........( ตัดสินใจ )........
.........ผมชื่อมานะ เป็นครูใหม่ที่เริ่มเก่าแห่งบ้านปลายนา ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเรียกผมว่าครูมานะเวลาเจอกัน บางคนเรียก “ครู” เฉย ๆ ด้วยความคุ้นเคย มีคนเดียวที่เรียกผมไม่เหมือนใคร และเวลาเขาเรียกตอนใกล้ค่ำผมต้องหันกลับไปมองข้างหลังทุกที
วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นวันนี้ผมจึงมีเวลามากกว่าทุกวันเพราะงานสามารถยกไปทำเสาร์อาทิตย์ได้ไม่ต้องเร่งเหมือนวันธรรมดา ผมจึงนั่งแช่อยู่กับคณะลุงจนค่ำ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นค่อย ๆ แยกย้ายไปทีละคนจนเหลือลุงมิ่งกับลุงน้อยซึ่งอยู่ยงคงกระพันกว่าใครสาเหตุสำคัญคือลุงทั้งคู่ไม่มีเมีย เลยไม่มีใครมาคอยต้อนกลับเหมือนพวกลุงดำ
เรื่องมานั่งร่วมวงกับลุง ๆ ทั้งหลายนี้ ใหม่ ๆ ชาวบ้านพากันมองว่าผมเป็นคนขี้เมา แต่พอนาน ๆ เข้าถึงได้รู้ว่าผมเมาน้ำเปล่าอย่างเดียว และถ้าจะนับกันขวดต่อขวดละก็คะแนนผมนำพวกลุงอยู่หลายช่วงตัว เรียกว่าบางวันผมซัดไปสองขวดแล้วของพวกลุงขวดเดียวยังไม่หมดเลย ลุงผู้ใหญ่เลยได้สมาชิกคอน้ำเปล่ามาหนึ่งคนและต้องสั่งมาสำรองไว้ให้ผมทีละโหลในวันที่รถส่งของเข้ามา
จะว่าไปแล้วโอ่งแดงใบใหญ่ที่บ้านพักครูก็มี น้ำฝนในนั้นใสเย็นและเต็มโอ่งปรี่ทั้งสามใบ แต่จะให้หิ้วน้ำจากบ้านมานั่งกินในร้านค้าผมว่ามันดูแปลก ๆ พิกล อีกอย่างลุงผู้ใหญ่คิดผมในราคาทุนไม่ได้ขายเท่าร้านทั่วไปในเมือง และคนอื่น ๆ ที่นี่เขาก็ไม่ได้ซื้อน้ำกินกัน เลยเหมือนกับผมซื้อจากรถส่งแล้วฝากไว้ที่ร้านเพื่อเก็บไว้กินเองคนเดียว
“ครูสมบูรณ์ ”
ผมสะดุ้งโหยงทั้ง ๆ ที่เคยได้ยินเสียงนี้มาหลายครั้ง เจ้าตั้มนั่นเองไม่มีใคร พอเรียกแล้วเขาก็ยิ้มแยกเขี้ยวให้พร้อมกับเดินเข้าป่ากระเพราหายไป ปล่อยผมมองซ้ายมองขวาอย่างหวาด ๆ ก่อนเอ่ยถามลุงมิ่งที่กำลังยกขวดขึ้นส่องมองน้ำใส ๆ ในนั้นว่าจะรินได้อีกสองครั้งหรือไม่อย่างไรขณะลุงน้อยคลำกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงเมื่อเจอแล้วจึงทำท่าโล่งใจก่อนมองไปตรงเจ้าตั้มหายเข้าไปอีกที
“หน้าผมเหมือนครูสมบูรณ์มากเลยเหรอลุง”
