สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม (ตอนที่๓)
โดยธีร์ วรรณกร
ผมสะดุ้งเฮือกเย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้ายกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆ กระพริบตาถี่ๆพยายามเพ่งมองอีกครั้งก็เห็นว่าร่างกายของพรานชุ่มยังอยู่เป็นปกติมีเนื้อหนังมังสาเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พลางเขาก็หันมายิ้มให้กับผมน้อยๆแล้วก็ก้มหน้าก้มตาชำแหละซากต่อไปด้วยอาการปกติ ผมหันหน้ากลับมาจดจ่ออยู่ที่กองไฟต่อแล้วถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยๆในใจก็คิดต่อว่าสายตาตนเองที่ดันไปเห็นภาพอันน่าขนลุกนั้นเข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียได้
และเมื่อทุกอย่างได้นำมาประกอบเป็นอาหารแบบชาวป่าเรียบร้อยแล้วพวกเราทั้งสามก็พากันก้มหน้าก้มตากินอาหารเหล่านั้นกันอย่างออกรส โดยเมนูก็คือเนื้อไก่ป่ากับหมูป่าย่างหมักเกลือ และปลาช่อนต้มกระบอกไม้ไผ่อันหอมหวนยั่วน้ำลายนั่นเอง
เราทั้งสามพูดคุยกันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปพลางก็ชวนคุยเรื่องขบขันกันไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงราวๆห้าโมงเย็นพรานชุ่มก็ขอตัวไปยิงปลามาเพิ่มเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นให้ ส่วนพรานเดชแกก็ชวนผมนั่งคุยเรื่องป่าเรื่องสัตว์ไปพลางๆเป็นการฆ่าเวลา
เมื่อเวลาเย็นย่ำใกล้ค่ำมาถึงเหล่านกกาบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินกลับรังกันว่อน เสียงจิ้งหรีดเรไรก็เซ็งแซ่ระงมกันไปหมด บ่างร้องแทรกขึ้นเป็นระยะๆ พวกกบเขียดที่อยู่ใกล้ธารน้ำตกก็เริ่มมีเสียงจอแจขึ้นบ้างอยู่ไม่ขาด
เราทั้งสามคนนั้นบัดนี้เมื่อใกล้มืดเต็มทีก็ก่อกองไฟให้ลุกโชติขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณจากหมู่ฟืนดุ้นน้อยใหญ่ด้วยการหามาของพรานชุ่ม ผมนั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงอยู่ที่โคนต้นยางใหญ่ส่วนพรานทั้งสองก็นั่งอยู่บนใบไม้ที่ลนไฟไว้แล้วซึ่งถูกนำมาปูไว้อยู่ข้างๆกัน นั่งแทะกระดูกหมูป่ากันไปคุยกันไปอย่างสบายอารมณ์ แต่พรานชุ่มนั้นผมเห็นเขาไม่แตะต้องอาหารใดๆเลยตั้งแต่พลบค่ำมาและเร่งทำหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้นไม่ปริปากพูดคำใดมีสีหน้าเรียบเฉยซึ่งต่างจากปกติไป พลางก็นั่งไล่ปัดแมลงไพรตัวน้อยที่บินมาตอมตามร่างของเขาอยู่อย่างรำคาญใจทั้งๆที่ผมกับพรานเดชไม่ถูกตอมเลยสักนิด เนื้อตัวของเขาก็ยังเหนียวเหนอะหนะอยู่เช่นนั้นเหมือนเดิม
“นี่....ไอ้ชุ่ม ตั้งแต่ออกป่ามาหลายวันเนี่ยดูเอ็งมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลยนะ ดูซิแมลงป่าสาวๆมาตอมเยอะเชียว” เสียงพรานเดชแซวขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกๆ
พรานชุ่มก็ยิ้มแหยๆอ้อมแอ้มตอบปนหัวเราะมาว่า
“โถ่...ครูก็ ผมน่ะเข้าป่ามาหลายวันน้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบสักหยดแมลงมันก็ตอมเป็นธรรมดานี่ ไม่เหมือนครูกับนายมิ่งหรอกดูซิแมลงออกจะชุมซะขนาดนี้ไม่ไปตอมบ้างเลยตอมแต่ผมคนเดียว”
“นี่......พรานชุ่ม..” ผมเอ่ยแทรกขึ้น
“ครับนาย” เขาหันหน้ามาขานรับ
“ที่จริงแล้วเนี่ยนะ ผมว่าจะชวนคุณให้กลับตั้งแต่พบหน้าเมื่อช่วงเช้านั่นแล้วล่ะ เพราะคนทางบ้านน่ะเป็นห่วงคุณมากผมกับพรานเดชเลยอาสามาตามให้ คุณจะกลับได้มั้ยในพรุ่งนี้เช้า?”
