลายพันเลย
- ถามเรื่องความต่าง เรื่องฟิลลิ่ง บอกตรงๆว่า ไม่รู้สึก ไม่แตกต่างใดๆนะ เดี๋ยวรอมีเกจ์ แล้วจับตัวเลขมาดูอีกทีดีกว่า ที่แน่ๆมันลงอยู่แล้วล่ะ ซึ่งมันก็จะไปส่งผลต่ออายุของน้ำมันเกียร์ และ เกียร์ อย่างเจ้า Pulsar เนี่ย วิ่ง 2 หมื่นกม. ไต่เขาที่เชียงรายด้วย ถ่ายน้ำมันออกมา ใสแจ๋วเลย น้ำมันไม่เปลี่ยนสีเลยครับ (ในขณะที่รถรุ่นเดียวกัน ไม่เหลือแล้ว ที่ 2 หมื่นกม. ดำสนิทละ)
ข้อควรระวัง
- ออกจากร้านมา ก็เอาไปติดฟิล์มกันรอยภายใน / ภายนอก ใหม่ (เพราะรับไม่ได้กับฝีมือตัวเอง) อยู่แถวๆนั้นแหละ ห่างไปไม่เกิน 2 กม. (ให้ติดฟิล์มกันรอย พวกจับล้างให้เรียบร้อยเลย .. แต่จริงๆไม่ชอบนะ เดี๋ยวขนแมวขึ้น ชอบล้างเองมากกว่า)

- เอะใจยังไงไม่รู้ เปิดฝากระโปรงหน้าดูหน่อย แล้วก็ สะดุ้งสุดตัว ..

- เฮ้ยย น้ำในหม้อพัก หายไปไหนวะ .. ดูท้ายรถ คืนมาแค่ กระป๋องน้ำมันเกียร์เกือบๆครึ่งลิตร .. โทร.กลับไปที่ร้านว่า ได้เติมน้ำหม้อน้ำให้ไหม ? ช่างยืนยันว่า เติม เติมหมด 2 ขวด ตอนเติมมันก็เต็ม ติดเครื่องตั้งนานก็ไม่ลด
อ่อ โอเค ได้ยินก็สบายใจ .. สบายใจเพราะทีแรก นึกว่า ลืมเติมไง ถ้าลืมนี่ ขาดเยอะเลย งานจะเข้าเอา (แต่เมื่อกี้ ขับมา ไฟก็ไม่โชว์นะ .. ข้อเสีย ของรถไม่มีมาตรวัดความร้อน ไม่ติดเกจ์ OBD2)
- ขยับดูกระป๋องพักน้ำ มีเหลือติดก้นอยู่หน่อย .. เลยถาม พนง ที่ร้านติดกันรอยว่า "ศูนย์ HONDA ที่ใกล้ที่สุด อยู่ที่ไหน" ซึ่งเค้างแจ้งว่า ห่างไปอีก 2 กม.เศษ โอเค คิดว่า "รอด" เลยไม่เอาน้ำเปล่าเติม ให้เสียของ
- ถึงศูนย์ ก็เบิกน้ำยา แล้วให้ SA เติมให้เรียบร้อย เติมแล้วก็ติดเครื่องพักนึง ลงไปอีกหน่อย สรุปเติมไป 3 / 4 ลิตร ครับ จากนั้นก็ขับไปทำธุระ จอดรถทิ้งอีก 4 - 5 ช.ม. ก่อนจะกลับปราจีน เปิดฝากระโปรงดูอีกที .. ระดับน้ำลงมาเหลือที่ Min อีกละ เลยเอาที่เหลือเติมเพิ่มไป ก็จะขึ้นมาเลย Max นิดนึง จากนั้นก็ขับกลับปราจีน เมื่อเช้าเช็คอีกที ลงมาที่ Max พอดี ก้มดูใต้ท้อง ไม่มีร่องรอยการรั่วซึมใดๆ
อธิบายแบบนี้ครับ ...
