ผมจะบวช 8 อาฆาต

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ด้วยว่านิยายเรื่อง ผมจะบวชนี้มีชื่อที่ค่อนข้างไปคล้องกับเรื่องสั้นที่ผมแต่งขึ้น คือ ครั้งเมื่อผมบวช จึงมีพี่นักเขียนที่ผมเคารพรักสุดดวงใจท่านหนึ่งแนะนำว่า เปลี่ยนชื่อเรื่องดีมั๊ย แถมเค้ายังอุตส่าห์บอกให้ผมตั้งชื่อเรื่องใหม่ส่งให้ เค้าจะช่วยเลือก ผมเห็นด้วยนะครับกับความคิดของเค้า เพียงแต่ติดปัญหาอย่างเดียว ผมคิดชื่อเรื่องใหม่ไม่ออก 555 หากผู้อ่านท่านใดมีชื่อที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับนิยายเรื่องนี้ รบกวนบอกด้วยนะครับ มันอาจจะเป็นการหน้าด้านไปบ้างที่ผมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือแบบนี้ เพราะแค่ทุกท่านสละเวลาเข้ามาอ่านก็เป็นความกรุณาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว กระผมต้องขออภัยและขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ🙏🙏🙏🙏
"ตรัยโศก"


บทที่ 8.


       ทั้งพระไม้และหลวงพี่สมพรได้แต่นั่งจ้องหน้ากันแบบนั้นไม่พูดอะไร ช่วงเวลานั้นมันทำให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด
       
       "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมอาจจะมึนหัวเลยพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป ขอโทษด้วยครับ" พระไม้เอ่ยพลางก้มหน้ามองห่อผ้าในมือ
       
       "ท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไง มีไม่กี่คนหรอกนะที่รู้" หลวงพี่สมพรเอ่ย พระไม้หันขวับไปมองทันที
       
       "นี่หรือว่า...เรื่องจริงเหรอครับ" พระไม้เอ่ยถามหน้าตื่น หลวงพี่สมพรพยักหน้ารับ
       
       "ผมเป็นน้องชายแท้ๆของสมภารแก้ว"
       
        สมภารแก้วมีถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่แขวงจำปาสัก เมื่ออายุได้ 15 ปีก็ต้องระหกระเหเร่ร่อนจากบ้านเกิดไปหากินต่างที่ต่างถิ่นพร้อมกับคาราวานผู้ยากไร้ทั้งหญิงชายนับ 100 ชีวิต
       
        จะด้วยฟ้าสาปส่งหรือสวรรค์กลั่นแกล้งก็มิทราบ ขณะเดินทางกลุ่มคาราวานของท่านถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ทราบฝ่ายบุกปล้น พวกมันฉุดกระชากเอาหญิงสาวที่พบเห็นไปทำปู้ยี่ปู้ยำ
       
        ฝ่ายผู้ชายก็จะถูกฆ่าทิ้งหรือถ้าหากหน่วยก้านดีก็จะถูกจับไว้รอขายต่อ สมภารแก้วหรือแก้วในสมัยนั้นเมื่อเห็นว่ากลุ่มที่ตนเองอาศัยมาถูกปล้นก็หลบหนีเอาตัวรอดโดยหนีบเอาเด็กชายคนหนึ่งที่มีอายุ 2 ขวบติดไปด้วย แม่ของเด็กคนนั้นถูกลากไปฆ่าต่อหน้าต่อตา แก้วจึงแอบพาตัวเด็กคนนั้นออกมาเหตุเพราะเด็กคนนั้นมีอายุไล่เลี่ยกับน้องชายในสายเลือดของตน
       
        ทั้งคู่พากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะป่าไม้ทิวเขาแบบไร้จุดหมายไม่ทราบทิศทาง จนกระทั่งแก้วหมดเรี่ยวแรงที่จะพาตนเองกระเสือดกระสนต่อไปได้ จึงได้ควักเอาห่อผ้าที่บรรจุของกินที่เหลืออยู่ส่งให้เด็กน้อยคนนั้น บอกแค่ว่าเมื่อตนเองสิ้นลมให้เดินต่อไปเรื่อยๆอย่าไว้ใจใคร
       
        ของกินที่มีนี้จงกินอย่างประหยัดที่สุด เด็กน้อยร้องไห้ไม่ยอมทิ้งแก้วไปไหน ตัวนายแก้วเองขณะนี้ก็ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะตวาดผลักไสไล่ส่ง ได้แต่นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น รอเวลาที่จะหมดลม ในใจได้แต่คิดถึงน้องชายและผู้เป็นแม่
       