สิ้นประโยคของผมพรานชุ่มก็มีอาการครุ่นคิดและใบหน้าสลดลงแล้วพูดเสียงเครือๆเหมือนจะร้องไห้ขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า
“นายครับ....บ้านผมมันจน ต้องหาฆ่าสัตว์เลี้ยงชีพ แม้กระทั่งเงินพาเมียไปหาหมอก็ยังไม่มี ผมรู้ดีครับว่าทางบ้านเป็นห่วงมาก แต่ก็จะกลับไปอย่างเร่งด่วนเสียไม่ได้เพราะเข้าป่าทั้งทีก็ใช่ว่าจะมือขึ้นโชคเข้าข้างเสมอไปบางวันนั่งห้างจนถึงเช้าสัตว์ไม่เข้าทางปืนสักตัวก็ยังมี ดีปะไรแล้วครับที่ผมยังพอหาได้อยู่บ้าง หาเก็บสมุนไพรป่าไปขายแลกเงินได้นิดๆหน่อยๆให้พอค่าข้าว ส่วนพวกอาหารก็หาจากป่ามาตุนไว้กันไม่ให้ร่อยหรอ เฮ้อ......ผมจะกลับก็ได้ครับในวันพรุ่งนี้เพราะผมเองก็นึกว่าจะกลับไม่ได้ซะแล้วยังถือว่าโชคเข้าข้างที่พบนายกับครูเดช จะได้เป็นคนนำผมกลับ” ประโยคหลังของเขาพาสะกิดใจผมขึ้นแต่ยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรพรานเดชก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า
“เอ...ไอ้นี่พูดจาแปลกๆ หมายความว่ายังไงกันวะที่ว่ามาเจอข้ากับนายมิ่งแล้วจะพาเอ็งกลับ ทั้งที่ตามจริงเอ็งก็น่าจะกลับเองได้ คำพูดมีอะไรแฝงนะนี่...”
แต่แล้วพรานชุ่มก็ปล่อยโฮลั่นอย่างน่าเวทนา น้ำตาไหลรินเป็นทางน่าสงสารยิ่ง ปากก็พร่ำบ่นถึงเมีย แม่ และน้องชายด้วยความเป็นห่วงอยู่อย่างนั้น ช่างเป็นภาพที่สะเทือนใจน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง พรานเดชกับผมก็กล่าวปลอบกันยกใหญ่กว่าจะสงบอาการอันเศร้าโศกนั้นลงได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีอยู่เช่นกัน
ท้องฟ้ายามราตรีในค่ำคืนนี้นั้นสว่างจ้าไปด้วยแสงจันทร์เพ็ญที่เต็มดวงดูงามนวลอร่ามตา ผมกับพรานทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในกิริยาเดิม พรานเดชปิดปากหาวหวอดๆ แต่พรานชุ่มก็ยังมิวายมีอาการซึมๆนิ่งขรึมอย่างเงียบๆ ลมดึกโชยพัดมาให้สะท้านกายเป็นระยะๆ เสียงจักจั่นที่ร้องอยู่เซ็งแซ่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนก็เงียบลงเหมือนผ่อนปิดโวลุ่ม และเข้ามาแทรกแทนด้วยเสียงหมาในที่อยู่ดงลึกเห่าหอนโหยหวนชวนขนลุกเป็นที่สุด คืนนี้มันช่างเป็นอะไรที่วังเวงน่ากลัวอะไรเช่นนี้ในความรู้สึกของผม เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าจวนเจียนจะสามทุ่มเต็มทีแล้ว ทันใดนั้นเองที่ผมกำลังจะตัดสินใจเอนกายลงนอนอย่างเพลียๆ พลันก็มีเสียงดังสวบสาบมาจากพงป่าสูงเบื้องหน้า เราทั้งสามชันกายตรงขึ้นสายตามองจ้องไปที่ต้นเสียงนั้นอย่างจดจ่อ พรานชุ่มนั้นกระชับปืนในท่าเตรียมยิงแน่น ส่วนพรานเดชเองกลับนั่งเฉยแต่ตายังมองไปที่นั้นอยู่ และแล้วสิ่งที่อยู่หลังพงนั่นก็ปรากฏกายออกมาให้พวกเราทั้งสามคนได้เห็น
มันเป็นเงาของมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างแข็งทื่อเหมือนไร้วิญญาณมาจากตรงนั้นมุ่งหน้ามาหาเราอย่างเชื่องช้า พอร่างนั้นมาถึงทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น เงานั้นเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่งผมหงอกขาวโพลนไปทั่วศีรษะ หนวดเครายาวรุงรัง ร่างผมกะหร่อง ไม่สวมเสื้อมีเพียงโสร่งผืนเดียวที่นุ่งมาพร้อมกับเท้าเปล่าๆที่เหยียบย่ำพื้นดินออกจากความมืด
“อย่ายิง...เลยพ่อหนุ่ม...ลุงมาดี...” ชายแก่คนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแหบพร่าแต่เยือกเย็นพิลึก
สิ้นประโยคนั้นพรานชุ่มก็ลดปืนลงมาวางไว้ที่ตักแต่ก็ยังจ้องมองด้วยอาการที่ไม่ค่อยไว้ใจนัก พรานเดชเองก็จ้องเขม็งดวงตาแทบถลนเช่นกัน
ชายผู้นั้นมานั่งลงตรงหน้าผมห่างกันแค่คืบแล้วก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
“ลุงหิวเหลือเกิน....ขออาหารให้ลุงกินหน่อยสิ..”