- ตอนถอด warmer น้ำยาหล่อเย็น มันจะไหลออก (เพราะอย่างที่บอก มันเอาน้ำจากหม้อน้ำ มาแลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำมันเกียร์) พออุดท่ออะไรเรียบร้อย มันก็กลายเป็นมีอากาศในระบบ ดังนั้น พอเติมน้ำให้เต็มถังพัก มันก็เต็มแหละ แต่พอรถวิ่ง น้ำหมุนวนในระบบ อากาศที่ค้างถูกดันออกจากระบบ น้ำก็ลงไปแทนที่ น้ำเลยลดไง
- ใครเคยถ่ายน้ำหม้อน้ำเอง ก็จะทราบดีว่า ปกติ .. ยิ่งถ้าพวกขี้เกียจ(แบบผม) ไล่ที สองที วาล์วน้ำเปิดรอบเดียว แล้วก็จบ ช่วงอาทิตย์แรกที่ใช้รถ ก็ต้องดูน้ำในถังพักบ่อยหน่อย เพราะมันจะหายบ่อย แล้วเดี๋ยวมันก็นิ่งเอง
เอวัง ด้วยประการฉะนี้แหละ
* * * ทีแรก post ใน FB ของกลุ่มรถรุ่นนี้ กลุ่มนึง ไม่อนุมัติ post ผมแฮะ สงสัย ไปทำใครเสียผลประโยชน์แน่เลย แว้บๆ มีเจ้าประจำ post ขายอยู่ 55 * * *

..................
ปล. แถมอีกอัน ...
ปัญหา โอโม่ (CR-V G3) เบรคหน้าติด
1. เอะใจเรื่องความหนา จานเบรค เลยวัดดูหยาบๆด้วยไม้บรรทัด
- หน้า ต่ำสุด 26 มม. / วัดได้ 24 มม.
- หลัง ต่ำสุด 7.5 มม. / วัดได้ 5 มม.
ไม่ติดให้มันรู้ไป หุหุ (จริงๆรู้ว่า จานบาง เพราะร่องที่จานหน้าหายเกือบหมดละ แถมเคยเจียร์มารอบนึงแล้ว แต่ดื้อไม่เปลี่ยน เพราะ "กะว่า" จะเปลี่ยนรถไง ไม่อยากลงทุน)
2. ก่อน O/H ครั้งสุดท้าย เมื่อเกือบ 3 ปีก่อน (นั่นก็บางแล้วนะ) ผมเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ 4 ล้อ ผ้ามันหนาไง เลยชดเชยกันไป ลูกสูบไม่ดันออกมามาก .. แต่รอบนี้ ปีใหม่ ดันไปลง ภูหลงถัง ผ้าเบรคหายไปแยะ ร่องที่จาน จากลางๆ ก็หายเกือบหมด มันเลยติดไง
3. จะเปลี่ยนรถ .. งบก็ได้แค่ CR-V / Forester .. เปลี่ยนแล้วได้รถ class เดิม ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม ได้มา ก็เสียตังค์ทำเบรค ทำช่วงล่าง อีกเยอะ ถึงจะดีเท่าคันนี้ ... ครั้นจะโดดไปตัวแพง XC40 / X1 20d / Outbcak / UX / IS300h ก็ไม่มีงบ (รอผ่อน pulsar หมดก่อน)
4. สรุปว่า ขอครั้งสุดท้ายล่ะนะ .. เอาให้จบนะ
- สั่งจาน Dixcel Type SD ใหม่ หน้า-หลัง ของเข้า 20 มิถุนานี้
- ระหว่างนี้ สั่งจาน Brembo OEM หน้า-หลัง 4 พันกว่าบาท มาใส่สำรองก่อน (ให้รถมันวิ่งได้) เดี๋ยว Dxicel มา ค่อยถอดไปใส่ รถน้องสาว คันนั้น 2 แสนกม.ละ คงบางเหมือนกัน