ลุงมิ่งไม่ได้ฟังเพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสั่งขวดใหม่ดีหรือเปล่า เพราะฟ้ามืดไปครู่ใหญ่แล้วถ้าสั่งมาใหม่และเริ่มเปิดตอนนี้เวลาก็จะยาวออกไปอีกเป็นชั่วโมง ลุงน้อยมองหน้าผมอยู่อึดใจก่อนพูดออกมาแทนลุงมิ่งซึ่งยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“ไม่เหมือนเท่าไร ครูสมบูรณ์แก่”
ผมอมยิ้มส่ายหน้าไปมาก่อนมองลุงน้อยแล้วพูดออกไป
“เอาที่ชัดกว่านี้หน่อยสิลุง แก่น่ะรู้แล้วผมรุ่นน้องครูสมบูรณ์ตั้งหลายปี แต่ที่อยากรู้เพราะเจ้าตั้มเจอผมทีไรเรียกชื่อนี้ทุกที”
“เอาก็เอา ผู้ใหญ่ขออีกขวด”
เสียงลุงมิ่งแทรกขึ้นมาทำผมหันมองแล้วต้องกลั้นหัวเราะเมื่อลุงแกมองมาทำหน้า งง ๆ ลุงน้อยทำเสียงขลุกขลักในลำคอแบบขำ ๆ ก่อนพูดกระเซ้าออกไป
“ครูเค้าถามเป็นงานเป็นการ แกก็เนาะ”
ลุงมิ่งได้ยินพลางโยกตัวหลบลุงผู้ใหญ่ซึ่งถือขวดเหล้าเดินมาที่โต๊ะพร้อมกับมองมาทางผมอย่างแปลกใจ พอลุงผู้ใหญ่วางขวดไว้บนโต๊ะแล้วเดินกลับไปลุงมิ่งจึงโยกกลับมานั่งตัวตรงแล้วมองหน้าผมขณะมือคว้าขวดไปดึงเปิดฝาพร้อมกับเอ่ยถามออกมา
“ครูว่าไงนะไม่ทันได้ยิน”
ผมมัวหัวเราะในลำคออยู่ ลุงน้อยจึงตอบออกไปแทน
“ก็ไอ้ตั้มมันเจอครูมานะทีไรมันเรียกครูสมบูรณ์ทุกที ครูเลยสงสัยว่าหน้าเค้าเหมือนครูสมบูรณ์หรือเปล่า”
ลุงมิ่งมองหน้าผมขณะมือขวาถือขวดและมือซ้ายถือแก้วค้างนิ่งพลางเอ่ยออกมา
“ไม่เหมือนเท่าไร ครูสมบูรณ์แก่”
พูดจบลุงก็ก้มหน้าเทเหล้าใส่แก้วแล้วส่งให้ลุงน้อยซึ่งรับไปหัวเราะไปจนเหล้ากระฉอกรายทางกว่าจะถึงตรงหน้าแก ลุงมิ่งมองหน้าลุงน้อยกับผมสลับกันไปมาพลางยิ้มเก้อ ๆ แล้วยกมือลูบหัวตัวเองก่อนเอ่ยออกมา
“เออ ๆ เอาแก้วมาเดี๋ยวจะคุยให้ฟัง”
ลุงน้อยได้ยินจึงยกแก้วนิ่งอยู่ใต้คางครู่หนึ่งรอจนหยุดหัวเราะได้จึงกระดกจนหมดแล้วยื่นแก้วให้ลุงมิ่งขณะส่งเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ
“คืองี้ ครูสมบูรณ์น่ะมีศักดิ์เป็นพี่เขยไอ้ตั้มมัน”
ผมมองลุงมิ่งอย่างสนใจขณะแกรินเหล้าใส่แก้วตัวเองยกถือค้างไว้แล้วมองมาทางผมก่อนพูดต่อไป
“ครูสมบูรณ์มาเป็นครูใหม่ ๆ ก็ยังหนุ่มอย่างครูนี่แหละ......”