ผมลองสะกดใจนิ่งเป็นการลองเชิงแล้วหยิบขาหมูป่าที่เหลือกับสันนอกยื่นส่งไปให้ ท่ามกลางสายตาจับพิรุธของพรานทั้งสอง ชายผู้นั้นรับอาหารไปกินอย่างรวดเร็วและตะกละตะกลามน่าเกลียดเป็นที่สุดเหมือนหิวโหยอดอยากมาเป็นชาติ
“ลุงชื่ออะไร?” ผมถามออกไปอย่างเรียบๆและจ้องมองกิริยาอาการของชายผู้นั้นอยู่ไม่คลาด
ชายชราหยุดอาการหิวกระหายที่กระทำอยู่แล้วหันมาจ้องหน้าผมพร้อมกับยิ้มให้เป็นเชิงเหมือนยั่วเยาะและเอ่ยมาว่า
“หึๆๆ จำเป็นด้วยรึ...?”
อาการตอนนั้นผมแทบอยากจะไล่ตะเพิดชายผู้นี้ให้หนีไปโดยเร็วในเสียบัดนั้น แต่ก็ข่มใจไว้ดูต่อไปว่าเขามาเพื่อจุดประสงค์อะไรและมาจากที่ไหน เพราะมันจะต้องไม่ใช่แค่มาขออาหารกินอย่างแน่นอน
เมื่อเวลาล่วงไปได้สักพัก ชายชราผู้ลึกลับก็สวาปามอาหารที่ผมให้ไปจนเกลี้ยง เศษชิ้นเนื้อและน้ำมันจากการย่างของอาหารติดอยู่ทั่วแก้มและมุมปากของเขาอย่างไม่เจริญตาเป็นที่สุด
แกทิ้งเศษกระดูกของอาหารที่ให้กินกองไว้ยังเบื้องหน้าพลางบิดขี้เกียจหาวหวอดๆ สะบัดหน้าแรงๆแล้วหันหน้ามองพวกผมทีละคนจนมาหยุดจ้องนิ่งที่ใบหน้าของผมดังเดิมและเรอเอิ้ก...ออกมาอย่างไร้มารยาท พร้อมกันนั้นก็เอ่ยน้ำเสียงออกมาเย็นเยือกว่า
“เอาล่ะ...ลุงอิ่มแล้วขอตัวนะ”
สิ้นประโยคนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างน่าขนลุก ทันใดนั้นเองก็เกิดกลียุคขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว เมื่อลมดึกที่โชยอ่อนๆพัดมาเป็นระยะอยู่แล้วนั้น บัดนี้กลับพัดกระหน่ำแรงขึ้นราวกับเกิดพายุ เสียงนกแสกก็ร้องแกว้ก..!!!แหวกอากาศขึ้นกลางคัน สุนัขป่าอันคือพวกหมาในก็หอนกันเกรียวกราวรับช่วงกันอย่างโหยหวนอยู่ไม่ขาดระยะ นกแสกตัวหนึ่งบินโฉบต่ำลงมาฝ่ากลางวงของพวกเราไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็เบนหน้าหลบแทบไม่ทัน เมื่อมองไปที่ร่างของชายชราผู้ลึกลับคนนั้นผมก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อร่างที่นั่งหัวเราะร่าก้องกังวานแสนที่จะหนาวไขสันหลังนั้น จู่ๆก็ค่อยๆสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งโผล่พ้นเหนือยอดไม้ขึ้นไปส่ายไปมาอยู่ช้าๆเทียมเมฆ แล้วหลังจากนั้นร่างอันสูงใหญ่นั่นก็ทะลึ่งกายลุกขึ้นแลให้เห็นทุกสัดส่วนประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ที่มองขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด ชายชราที่มานั่งขออาหารกินเมื่อหยกๆนั้นบัดนี้ไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์อยู่เลย ร่างกายสูงเทียมยอดตาล มือโตเต็งกวัดแกว่งไปมาเท่าใบพาย ตัวผอมจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก พุงป่อง เบ้าตาลึกดวงตาก็ใหญ่โตแดงฉานดูน่ากลัว ปากที่เล็กเท่ากับรูเข็มนั้นก็ส่งเสียงร้องหวีดวี๊ด.......วี๊ด.....แหลมยาวลั่นอย่างโหยหวน
ตีนที่โตและเรียวยาวนั้นก็ยกสูงพาร่างค่อยๆขโยกเขยกเดินโซเซไปมาช้าๆเคลื่อนที่ออกจากวงสนทนาของพวกเรา
“ผีเปรต!!!” ผมร้องอุทานลั่นออกมาอย่างขวัญหาย
กระแสลมที่พัดวูบวาบส่งเสียงหวีดหวิวอื้ออึงอยู่นั้นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เจ้าพวกหมาในก็หอน โบร๋วววว.....กันขึ้นอีกอย่างไม่ขาดระยะ มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่สะพรึงใจและน่าขนลุกอะไรถึงเพียงนี้ ผมอ้าปากค้างจ้องตาไม่กระพริบแทบจะไม่หายใจ ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพรานทั้งสองนั้นผมไม่รู้สึกได้เลยว่าพวกเขาจะสติแตกเช่นผมเหมือนกับว่ามันเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดาๆเสียอย่างนั้น...!!???
และจนกระทั่งร่างของเจ้าอมนุษย์ผีเปรตตนนั้นค่อยๆก้าวย่างไปกับพื้นดินอย่างเชื่องช้าบ่ายหน้ากลับไปยังทิศทางที่มันมา ทำให้ป่าแตกไหวเอนลู่ไปเป็นทางจนลับตาแล้ว ผมก็ยังคงจ้องตะลึงตาค้างกระดิกกายไม่ได้อยู่เช่นนั้น ลมกับเสียงหมาหอนก็ค่อยๆซาลงเป็นลำดับจนเงียบสนิทเป็นดุษณี ก็พลันมีเสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“มั้ยล่ะไอ้ชุ่ม!! เปรต.... เปรตจริงๆ เปรตชัดเจนเป็นฟูลเอชดีเลยว่ะ นี่เอ็งพานายมิ่งมานอนที่นี่ในวันอย่างนี้ทำไมกันวะ? เอ็งก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควร” เป็นเสียงของพรานเดชนั่นเองที่โพล่งขึ้นในอาการสบถ
“โถ่....ครูผมก็นึกว่ามันจะไม่แรงถึงขนาดนี้นี่ครับ” พรานชุ่มตอบเสียงอ่อยๆ
“ชิ...ไอ้บ้า ดูซิเอ้า ดูนายเราซิ นั่งอ้าปากหวอเป็นโพรงงูเหลือมอยู่นั่น คงจะตกใจเอาเรื่องค้างซะนึกว่าไฟไหม้ฟิล์มหนัง ไป...เอ็งไปเรียกสตินายมิ่งเลย โถ่....ไอ้ชุ่มเอ๊ย...พลาดอย่างแรงเลย”
และแล้วผมก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองถูกเขย่าอย่างแรงพร้อมกับเสียงเรียกดังลั่น
“นาย...นายครับ....นายมิ่งครับ นาย...รู้สึกตัวสิครับนาย.....นาย....นายครับ!!”