- เบรคติด จะเปลี่ยนชุดซ่อม ก็กลัวไม่จบอีก แบบที่เคยเป็นมา กัดฟันละกัน ยกชุดกันไป คาลิปเปอร์ 4 ล้อ / สายอ่อนเบรค 4 ล้อ เหลือเดิมแค่ ผ้าเบรค ที่ยังหนาเกิน 50%
เห็นในเสนอราคาแล้ว เดินตัวลอยๆยังไงไม่รู้ หุหุ
พอดี คาลิปเปอร์หลังติด Back order ไว้ของมาค่อยเข้าไปเปลี่ยน .. ปีทีแล้ว โดนค่าซ่อมไปแสนฝ่าๆ (มีแร็คพวงมาลัย 4 หมื่นกว่า / โช้คอีก 2 หมื่น / ส่วนควบโช้ค 8พัน / ไดชาร์จ 2 หมื่น ที่เหลือจุกๆจิก) ปีนี้ กะเบาๆสักหน่อย จัดมาซะหนักเชียว .. รอตรู มีตังค์ ก่อนนะ "นังโอโม่" หึหึ
ลืมใส่ ดาว แฮะ แก้ไม่ได้แล้วด้วย
…………
อัพเดท
ไปติดเกจ์ cag มาละ
ลองวิ่ง นนทบุรี / รัชดาภิเษก / พระราม9 / พัฒนาการ การจราจรเยอะ มีติดบ้าง อุณหภูมิ อยู่ 73 - 76 องศาครับ
ถือว่า นิ่งมาก ถ้าเทียบกับ pulsar ที่ใส่แผง hybrid ครับ

ทีนี้ลองวิ่งทางไกลมั่ง .. เส้นมอเตอร์เวย์นี่แหละ รถไม่เยอะ วิ่งกัน 100 - 110 กม/ช.ม.
ช่วงแรก .. outsite temp 38 องศา (บ่ายสาม) cvt temp อยู่ 70 องศา นิ่งๆ ไม่ขยับ
ช่วงสอง .. ออกฉะเชิงเทราละ ไล่จาก บางคล้า ไปจนถึง นิคม 304 วิ่งยาวๆ รถไม่ติด ฟ้าเริ่มครึ้ม ข้างนอกเหลือ 31 - 32 องศา cvt temp ลงมา 66 - 67 องศา
จากเดิม ที่ลองตอนก่อนติด Oil Cooler คือ 99 - 105 องศา ในวันฝนตกนะครับ
[CR] * * * หาเรื่องซน ... ติด Oil Cooler ให้เกียร์ CVT City HB กันครับ * * *
วันนั้นที่ลอง คือ แถวดาวคะนอง นี่แหละ ฝนตกปรอยๆบางจุด รถไม่เยอะ บางช่วงวิ่งได้ถึง 100 กม./ช.ม.
อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ วิ่งระหว่าง 99 - 105 องศา
อุณหภูมิเครื่อง 101 - 105 องศา
สูงแบบน่าสยองดีจัง
สยองเพราะ Nissan เวลาใช้ CVTz50 ดูอุณหภูมิน้ำมันเกียร์กันนั้น เกิน 90 องศา App ก็โชว์ว่า Hot ค่า Deterior ก็นับละ เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่า ทำไมพวก Jazz GK หรือ CITY ตัวที่แล้ว ตลอดจน HRV มันขยันพังกันจัง โดยเฉพาะหลังแสนกม.เนี่ย
ซึ่ง Nissan เอง พอ Almera Turbo ออกมา ก็ติดแผง Oil Cooler มาให้ (Sylphy ผลิตบ้านเรา ขายมาเลย์ มีแผง Oil ให้ แต่ขายคนไทย บ้านเกิด ตัดทิ้ง !!) แต่ City Turbo ไม่มีแฮะ
พอดี ใช้คันนี้บ่อยๆ ก็เริ่มชอบ ตรงที่ มันประหยัดน้ำมันดีจัง ขับทางไกล วิ่ง 100 - 110 รถไม่ติดนี่ ระดับ 20 - 21 กม./ลิตรสบายๆ (จากหน้าจอ ของจริง ลบไป 1 กม./ลิตร) เลยเริ่มคิดเผื่อว่า ถ้าจะเอามันไปไต่ดอย มันจะรอดป่าวหว่า ???