ลุงมิ่งหยุดพูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อนวางแก้วเปล่าลงแล้วมองหน้าผมซึ่งจ้องอยู่ขณะเสียงลุงน้อยแทรกขึ้นมา
“โอ้ย วนไปวนมาหนุ่ม ๆ แก่ ๆ อยู่นั่นแหละ ครูไม่รู้เรื่องกันพอดี ครูสมบูรณ์เค้าแต่งงานกับพี่สาวไอ้ตั้มมันแล้วก็ปลูกบ้านอยู่ที่นี่จนกระทั่งตาย ก็แค่นั้นกว่าจะเล่าได้”
ลุงน้อยพูดกลั้วหัวเราะจนจบขณะมองลุงมิ่งที่วันนี้มองดูใจลอยแปลก ๆ แถมยังคุยน้อยดื่มหนักใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยได้ยิน ผมเองก็งงกับอาการของลุงมิ่งเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรมากเพราะถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของลุงก็ไม่อยากไปก้าวก่ายเกินไป แต่ความอยากรู้เรื่องเจ้าตั้มยังมีอยู่ผมจึงหันมาทางลุงน้อยแทน ปล่อยลุงมิ่งยกแก้วยกขวดยุ่งไปตามลำพัง
“ผมเพิ่งรู้นะลุงว่าเจ้าตั้มมีพี่สาวอยู่นี่ตอนแรกนึกว่าเขาเร่ร่อนมาจากที่อื่น”
ลุงน้อยส่ายหน้าตามองลุงมิ่งที่ใช้สองมือกุมแก้วเต็มปรี่บนโต๊ะแต่ตามองตามถนนไปทางหน้าหมู่บ้านแบบลอย ๆ เหมือนไม่ตั้งใจมอง
“ไม่หรอก บ้านมันอยู่นี่พี่มันขายกาแฟอยู่แยกต้นมะขามเลยบ้านหมอนนท์ไปหน่อยไง”
ผมส่งเสียงอือในลำคอเบา ๆ พลางนึกถึงร้านกาแฟเล็ก ๆ ใต้ต้นมะขามใหญ่ตรงสามแยกที่ลุงน้อยบอกมา เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบปีแต่รูปร่างหน้าตาลักษณะผิวพรรณดีและแต่งตัวเรียบร้อยจึงมองดูเหมือนคนในเมืองมากกว่าคนบ้านปลายนา อีกทั้งคำพูดคำจาซึ่งสุภาพเป็นกันเองกับทุกคน ถ้าเป็นคนอายุมากกว่า เธอก็จะเรียกลุง ป้า น้า อะไรไป ถ้าอายุน้อยกว่าก็จะเรียกน้อง ทำให้มีลูกค้าไม่ขาดระยะในตอนเช้าตรู่ของทุกวัน และลูกค้าทุกคนพร้อมใจกันเรียกเจ้าของร้านว่า เจ๊แตง
ร้านกาแฟของเจ๊แตงทำง่าย ๆ แค่ต่อชายคาออกมาจากตัวบ้าน โดยตั้งเสาสูงสามเมตรรับโครงหลังคาแล้วปูด้วยแผ่นสังกะสีเท่านั้นก็คุ้มฝนได้แล้ว ส่วนเรื่องแดดไม่ต้องกังวลเพราะเงาของต้นมะขามให้ความร่มรื่นได้อย่างดีแม้ไม่มีหลังคา รวมทั้งลมเย็นซึ่งพัดโชยเข้าได้ทั้งสามด้านซึ่งไม่ได้กั้นฝาไว้อย่างใด
โต๊ะชงกาแฟนั้นเจ๊แตงตั้งใกล้กับประตูหน้าบ้านโดยเว้นช่องห่างไว้แค่เดินสบายหันหน้าคนขายออกหาลูกค้า ด้านในร้านจึงดูกว้างขวางไม่แออัดแม้ตั้งโต๊ะเก้าอี้ไว้ถึงห้าชุดก็ยังมองสบายตา