ผมสะดุ้งเฮือกอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าแรงๆไล่อาการตะลึงงันนั้นออกไป แล้วหันหน้าไปก็พบว่าพรานชุ่มเป็นคนเขย่าตัวแล้วเรียกสติผมคืนอยู่
“เป็นอย่างไรบ้างครับนาย?” เขาถามมาด้วยอาการเป็นห่วง
“เอ่อ.....นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว พรานชุ่ม พรานเดช เมื่อกี้พวกคุณเห็นเหมือนที่ผมเห็นกันบ้างไหม หา!! ว่าไง?” ผมถามขึ้นหน้าตาตื่นเลิ่กลั่ก
“พวกเราเห็นทุกอย่างเหมือนกับที่นายเห็นนั่นแหละครับ” พรานเดชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วพวกคุณไม่รู้สึกอะไรกันบ้างเลยรึไงกันนี่? เหมือนกับว่ามันเป็นเหตุการณ์ปกติอย่างนั้นแหละ”
“ผมกับไอ้ชุ่มต่างรู้ดีครับว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่านายอย่าตกใจให้มากก็แล้วกันครับเฉยๆไว้ แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง”
(โปรดติดตามตอนที่สี่เป็นตอนต่อไป)
ธีร์ วรรณกร
นวนิยายสยองขวัญ เรื่อง:สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม ตอนที่3 ประพันธ์โดย "ธีร์ วรรณกร"
โดยธีร์ วรรณกร
ผมสะดุ้งเฮือกเย็นวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้ายกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆ กระพริบตาถี่ๆพยายามเพ่งมองอีกครั้งก็เห็นว่าร่างกายของพรานชุ่มยังอยู่เป็นปกติมีเนื้อหนังมังสาเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พลางเขาก็หันมายิ้มให้กับผมน้อยๆแล้วก็ก้มหน้าก้มตาชำแหละซากต่อไปด้วยอาการปกติ ผมหันหน้ากลับมาจดจ่ออยู่ที่กองไฟต่อแล้วถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยๆในใจก็คิดต่อว่าสายตาตนเองที่ดันไปเห็นภาพอันน่าขนลุกนั้นเข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียได้
และเมื่อทุกอย่างได้นำมาประกอบเป็นอาหารแบบชาวป่าเรียบร้อยแล้วพวกเราทั้งสามก็พากันก้มหน้าก้มตากินอาหารเหล่านั้นกันอย่างออกรส โดยเมนูก็คือเนื้อไก่ป่ากับหมูป่าย่างหมักเกลือ และปลาช่อนต้มกระบอกไม้ไผ่อันหอมหวนยั่วน้ำลายนั่นเอง
เราทั้งสามพูดคุยกันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปพลางก็ชวนคุยเรื่องขบขันกันไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงราวๆห้าโมงเย็นพรานชุ่มก็ขอตัวไปยิงปลามาเพิ่มเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นให้ ส่วนพรานเดชแกก็ชวนผมนั่งคุยเรื่องป่าเรื่องสัตว์ไปพลางๆเป็นการฆ่าเวลา
เมื่อเวลาเย็นย่ำใกล้ค่ำมาถึงเหล่านกกาบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินกลับรังกันว่อน เสียงจิ้งหรีดเรไรก็เซ็งแซ่ระงมกันไปหมด บ่างร้องแทรกขึ้นเป็นระยะๆ พวกกบเขียดที่อยู่ใกล้ธารน้ำตกก็เริ่มมีเสียงจอแจขึ้นบ้างอยู่ไม่ขาด
เราทั้งสามคนนั้นบัดนี้เมื่อใกล้มืดเต็มทีก็ก่อกองไฟให้ลุกโชติขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณจากหมู่ฟืนดุ้นน้อยใหญ่ด้วยการหามาของพรานชุ่ม ผมนั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงอยู่ที่โคนต้นยางใหญ่ส่วนพรานทั้งสองก็นั่งอยู่บนใบไม้ที่ลนไฟไว้แล้วซึ่งถูกนำมาปูไว้อยู่ข้างๆกัน นั่งแทะกระดูกหมูป่ากันไปคุยกันไปอย่างสบายอารมณ์ แต่พรานชุ่มนั้นผมเห็นเขาไม่แตะต้องอาหารใดๆเลยตั้งแต่พลบค่ำมาและเร่งทำหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้นไม่ปริปากพูดคำใดมีสีหน้าเรียบเฉยซึ่งต่างจากปกติไป พลางก็นั่งไล่ปัดแมลงไพรตัวน้อยที่บินมาตอมตามร่างของเขาอยู่อย่างรำคาญใจทั้งๆที่ผมกับพรานเดชไม่ถูกตอมเลยสักนิด เนื้อตัวของเขาก็ยังเหนียวเหนอะหนะอยู่เช่นนั้นเหมือนเดิม
“นี่....ไอ้ชุ่ม ตั้งแต่ออกป่ามาหลายวันเนี่ยดูเอ็งมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลยนะ ดูซิแมลงป่าสาวๆมาตอมเยอะเชียว” เสียงพรานเดชแซวขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกๆ
พรานชุ่มก็ยิ้มแหยๆอ้อมแอ้มตอบปนหัวเราะมาว่า
“โถ่...ครูก็ ผมน่ะเข้าป่ามาหลายวันน้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบสักหยดแมลงมันก็ตอมเป็นธรรมดานี่ ไม่เหมือนครูกับนายมิ่งหรอกดูซิแมลงออกจะชุมซะขนาดนี้ไม่ไปตอมบ้างเลยตอมแต่ผมคนเดียว”
“นี่......พรานชุ่ม..” ผมเอ่ยแทรกขึ้น
“ครับนาย” เขาหันหน้ามาขานรับ
“ที่จริงแล้วเนี่ยนะ ผมว่าจะชวนคุณให้กลับตั้งแต่พบหน้าเมื่อช่วงเช้านั่นแล้วล่ะ เพราะคนทางบ้านน่ะเป็นห่วงคุณมากผมกับพรานเดชเลยอาสามาตามให้ คุณจะกลับได้มั้ยในพรุ่งนี้เช้า?”