เลือกรุ่น / ราคา แผง Oil Cooler
- เรื่องร้าน คงไม่ใช่ประเด็น ยังไงก็ติดร้านเดิม ที่ติดให้ Pulsar อยู่ละ งานได้มาตรฐาน อุปกรณ์ต่างๆใช้ของคุณภาพดี ก็เหลือรุ่น ว่าจะติดตัวไหนดี ? ซึ่งมันต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งติดตั้งด้วย โดยตำแหน่งที่เหมาะสม จะเป็นช่วงกระจังหน้า ใต้คิ้วโครเมี่ยมกระจังนั่นแหละ เพราะอยู่สูง โอกาสไปคร่อมหิน หรือ สิ่งแปลกปลอม แล้วกระแทกแตกก็น้อย
- รุ่นที่จะลงได้ ความสูง ต้องไม่เกิน 100 มม. ครับ ซึ่งผมก็ไล่ดู Clip ที่เค้าติดแล้ววัด Temp กัน (ผมตั้งเป้า Temp ต้องไม่เกิน 80 องศานะ)
1. Setrab STD613 ... แผงขนาด 13 ชั้น ค่า BTU 12,000 .. อันนี้ คันที่ติด Temp จะอยู่แถวๆ 85 องศา ตัวนี้ จบที่ 12,500 บาท
- แต่ ... จากประสบการณ์ใน pulsar วิ่งปกติ 78 - 82 องศา แต่พอเจอรถติด แบบทางด่วนหลังเลิกงาน แป้บเดียว พวกไป 95 องศาละ (แต่ Pulsar ผมไม่ได้ตัด warmer ออกนะ ดังนั้น อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นที่ขึ้นไป 94 - 95 องศา ก็มีผล) เลยมองว่า ถ้าเผื่อเจ้าของรถเอามาใช้ตอนรถติดๆ มันจะเอาไม่อยู่
2. Setrab SLM420-10 ... แผง 10 ชั้น แต่ยาวเกือบเต็มหน้ากระจัง ค่า BTU 22,000 .. คันนี้ที่เค้าทดสอบ กดกัน 170 - 180 Temp ยังนิ่งๆที่ 75 องศาเลย (Pulsar ถ้าเกิน 160 นี่ ขยับไปใกล้ 90 องศาละ .. Pulsar ใช้แผงไต้หวันของร้านเอง) แต่แน่นอน ราคา 19,500 บาทนะ
กะให้จบ เผื่อไต่เขา ยังไง ก็ต้องเล่นตัวแพงล่ะเนอะ
เตรียมของเหลว
- รถยังใหม่มาก วิ่งไปแค่ 2,XXX กม.เท่านั้น ดังนั้น พวกของเหลวทั้งหมด ผมก็ยืนยันที่จะใช้ของศูนย์เท่านั้นครับ ข้ามยี่ห้อไปเดี๋ยวลำบากตอนถ่าย กับ วุ่นวายเรื่อง warranty ด้วย
- เนื่องจาก ต้องถอด warmer (ตัวที่ทำหน้าที่อุ่นน้ำมันเกียร์ โดยใช้น้ำจากหม้อน้ำ เข้ามาวน แลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำมันเกียร์ .. คันนี้เป็นแบบ 2 ทาง เพราะไม่มีแผง Oil Cooler มาแบบ Pulsar DIG ดังนั้น ถ้าจะติด Oil Cooler จึงจำเป็นต้องถอด Warmer ออกครับ กับ อีกประเด็นก็คือ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น มันเกิน 100 องศาตลอดเวลา ถ้าไม่ถอด ต่อให้ใส่แผงเทพแค่ไหน ก็เจอน้ำหม้อน้ำ มาทำน้ำมันเกียร์ร้อนอยู่ดีแหละ จริงไหม ?)