ลุงน้อยบอกว่าเจ๊แตงทำทุกอย่างคนเดียวตั้งแต่ครูสมบูรณ์จากไป แต่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วงานจึงไม่หนักอะไร มีอย่างเดียวซึ่งทำเธอให้กังวลคือเจ้าตั้มน้องชาย ซึ่งดูแล้วอาการน่าจะทรงตัวอยู่อย่างนี้ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด
ผมแปลกใจเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าเจ้าตั้มเป็นน้องเจ๊แตง ถ้าให้เดาตั้งแต่ทีแรกผมคงเดาว่าเป็นหลานลุงมิ่งมากกว่าเพราะรูปร่างและเค้าโครงหน้าทั้งสองคนคล้ายกันโดยเฉพาะตอนยิ้มแยกเขี้ยว หน้าเจ้าตั้มจะเหมือนลุงมิ่งอย่างกับถอดพิมพ์กันมา
ลุงมิ่งถอนใจออกมาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทำผมแปลกใจกับอาการที่ขัดแย้งกัน ลุงน้อยขยับมือตบโต๊ะเบา ๆ สองครั้งลุงมิ่งจึงสะดุ้งแล้วส่งแก้วเปล่าให้ลุงน้อยอย่างเร็วเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง คราวนี้ลุงผู้ใหญ่ซึ่งลูกค้าเริ่มบางตาเดินมายืนข้าง ๆ เมื่อไรไม่รู้อดไม่ได้ปล่อยก้ากออกมาก่อนพูดหยอกลุงมิ่งออกไป
“เอ้า เป็นเอามากแล้วเอ็ง จะให้ไอ้น้อยมันกินลมหรือไงวะ”
ลุงน้อยถือแก้วเปล่าหัวเราะตัวงอ ทำผมขำตามไปอีกคนก่อนลุงจะค่อย ๆ กลั้นหัวเราะจนเหลือแต่เสียง หึ หึ หึ อยู่อึดใจจึงเอ่ยถามลุงมิ่งแบบเสียงขาด ๆ หาย ๆ ออกไป
“เอ็งเป็นไรวะตั้งแต่เย็น ถามก็ไม่บอก”
ลุงมิ่งส่ายหน้าไปมาพลางยื่นมือขอแก้วจากลุงน้อยเมื่อรับไปแล้วจึงค่อย ๆ รินเหล้าใส่แก้วแล้ววางไว้ตรงหน้าตัวเองอย่างใจลอย ผู้ใหญ่มองลุงมิ่งอยู่อึดใจก่อนหันมาทางผมแล้วมองหน้าลุงน้อยก่อนเอ่ยถามออกมา
“มันยังไม่ได้บอกเอ็งเหรอ”
ผมกับลุงน้อยจ้องผู้ใหญ่อย่างแปลกใจพร้อม ๆ กันขณะเสียงลุงมิ่งแทรกขึ้นมา
“อย่าเชียวนาผู้ใหญ่ถ้าแกพูดออกไปข้าไม่จ่ายหนี้เดือนนี้ด้วยเอ้า”
ลุงมิ่งเสียงแข็งขณะลุงผู้ใหญ่พยักหน้าช้า ๆ พลางเอ่ยออกมาแบบเสียงแข็งพอกัน
“ก็เอาสิ ถ้าเอ็งไม่จ่ายข้าก็ไม่ให้เซ็นต่อ แล้วขวดนี้ข้าก็เก็บคืน”
จบคำผู้ใหญ่ก็ยื่นมือไปคว้าขวดเหล้าที่เพิ่งยุบลงไปแก้วเดียวตรงหน้าลุงมิ่ง แต่ยังช้ากว่าลุงมิ่งที่กุมขวดไว้ทั้งสองมือพร้อมกับโน้มตัวลงบังไว้จนมิดขณะพูดอู้อี้ออกมา
“เอา เอา ผู้ใหญ่จะบอกก็บอก แต่ไอ้น้อยกับครูห้ามหัวเราะกันนา”
ลุงมิ่งเอียงคอมองผู้ใหญ่ตาปริบ ๆ แต่ยังอยู่ในท่ากอดขวดและเอาตัวบังไว้อย่างเดิม ผู้ใหญ่อมยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่ง ลุงมิ่งจึงค่อย ๆ คลายแขนออกแล้วยืดตัวกลับมาท่านั่งอย่างเดิมก่อนยกแก้วตรงหน้าจ่อปากแล้วเทพรวดเดียวลงคอหายวับไปในพริบตา.......