สิ้นประโยคของผมพรานชุ่มก็มีอาการครุ่นคิดและใบหน้าสลดลงแล้วพูดเสียงเครือๆเหมือนจะร้องไห้ขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า
“นายครับ....บ้านผมมันจน ต้องหาฆ่าสัตว์เลี้ยงชีพ แม้กระทั่งเงินพาเมียไปหาหมอก็ยังไม่มี ผมรู้ดีครับว่าทางบ้านเป็นห่วงมาก แต่ก็จะกลับไปอย่างเร่งด่วนเสียไม่ได้เพราะเข้าป่าทั้งทีก็ใช่ว่าจะมือขึ้นโชคเข้าข้างเสมอไปบางวันนั่งห้างจนถึงเช้าสัตว์ไม่เข้าทางปืนสักตัวก็ยังมี ดีปะไรแล้วครับที่ผมยังพอหาได้อยู่บ้าง หาเก็บสมุนไพรป่าไปขายแลกเงินได้นิดๆหน่อยๆให้พอค่าข้าว ส่วนพวกอาหารก็หาจากป่ามาตุนไว้กันไม่ให้ร่อยหรอ เฮ้อ......ผมจะกลับก็ได้ครับในวันพรุ่งนี้เพราะผมเองก็นึกว่าจะกลับไม่ได้ซะแล้วยังถือว่าโชคเข้าข้างที่พบนายกับครูเดช จะได้เป็นคนนำผมกลับ” ประโยคหลังของเขาพาสะกิดใจผมขึ้นแต่ยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรพรานเดชก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า
“เอ...ไอ้นี่พูดจาแปลกๆ หมายความว่ายังไงกันวะที่ว่ามาเจอข้ากับนายมิ่งแล้วจะพาเอ็งกลับ ทั้งที่ตามจริงเอ็งก็น่าจะกลับเองได้ คำพูดมีอะไรแฝงนะนี่...”
แต่แล้วพรานชุ่มก็ปล่อยโฮลั่นอย่างน่าเวทนา น้ำตาไหลรินเป็นทางน่าสงสารยิ่ง ปากก็พร่ำบ่นถึงเมีย แม่ และน้องชายด้วยความเป็นห่วงอยู่อย่างนั้น ช่างเป็นภาพที่สะเทือนใจน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง พรานเดชกับผมก็กล่าวปลอบกันยกใหญ่กว่าจะสงบอาการอันเศร้าโศกนั้นลงได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีอยู่เช่นกัน
ท้องฟ้ายามราตรีในค่ำคืนนี้นั้นสว่างจ้าไปด้วยแสงจันทร์เพ็ญที่เต็มดวงดูงามนวลอร่ามตา ผมกับพรานทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในกิริยาเดิม พรานเดชปิดปากหาวหวอดๆ แต่พรานชุ่มก็ยังมิวายมีอาการซึมๆนิ่งขรึมอย่างเงียบๆ ลมดึกโชยพัดมาให้สะท้านกายเป็นระยะๆ เสียงจักจั่นที่ร้องอยู่เซ็งแซ่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนก็เงียบลงเหมือนผ่อนปิดโวลุ่ม และเข้ามาแทรกแทนด้วยเสียงหมาในที่อยู่ดงลึกเห่าหอนโหยหวนชวนขนลุกเป็นที่สุด คืนนี้มันช่างเป็นอะไรที่วังเวงน่ากลัวอะไรเช่นนี้ในความรู้สึกของผม เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าจวนเจียนจะสามทุ่มเต็มทีแล้ว ทันใดนั้นเองที่ผมกำลังจะตัดสินใจเอนกายลงนอนอย่างเพลียๆ พลันก็มีเสียงดังสวบสาบมาจากพงป่าสูงเบื้องหน้า เราทั้งสามชันกายตรงขึ้นสายตามองจ้องไปที่ต้นเสียงนั้นอย่างจดจ่อ พรานชุ่มนั้นกระชับปืนในท่าเตรียมยิงแน่น ส่วนพรานเดชเองกลับนั่งเฉยแต่ตายังมองไปที่นั้นอยู่ และแล้วสิ่งที่อยู่หลังพงนั่นก็ปรากฏกายออกมาให้พวกเราทั้งสามคนได้เห็น
มันเป็นเงาของมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างแข็งทื่อเหมือนไร้วิญญาณมาจากตรงนั้นมุ่งหน้ามาหาเราอย่างเชื่องช้า พอร่างนั้นมาถึงทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น เงานั้นเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่งผมหงอกขาวโพลนไปทั่วศีรษะ หนวดเครายาวรุงรัง ร่างผมกะหร่อง ไม่สวมเสื้อมีเพียงโสร่งผืนเดียวที่นุ่งมาพร้อมกับเท้าเปล่าๆที่เหยียบย่ำพื้นดินออกจากความมืด
“อย่ายิง...เลยพ่อหนุ่ม...ลุงมาดี...” ชายแก่คนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแหบพร่าแต่เยือกเย็นพิลึก
สิ้นประโยคนั้นพรานชุ่มก็ลดปืนลงมาวางไว้ที่ตักแต่ก็ยังจ้องมองด้วยอาการที่ไม่ค่อยไว้ใจนัก พรานเดชเองก็จ้องเขม็งดวงตาแทบถลนเช่นกัน
ชายผู้นั้นมานั่งลงตรงหน้าผมห่างกันแค่คืบแล้วก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
“ลุงหิวเหลือเกิน....ขออาหารให้ลุงกินหน่อยสิ..”