สิ่งที่ต้องเตรียม (ถามจากทางร้านก่อนติด)
1. น้ำมันเกียร์ CVT HCF-2 จำนวน 2 ลิตรๆละ 190.50 บาท (ไม่รวม Vat)
2. น้ำหล่อเย็น Type II จำนวน 2 ลิตรๆละ 170 บาท (ไม่รวม Vat) .. แนะนำเตรียม 3 ลิตร นะครับ เดี๋ยวมาบอก ตอนหลัง
ติดตั้ง
- ร้านเดิม Hybrid Auto Car แถวรังสิต คลอง 3 ครับ ไปถึงตั้งแต่ก่อนร้านเปิด ตามสไตล์อยู่ละ
- ขึ้นเขียง แยกชิ้นส่วน (ซึ่งถ้ารถ HONDA นะ ทำใจเลยว่า ถอดกันชนเมื่อไหร่ กันชนห้อย แน่นอน .. คันนี้ ฝั่งคนขับ "ตก" ตั้งแต่ก่อนติดละ) .. คานกันชนหน้า / หัวต่อแซสซีส์ มันหนา และ ใหญ่กว่า รถยุคก่อนเยอะนะ
- ตำแหน่งติดตั้ง
- หน้าตาแบบนี้ เรียกว่า Warmer .. ถ้าเป็นแบบมีแผง Oil Cooler จากโรงงาน จะมีท่อออกมา 4 ท่อ ครับ (ท่ออยู่ข้างล่างนะ พอดีจับกลับหัว)
- ใส่ Adapter ตัวนี้แทน
ลองใช้งาน
- ใช้เวลาติดตั้งไปสัก 2 ช.ม.เศษ คงเพราะเค้าเคยติดตั้งรถรุ่นนี้มาละ เลยคุ้นเคยหน่อย ผิดกับตอน Pulsar คันนั้นไม่ค่อยคุ้น แถมยังให้ใส่ค้ำโช้คอีก มาคันแรก กลับ คันสุดท้ายเลย 55+
พอดี ผมยังไม่มีเกจ์ OBD2 นะ ขอเวลาทำใจซื้อก่อน ใน Pulsar / CRV นี่หลักร้อย อันนี้หลายพันเลย
- ถามเรื่องความต่าง เรื่องฟิลลิ่ง บอกตรงๆว่า ไม่รู้สึก ไม่แตกต่างใดๆนะ เดี๋ยวรอมีเกจ์ แล้วจับตัวเลขมาดูอีกทีดีกว่า ที่แน่ๆมันลงอยู่แล้วล่ะ ซึ่งมันก็จะไปส่งผลต่ออายุของน้ำมันเกียร์ และ เกียร์ อย่างเจ้า Pulsar เนี่ย วิ่ง 2 หมื่นกม. ไต่เขาที่เชียงรายด้วย ถ่ายน้ำมันออกมา ใสแจ๋วเลย น้ำมันไม่เปลี่ยนสีเลยครับ (ในขณะที่รถรุ่นเดียวกัน ไม่เหลือแล้ว ที่ 2 หมื่นกม. ดำสนิทละ)
ข้อควรระวัง
- ออกจากร้านมา ก็เอาไปติดฟิล์มกันรอยภายใน / ภายนอก ใหม่ (เพราะรับไม่ได้กับฝีมือตัวเอง) อยู่แถวๆนั้นแหละ ห่างไปไม่เกิน 2 กม. (ให้ติดฟิล์มกันรอย พวกจับล้างให้เรียบร้อยเลย .. แต่จริงๆไม่ชอบนะ เดี๋ยวขนแมวขึ้น ชอบล้างเองมากกว่า)
- เอะใจยังไงไม่รู้ เปิดฝากระโปรงหน้าดูหน่อย แล้วก็ สะดุ้งสุดตัว ..