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......ตัดสินใจ........@@ โดย ลุงแผน
.........ผมชื่อมานะ เป็นครูใหม่ที่เริ่มเก่าแห่งบ้านปลายนา ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเรียกผมว่าครูมานะเวลาเจอกัน บางคนเรียก “ครู” เฉย ๆ ด้วยความคุ้นเคย มีคนเดียวที่เรียกผมไม่เหมือนใคร และเวลาเขาเรียกตอนใกล้ค่ำผมต้องหันกลับไปมองข้างหลังทุกที
วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นวันนี้ผมจึงมีเวลามากกว่าทุกวันเพราะงานสามารถยกไปทำเสาร์อาทิตย์ได้ไม่ต้องเร่งเหมือนวันธรรมดา ผมจึงนั่งแช่อยู่กับคณะลุงจนค่ำ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นค่อย ๆ แยกย้ายไปทีละคนจนเหลือลุงมิ่งกับลุงน้อยซึ่งอยู่ยงคงกระพันกว่าใครสาเหตุสำคัญคือลุงทั้งคู่ไม่มีเมีย เลยไม่มีใครมาคอยต้อนกลับเหมือนพวกลุงดำ
เรื่องมานั่งร่วมวงกับลุง ๆ ทั้งหลายนี้ ใหม่ ๆ ชาวบ้านพากันมองว่าผมเป็นคนขี้เมา แต่พอนาน ๆ เข้าถึงได้รู้ว่าผมเมาน้ำเปล่าอย่างเดียว และถ้าจะนับกันขวดต่อขวดละก็คะแนนผมนำพวกลุงอยู่หลายช่วงตัว เรียกว่าบางวันผมซัดไปสองขวดแล้วของพวกลุงขวดเดียวยังไม่หมดเลย ลุงผู้ใหญ่เลยได้สมาชิกคอน้ำเปล่ามาหนึ่งคนและต้องสั่งมาสำรองไว้ให้ผมทีละโหลในวันที่รถส่งของเข้ามา
จะว่าไปแล้วโอ่งแดงใบใหญ่ที่บ้านพักครูก็มี น้ำฝนในนั้นใสเย็นและเต็มโอ่งปรี่ทั้งสามใบ แต่จะให้หิ้วน้ำจากบ้านมานั่งกินในร้านค้าผมว่ามันดูแปลก ๆ พิกล อีกอย่างลุงผู้ใหญ่คิดผมในราคาทุนไม่ได้ขายเท่าร้านทั่วไปในเมือง และคนอื่น ๆ ที่นี่เขาก็ไม่ได้ซื้อน้ำกินกัน เลยเหมือนกับผมซื้อจากรถส่งแล้วฝากไว้ที่ร้านเพื่อเก็บไว้กินเองคนเดียว
“ครูสมบูรณ์ ”
ผมสะดุ้งโหยงทั้ง ๆ ที่เคยได้ยินเสียงนี้มาหลายครั้ง เจ้าตั้มนั่นเองไม่มีใคร พอเรียกแล้วเขาก็ยิ้มแยกเขี้ยวให้พร้อมกับเดินเข้าป่ากระเพราหายไป ปล่อยผมมองซ้ายมองขวาอย่างหวาด ๆ ก่อนเอ่ยถามลุงมิ่งที่กำลังยกขวดขึ้นส่องมองน้ำใส ๆ ในนั้นว่าจะรินได้อีกสองครั้งหรือไม่อย่างไรขณะลุงน้อยคลำกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงเมื่อเจอแล้วจึงทำท่าโล่งใจก่อนมองไปตรงเจ้าตั้มหายเข้าไปอีกที