ผมลองสะกดใจนิ่งเป็นการลองเชิงแล้วหยิบขาหมูป่าที่เหลือกับสันนอกยื่นส่งไปให้ ท่ามกลางสายตาจับพิรุธของพรานทั้งสอง ชายผู้นั้นรับอาหารไปกินอย่างรวดเร็วและตะกละตะกลามน่าเกลียดเป็นที่สุดเหมือนหิวโหยอดอยากมาเป็นชาติ
“ลุงชื่ออะไร?” ผมถามออกไปอย่างเรียบๆและจ้องมองกิริยาอาการของชายผู้นั้นอยู่ไม่คลาด
ชายชราหยุดอาการหิวกระหายที่กระทำอยู่แล้วหันมาจ้องหน้าผมพร้อมกับยิ้มให้เป็นเชิงเหมือนยั่วเยาะและเอ่ยมาว่า
“หึๆๆ จำเป็นด้วยรึ...?”
อาการตอนนั้นผมแทบอยากจะไล่ตะเพิดชายผู้นี้ให้หนีไปโดยเร็วในเสียบัดนั้น แต่ก็ข่มใจไว้ดูต่อไปว่าเขามาเพื่อจุดประสงค์อะไรและมาจากที่ไหน เพราะมันจะต้องไม่ใช่แค่มาขออาหารกินอย่างแน่นอน
เมื่อเวลาล่วงไปได้สักพัก ชายชราผู้ลึกลับก็สวาปามอาหารที่ผมให้ไปจนเกลี้ยง เศษชิ้นเนื้อและน้ำมันจากการย่างของอาหารติดอยู่ทั่วแก้มและมุมปากของเขาอย่างไม่เจริญตาเป็นที่สุด
แกทิ้งเศษกระดูกของอาหารที่ให้กินกองไว้ยังเบื้องหน้าพลางบิดขี้เกียจหาวหวอดๆ สะบัดหน้าแรงๆแล้วหันหน้ามองพวกผมทีละคนจนมาหยุดจ้องนิ่งที่ใบหน้าของผมดังเดิมและเรอเอิ้ก...ออกมาอย่างไร้มารยาท พร้อมกันนั้นก็เอ่ยน้ำเสียงออกมาเย็นเยือกว่า
“เอาล่ะ...ลุงอิ่มแล้วขอตัวนะ”
สิ้นประโยคนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างน่าขนลุก ทันใดนั้นเองก็เกิดกลียุคขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว เมื่อลมดึกที่โชยอ่อนๆพัดมาเป็นระยะอยู่แล้วนั้น บัดนี้กลับพัดกระหน่ำแรงขึ้นราวกับเกิดพายุ เสียงนกแสกก็ร้องแกว้ก..!!!แหวกอากาศขึ้นกลางคัน สุนัขป่าอันคือพวกหมาในก็หอนกันเกรียวกราวรับช่วงกันอย่างโหยหวนอยู่ไม่ขาดระยะ นกแสกตัวหนึ่งบินโฉบต่ำลงมาฝ่ากลางวงของพวกเราไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็เบนหน้าหลบแทบไม่ทัน เมื่อมองไปที่ร่างของชายชราผู้ลึกลับคนนั้นผมก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อร่างที่นั่งหัวเราะร่าก้องกังวานแสนที่จะหนาวไขสันหลังนั้น จู่ๆก็ค่อยๆสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งโผล่พ้นเหนือยอดไม้ขึ้นไปส่ายไปมาอยู่ช้าๆเทียมเมฆ แล้วหลังจากนั้นร่างอันสูงใหญ่นั่นก็ทะลึ่งกายลุกขึ้นแลให้เห็นทุกสัดส่วนประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ที่มองขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด ชายชราที่มานั่งขออาหารกินเมื่อหยกๆนั้นบัดนี้ไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์อยู่เลย ร่างกายสูงเทียมยอดตาล มือโตเต็งกวัดแกว่งไปมาเท่าใบพาย ตัวผอมจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก พุงป่อง เบ้าตาลึกดวงตาก็ใหญ่โตแดงฉานดูน่ากลัว ปากที่เล็กเท่ากับรูเข็มนั้นก็ส่งเสียงร้องหวีดวี๊ด.......วี๊ด.....แหลมยาวลั่นอย่างโหยหวน
ตีนที่โตและเรียวยาวนั้นก็ยกสูงพาร่างค่อยๆขโยกเขยกเดินโซเซไปมาช้าๆเคลื่อนที่ออกจากวงสนทนาของพวกเรา