- เฮ้ยย น้ำในหม้อพัก หายไปไหนวะ .. ดูท้ายรถ คืนมาแค่ กระป๋องน้ำมันเกียร์เกือบๆครึ่งลิตร .. โทร.กลับไปที่ร้านว่า ได้เติมน้ำหม้อน้ำให้ไหม ? ช่างยืนยันว่า เติม เติมหมด 2 ขวด ตอนเติมมันก็เต็ม ติดเครื่องตั้งนานก็ไม่ลด
อ่อ โอเค ได้ยินก็สบายใจ .. สบายใจเพราะทีแรก นึกว่า ลืมเติมไง ถ้าลืมนี่ ขาดเยอะเลย งานจะเข้าเอา (แต่เมื่อกี้ ขับมา ไฟก็ไม่โชว์นะ .. ข้อเสีย ของรถไม่มีมาตรวัดความร้อน ไม่ติดเกจ์ OBD2)
- ขยับดูกระป๋องพักน้ำ มีเหลือติดก้นอยู่หน่อย .. เลยถาม พนง ที่ร้านติดกันรอยว่า "ศูนย์ HONDA ที่ใกล้ที่สุด อยู่ที่ไหน" ซึ่งเค้างแจ้งว่า ห่างไปอีก 2 กม.เศษ โอเค คิดว่า "รอด" เลยไม่เอาน้ำเปล่าเติม ให้เสียของ
- ถึงศูนย์ ก็เบิกน้ำยา แล้วให้ SA เติมให้เรียบร้อย เติมแล้วก็ติดเครื่องพักนึง ลงไปอีกหน่อย สรุปเติมไป 3 / 4 ลิตร ครับ จากนั้นก็ขับไปทำธุระ จอดรถทิ้งอีก 4 - 5 ช.ม. ก่อนจะกลับปราจีน เปิดฝากระโปรงดูอีกที .. ระดับน้ำลงมาเหลือที่ Min อีกละ เลยเอาที่เหลือเติมเพิ่มไป ก็จะขึ้นมาเลย Max นิดนึง จากนั้นก็ขับกลับปราจีน เมื่อเช้าเช็คอีกที ลงมาที่ Max พอดี ก้มดูใต้ท้อง ไม่มีร่องรอยการรั่วซึมใดๆ
อธิบายแบบนี้ครับ ...
- ตอนถอด warmer น้ำยาหล่อเย็น มันจะไหลออก (เพราะอย่างที่บอก มันเอาน้ำจากหม้อน้ำ มาแลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำมันเกียร์) พออุดท่ออะไรเรียบร้อย มันก็กลายเป็นมีอากาศในระบบ ดังนั้น พอเติมน้ำให้เต็มถังพัก มันก็เต็มแหละ แต่พอรถวิ่ง น้ำหมุนวนในระบบ อากาศที่ค้างถูกดันออกจากระบบ น้ำก็ลงไปแทนที่ น้ำเลยลดไง
- ใครเคยถ่ายน้ำหม้อน้ำเอง ก็จะทราบดีว่า ปกติ .. ยิ่งถ้าพวกขี้เกียจ(แบบผม) ไล่ที สองที วาล์วน้ำเปิดรอบเดียว แล้วก็จบ ช่วงอาทิตย์แรกที่ใช้รถ ก็ต้องดูน้ำในถังพักบ่อยหน่อย เพราะมันจะหายบ่อย แล้วเดี๋ยวมันก็นิ่งเอง
เอวัง ด้วยประการฉะนี้แหละ
* * * ทีแรก post ใน FB ของกลุ่มรถรุ่นนี้ กลุ่มนึง ไม่อนุมัติ post ผมแฮะ สงสัย ไปทำใครเสียผลประโยชน์แน่เลย แว้บๆ มีเจ้าประจำ post ขายอยู่ 55 * * *
..................
ปล. แถมอีกอัน ...
ปัญหา โอโม่ (CR-V G3) เบรคหน้าติด
1. เอะใจเรื่องความหนา จานเบรค เลยวัดดูหยาบๆด้วยไม้บรรทัด
- หน้า ต่ำสุด 26 มม. / วัดได้ 24 มม.
- หลัง ต่ำสุด 7.5 มม. / วัดได้ 5 มม.