“หน้าผมเหมือนครูสมบูรณ์มากเลยเหรอลุง”
ลุงมิ่งไม่ได้ฟังเพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสั่งขวดใหม่ดีหรือเปล่า เพราะฟ้ามืดไปครู่ใหญ่แล้วถ้าสั่งมาใหม่และเริ่มเปิดตอนนี้เวลาก็จะยาวออกไปอีกเป็นชั่วโมง ลุงน้อยมองหน้าผมอยู่อึดใจก่อนพูดออกมาแทนลุงมิ่งซึ่งยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“ไม่เหมือนเท่าไร ครูสมบูรณ์แก่”
ผมอมยิ้มส่ายหน้าไปมาก่อนมองลุงน้อยแล้วพูดออกไป
“เอาที่ชัดกว่านี้หน่อยสิลุง แก่น่ะรู้แล้วผมรุ่นน้องครูสมบูรณ์ตั้งหลายปี แต่ที่อยากรู้เพราะเจ้าตั้มเจอผมทีไรเรียกชื่อนี้ทุกที”
“เอาก็เอา ผู้ใหญ่ขออีกขวด”
เสียงลุงมิ่งแทรกขึ้นมาทำผมหันมองแล้วต้องกลั้นหัวเราะเมื่อลุงแกมองมาทำหน้า งง ๆ ลุงน้อยทำเสียงขลุกขลักในลำคอแบบขำ ๆ ก่อนพูดกระเซ้าออกไป
“ครูเค้าถามเป็นงานเป็นการ แกก็เนาะ”
ลุงมิ่งได้ยินพลางโยกตัวหลบลุงผู้ใหญ่ซึ่งถือขวดเหล้าเดินมาที่โต๊ะพร้อมกับมองมาทางผมอย่างแปลกใจ พอลุงผู้ใหญ่วางขวดไว้บนโต๊ะแล้วเดินกลับไปลุงมิ่งจึงโยกกลับมานั่งตัวตรงแล้วมองหน้าผมขณะมือคว้าขวดไปดึงเปิดฝาพร้อมกับเอ่ยถามออกมา
“ครูว่าไงนะไม่ทันได้ยิน”
ผมมัวหัวเราะในลำคออยู่ ลุงน้อยจึงตอบออกไปแทน
“ก็ไอ้ตั้มมันเจอครูมานะทีไรมันเรียกครูสมบูรณ์ทุกที ครูเลยสงสัยว่าหน้าเค้าเหมือนครูสมบูรณ์หรือเปล่า”
ลุงมิ่งมองหน้าผมขณะมือขวาถือขวดและมือซ้ายถือแก้วค้างนิ่งพลางเอ่ยออกมา
“ไม่เหมือนเท่าไร ครูสมบูรณ์แก่”
พูดจบลุงก็ก้มหน้าเทเหล้าใส่แก้วแล้วส่งให้ลุงน้อยซึ่งรับไปหัวเราะไปจนเหล้ากระฉอกรายทางกว่าจะถึงตรงหน้าแก ลุงมิ่งมองหน้าลุงน้อยกับผมสลับกันไปมาพลางยิ้มเก้อ ๆ แล้วยกมือลูบหัวตัวเองก่อนเอ่ยออกมา
“เออ ๆ เอาแก้วมาเดี๋ยวจะคุยให้ฟัง”
ลุงน้อยได้ยินจึงยกแก้วนิ่งอยู่ใต้คางครู่หนึ่งรอจนหยุดหัวเราะได้จึงกระดกจนหมดแล้วยื่นแก้วให้ลุงมิ่งขณะส่งเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ
“คืองี้ ครูสมบูรณ์น่ะมีศักดิ์เป็นพี่เขยไอ้ตั้มมัน”
ผมมองลุงมิ่งอย่างสนใจขณะแกรินเหล้าใส่แก้วตัวเองยกถือค้างไว้แล้วมองมาทางผมก่อนพูดต่อไป
“ครูสมบูรณ์มาเป็นครูใหม่ ๆ ก็ยังหนุ่มอย่างครูนี่แหละ......”