“ผีเปรต!!!” ผมร้องอุทานลั่นออกมาอย่างขวัญหาย
กระแสลมที่พัดวูบวาบส่งเสียงหวีดหวิวอื้ออึงอยู่นั้นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เจ้าพวกหมาในก็หอน โบร๋วววว.....กันขึ้นอีกอย่างไม่ขาดระยะ มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่สะพรึงใจและน่าขนลุกอะไรถึงเพียงนี้ ผมอ้าปากค้างจ้องตาไม่กระพริบแทบจะไม่หายใจ ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพรานทั้งสองนั้นผมไม่รู้สึกได้เลยว่าพวกเขาจะสติแตกเช่นผมเหมือนกับว่ามันเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดาๆเสียอย่างนั้น...!!???
และจนกระทั่งร่างของเจ้าอมนุษย์ผีเปรตตนนั้นค่อยๆก้าวย่างไปกับพื้นดินอย่างเชื่องช้าบ่ายหน้ากลับไปยังทิศทางที่มันมา ทำให้ป่าแตกไหวเอนลู่ไปเป็นทางจนลับตาแล้ว ผมก็ยังคงจ้องตะลึงตาค้างกระดิกกายไม่ได้อยู่เช่นนั้น ลมกับเสียงหมาหอนก็ค่อยๆซาลงเป็นลำดับจนเงียบสนิทเป็นดุษณี ก็พลันมีเสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“มั้ยล่ะไอ้ชุ่ม!! เปรต.... เปรตจริงๆ เปรตชัดเจนเป็นฟูลเอชดีเลยว่ะ นี่เอ็งพานายมิ่งมานอนที่นี่ในวันอย่างนี้ทำไมกันวะ? เอ็งก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควร” เป็นเสียงของพรานเดชนั่นเองที่โพล่งขึ้นในอาการสบถ
“โถ่....ครูผมก็นึกว่ามันจะไม่แรงถึงขนาดนี้นี่ครับ” พรานชุ่มตอบเสียงอ่อยๆ
“ชิ...ไอ้บ้า ดูซิเอ้า ดูนายเราซิ นั่งอ้าปากหวอเป็นโพรงงูเหลือมอยู่นั่น คงจะตกใจเอาเรื่องค้างซะนึกว่าไฟไหม้ฟิล์มหนัง ไป...เอ็งไปเรียกสตินายมิ่งเลย โถ่....ไอ้ชุ่มเอ๊ย...พลาดอย่างแรงเลย”
และแล้วผมก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองถูกเขย่าอย่างแรงพร้อมกับเสียงเรียกดังลั่น
“นาย...นายครับ....นายมิ่งครับ นาย...รู้สึกตัวสิครับนาย.....นาย....นายครับ!!”
ผมสะดุ้งเฮือกอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าแรงๆไล่อาการตะลึงงันนั้นออกไป แล้วหันหน้าไปก็พบว่าพรานชุ่มเป็นคนเขย่าตัวแล้วเรียกสติผมคืนอยู่
“เป็นอย่างไรบ้างครับนาย?” เขาถามมาด้วยอาการเป็นห่วง
“เอ่อ.....นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว พรานชุ่ม พรานเดช เมื่อกี้พวกคุณเห็นเหมือนที่ผมเห็นกันบ้างไหม หา!! ว่าไง?” ผมถามขึ้นหน้าตาตื่นเลิ่กลั่ก
“พวกเราเห็นทุกอย่างเหมือนกับที่นายเห็นนั่นแหละครับ” พรานเดชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วพวกคุณไม่รู้สึกอะไรกันบ้างเลยรึไงกันนี่? เหมือนกับว่ามันเป็นเหตุการณ์ปกติอย่างนั้นแหละ”
“ผมกับไอ้ชุ่มต่างรู้ดีครับว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่านายอย่าตกใจให้มากก็แล้วกันครับเฉยๆไว้ แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง”
(โปรดติดตามตอนที่สี่เป็นตอนต่อไป)
ธีร์ วรรณกร