ไม่ติดให้มันรู้ไป หุหุ (จริงๆรู้ว่า จานบาง เพราะร่องที่จานหน้าหายเกือบหมดละ แถมเคยเจียร์มารอบนึงแล้ว แต่ดื้อไม่เปลี่ยน เพราะ "กะว่า" จะเปลี่ยนรถไง ไม่อยากลงทุน)
2. ก่อน O/H ครั้งสุดท้าย เมื่อเกือบ 3 ปีก่อน (นั่นก็บางแล้วนะ) ผมเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ 4 ล้อ ผ้ามันหนาไง เลยชดเชยกันไป ลูกสูบไม่ดันออกมามาก .. แต่รอบนี้ ปีใหม่ ดันไปลง ภูหลงถัง ผ้าเบรคหายไปแยะ ร่องที่จาน จากลางๆ ก็หายเกือบหมด มันเลยติดไง
3. จะเปลี่ยนรถ .. งบก็ได้แค่ CR-V / Forester .. เปลี่ยนแล้วได้รถ class เดิม ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม ได้มา ก็เสียตังค์ทำเบรค ทำช่วงล่าง อีกเยอะ ถึงจะดีเท่าคันนี้ ... ครั้นจะโดดไปตัวแพง XC40 / X1 20d / Outbcak / UX / IS300h ก็ไม่มีงบ (รอผ่อน pulsar หมดก่อน)
4. สรุปว่า ขอครั้งสุดท้ายล่ะนะ .. เอาให้จบนะ
- สั่งจาน Dixcel Type SD ใหม่ หน้า-หลัง ของเข้า 20 มิถุนานี้
- ระหว่างนี้ สั่งจาน Brembo OEM หน้า-หลัง 4 พันกว่าบาท มาใส่สำรองก่อน (ให้รถมันวิ่งได้) เดี๋ยว Dxicel มา ค่อยถอดไปใส่ รถน้องสาว คันนั้น 2 แสนกม.ละ คงบางเหมือนกัน
- เบรคติด จะเปลี่ยนชุดซ่อม ก็กลัวไม่จบอีก แบบที่เคยเป็นมา กัดฟันละกัน ยกชุดกันไป คาลิปเปอร์ 4 ล้อ / สายอ่อนเบรค 4 ล้อ เหลือเดิมแค่ ผ้าเบรค ที่ยังหนาเกิน 50%
เห็นในเสนอราคาแล้ว เดินตัวลอยๆยังไงไม่รู้ หุหุ
พอดี คาลิปเปอร์หลังติด Back order ไว้ของมาค่อยเข้าไปเปลี่ยน .. ปีทีแล้ว โดนค่าซ่อมไปแสนฝ่าๆ (มีแร็คพวงมาลัย 4 หมื่นกว่า / โช้คอีก 2 หมื่น / ส่วนควบโช้ค 8พัน / ไดชาร์จ 2 หมื่น ที่เหลือจุกๆจิก) ปีนี้ กะเบาๆสักหน่อย จัดมาซะหนักเชียว .. รอตรู มีตังค์ ก่อนนะ "นังโอโม่" หึหึ
ลืมใส่ ดาว แฮะ แก้ไม่ได้แล้วด้วย
…………
อัพเดท
ไปติดเกจ์ cag มาละ
ลองวิ่ง นนทบุรี / รัชดาภิเษก / พระราม9 / พัฒนาการ การจราจรเยอะ มีติดบ้าง อุณหภูมิ อยู่ 73 - 76 องศาครับ
ถือว่า นิ่งมาก ถ้าเทียบกับ pulsar ที่ใส่แผง hybrid ครับ
ทีนี้ลองวิ่งทางไกลมั่ง .. เส้นมอเตอร์เวย์นี่แหละ รถไม่เยอะ วิ่งกัน 100 - 110 กม/ช.ม.
ช่วงแรก .. outsite temp 38 องศา (บ่ายสาม) cvt temp อยู่ 70 องศา นิ่งๆ ไม่ขยับ
ช่วงสอง .. ออกฉะเชิงเทราละ ไล่จาก บางคล้า ไปจนถึง นิคม 304 วิ่งยาวๆ รถไม่ติด ฟ้าเริ่มครึ้ม ข้างนอกเหลือ 31 - 32 องศา cvt temp ลงมา 66 - 67 องศา
จากเดิม ที่ลองตอนก่อนติด Oil Cooler คือ 99 - 105 องศา ในวันฝนตกนะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้