ลุงมิ่งหยุดพูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อนวางแก้วเปล่าลงแล้วมองหน้าผมซึ่งจ้องอยู่ขณะเสียงลุงน้อยแทรกขึ้นมา
“โอ้ย วนไปวนมาหนุ่ม ๆ แก่ ๆ อยู่นั่นแหละ ครูไม่รู้เรื่องกันพอดี ครูสมบูรณ์เค้าแต่งงานกับพี่สาวไอ้ตั้มมันแล้วก็ปลูกบ้านอยู่ที่นี่จนกระทั่งตาย ก็แค่นั้นกว่าจะเล่าได้”
ลุงน้อยพูดกลั้วหัวเราะจนจบขณะมองลุงมิ่งที่วันนี้มองดูใจลอยแปลก ๆ แถมยังคุยน้อยดื่มหนักใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยได้ยิน ผมเองก็งงกับอาการของลุงมิ่งเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรมากเพราะถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของลุงก็ไม่อยากไปก้าวก่ายเกินไป แต่ความอยากรู้เรื่องเจ้าตั้มยังมีอยู่ผมจึงหันมาทางลุงน้อยแทน ปล่อยลุงมิ่งยกแก้วยกขวดยุ่งไปตามลำพัง
“ผมเพิ่งรู้นะลุงว่าเจ้าตั้มมีพี่สาวอยู่นี่ตอนแรกนึกว่าเขาเร่ร่อนมาจากที่อื่น”
ลุงน้อยส่ายหน้าตามองลุงมิ่งที่ใช้สองมือกุมแก้วเต็มปรี่บนโต๊ะแต่ตามองตามถนนไปทางหน้าหมู่บ้านแบบลอย ๆ เหมือนไม่ตั้งใจมอง
“ไม่หรอก บ้านมันอยู่นี่พี่มันขายกาแฟอยู่แยกต้นมะขามเลยบ้านหมอนนท์ไปหน่อยไง”
ผมส่งเสียงอือในลำคอเบา ๆ พลางนึกถึงร้านกาแฟเล็ก ๆ ใต้ต้นมะขามใหญ่ตรงสามแยกที่ลุงน้อยบอกมา เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบปีแต่รูปร่างหน้าตาลักษณะผิวพรรณดีและแต่งตัวเรียบร้อยจึงมองดูเหมือนคนในเมืองมากกว่าคนบ้านปลายนา อีกทั้งคำพูดคำจาซึ่งสุภาพเป็นกันเองกับทุกคน ถ้าเป็นคนอายุมากกว่า เธอก็จะเรียกลุง ป้า น้า อะไรไป ถ้าอายุน้อยกว่าก็จะเรียกน้อง ทำให้มีลูกค้าไม่ขาดระยะในตอนเช้าตรู่ของทุกวัน และลูกค้าทุกคนพร้อมใจกันเรียกเจ้าของร้านว่า เจ๊แตง
ร้านกาแฟของเจ๊แตงทำง่าย ๆ แค่ต่อชายคาออกมาจากตัวบ้าน โดยตั้งเสาสูงสามเมตรรับโครงหลังคาแล้วปูด้วยแผ่นสังกะสีเท่านั้นก็คุ้มฝนได้แล้ว ส่วนเรื่องแดดไม่ต้องกังวลเพราะเงาของต้นมะขามให้ความร่มรื่นได้อย่างดีแม้ไม่มีหลังคา รวมทั้งลมเย็นซึ่งพัดโชยเข้าได้ทั้งสามด้านซึ่งไม่ได้กั้นฝาไว้อย่างใด
โต๊ะชงกาแฟนั้นเจ๊แตงตั้งใกล้กับประตูหน้าบ้านโดยเว้นช่องห่างไว้แค่เดินสบายหันหน้าคนขายออกหาลูกค้า ด้านในร้านจึงดูกว้างขวางไม่แออัดแม้ตั้งโต๊ะเก้าอี้ไว้ถึงห้าชุดก็ยังมองสบายตา
ลุงน้อยบอกว่าเจ๊แตงทำทุกอย่างคนเดียวตั้งแต่ครูสมบูรณ์จากไป แต่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วงานจึงไม่หนักอะไร มีอย่างเดียวซึ่งทำเธอให้กังวลคือเจ้าตั้มน้องชาย ซึ่งดูแล้วอาการน่าจะทรงตัวอยู่อย่างนี้ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด
ผมแปลกใจเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าเจ้าตั้มเป็นน้องเจ๊แตง ถ้าให้เดาตั้งแต่ทีแรกผมคงเดาว่าเป็นหลานลุงมิ่งมากกว่าเพราะรูปร่างและเค้าโครงหน้าทั้งสองคนคล้ายกันโดยเฉพาะตอนยิ้มแยกเขี้ยว หน้าเจ้าตั้มจะเหมือนลุงมิ่งอย่างกับถอดพิมพ์กันมา
ลุงมิ่งถอนใจออกมาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทำผมแปลกใจกับอาการที่ขัดแย้งกัน ลุงน้อยขยับมือตบโต๊ะเบา ๆ สองครั้งลุงมิ่งจึงสะดุ้งแล้วส่งแก้วเปล่าให้ลุงน้อยอย่างเร็วเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง คราวนี้ลุงผู้ใหญ่ซึ่งลูกค้าเริ่มบางตาเดินมายืนข้าง ๆ เมื่อไรไม่รู้อดไม่ได้ปล่อยก้ากออกมาก่อนพูดหยอกลุงมิ่งออกไป
“เอ้า เป็นเอามากแล้วเอ็ง จะให้ไอ้น้อยมันกินลมหรือไงวะ”
ลุงน้อยถือแก้วเปล่าหัวเราะตัวงอ ทำผมขำตามไปอีกคนก่อนลุงจะค่อย ๆ กลั้นหัวเราะจนเหลือแต่เสียง หึ หึ หึ อยู่อึดใจจึงเอ่ยถามลุงมิ่งแบบเสียงขาด ๆ หาย ๆ ออกไป
“เอ็งเป็นไรวะตั้งแต่เย็น ถามก็ไม่บอก”
ลุงมิ่งส่ายหน้าไปมาพลางยื่นมือขอแก้วจากลุงน้อยเมื่อรับไปแล้วจึงค่อย ๆ รินเหล้าใส่แก้วแล้ววางไว้ตรงหน้าตัวเองอย่างใจลอย ผู้ใหญ่มองลุงมิ่งอยู่อึดใจก่อนหันมาทางผมแล้วมองหน้าลุงน้อยก่อนเอ่ยถามออกมา
“มันยังไม่ได้บอกเอ็งเหรอ”
ผมกับลุงน้อยจ้องผู้ใหญ่อย่างแปลกใจพร้อม ๆ กันขณะเสียงลุงมิ่งแทรกขึ้นมา
“อย่าเชียวนาผู้ใหญ่ถ้าแกพูดออกไปข้าไม่จ่ายหนี้เดือนนี้ด้วยเอ้า”
ลุงมิ่งเสียงแข็งขณะลุงผู้ใหญ่พยักหน้าช้า ๆ พลางเอ่ยออกมาแบบเสียงแข็งพอกัน
“ก็เอาสิ ถ้าเอ็งไม่จ่ายข้าก็ไม่ให้เซ็นต่อ แล้วขวดนี้ข้าก็เก็บคืน”
จบคำผู้ใหญ่ก็ยื่นมือไปคว้าขวดเหล้าที่เพิ่งยุบลงไปแก้วเดียวตรงหน้าลุงมิ่ง แต่ยังช้ากว่าลุงมิ่งที่กุมขวดไว้ทั้งสองมือพร้อมกับโน้มตัวลงบังไว้จนมิดขณะพูดอู้อี้ออกมา
“เอา เอา ผู้ใหญ่จะบอกก็บอก แต่ไอ้น้อยกับครูห้ามหัวเราะกันนา”
ลุงมิ่งเอียงคอมองผู้ใหญ่ตาปริบ ๆ แต่ยังอยู่ในท่ากอดขวดและเอาตัวบังไว้อย่างเดิม ผู้ใหญ่อมยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่ง ลุงมิ่งจึงค่อย ๆ คลายแขนออกแล้วยืดตัวกลับมาท่านั่งอย่างเดิมก่อนยกแก้วตรงหน้าจ่อปากแล้วเทพรวดเดียวลงคอหายวับไปในพริบตา.......
( มีต่อครับ )