        "ไอ้สี เอ็งพยุงเค้านอนหงายซิ" เสียงหนึ่งดังขึ้น แก้วแม้จะอยากรู้ว่าเป็นใครแต่ก็ไม่สามารถหันไปดูได้ เพราะตนเองขณะนี้แค่นอนหายใจเฉยๆยังลำบากไอ้การที่จะขยับเขยื้อนกายนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง
       
        ครู่ใหญ่แก้วรู้สึกว่ามีน้ำเย็นค่อยๆรินไหลผ่านปากลงสู่ลำคอทีละน้อย
       
        "พี่ชาย ค่อยๆดื่มลงไปนะเดี๋ยวจะสำลัก" เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้น เมื่อร่างกายได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำเย็นบริสุทธิ์ ความเหนื่อยล้าก็ให้ทุเลาลง แก้วหันไปดูว่าใครกันที่เป็นผู้ยื่นมือกระชากชีวิตเขาออกจากหัตถ์ของพระยายมราช
       
        ภาพที่เห็น ผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว จากที่คะเนอายุน่าจะน้อยกว่าเขา เยื้องไปเบื้องหลังคือภิกษุชรารูปหนึ่งยืนมองมาทางเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณายิ่ง
       
        แก้วค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วก้มกราบลงกับพื้นธรณี เด็กน้อยที่เขาช่วยชีวิตจากเงื้อมมือคนป่าเถื่อนพวกนั้นวิ่งมาที่เขา ร้องไห้พลางเอากิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่แค่ด้ามไม้กวาด กวัดแกว่งไปข้างหน้าเหมือนจะปกป้องเขาจากพระรูปนั้นจนเด็กที่ติดตามพระสงฆ์ชรามาต้องหลบหลีกพัลวัน
       
        แก้วคว้าเอาตัวเด็กน้อยมากอดไว้พลางลูบหัวเพื่อให้สงบลง เอ่ยบอกไปเบาๆ "ไม่เป็นไรๆ พวกท่านมาช่วยเรา"
       
        พระชรารูปนั้นท่านมีนามว่าหลวงตาจิต ส่วนเด็กที่ตามมาด้วยชื่อสี ทั้งคู่เป็นชาวอุบลราชธานี ท่านธุดงค์ไปเรื่อยข้ามเขตุแดนไทย-ลาว ขณะที่มาพบกับแก้วนี้เป็นช่วงขากลับระหว่างที่นั่งพักก็บังเอิญเห็นแก้วกับเด็กน้อยวิ่งกระหืดกระหอบไม่เหลียวหลังผ่านมา เมื่อนั่งใช้ตาจิตพิเคราะห์ดูแล้วก็ทราบว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใกล้ๆนี้ ท่านจึงเดินตามรอยแก้วมาเพื่อให้ความช่วยเหลือ
       
        เด็กน้อยที่แก้วช่วยชีวิตไว้ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งไม่คิดชีวิตเมื่อครู่บัดนี้หลับลงเอาศรีษะหนุนตักของสีไว้ ตวงตาที่ปิดสนิทยังรื้นไปด้วยน้ำตา
       
        "หลวงตาครับ แล้วคนกลุ่มของผมที่ถูกบุกโจมตีมีใครเหลือรอดมั๊ยครับ" แก้วเอ่ยถามสีหน้าบอกความกังวลและความหวัง หลวงตาจิตได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ แก้วสลดลงทันทีมองไปที่เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
       
        "แล้วทีนี้ผมจะทำยังไงต่อไป" แก้วเอ่ยขึ้นกับตนเอง บัดนี้เขาเปรียบเสมือนคนที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงมะพร้าวแห้งลูกเดียวให้ยึดเกาะไว้เพื่อยื้อชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อีกนานแค่ไหน
       
        "หลวงตา ให้พวกเค้ามากับเราได้มั๊ยครับ" สีเอ่ยขึ้น หลวงตาจิตยิ้มพยักหน้าเบาๆ
       
        ด้วยเหตุนี้ แก้วและเด็กน้อยผู้อาภัพจึงได้เดินทางร่วมกับพระชราและเด็กติดตาม ทั้งคู่ไม่เคยทำตัวให้เป็นภาระ อะไรที่ช่วยเหลือตนเองได้แก้วจะกระทำทันที ติดปัญหาเพียงอย่างเดียวคือเด็กน้อยคนนั้นไม่ยอมกินอาหาร ไม่พูดไม่จากับใครเอาแต่นั่งซึม ร่างกายจึงผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ที่สุดก็ล้มป่วยลง
       
        "แบบนี้เห็นทีจะไม่รอด" หลวงตาจิตกล่าวพลางเอาผ้ากราบชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้เด็กน้อย แก้วเล่าเรื่องความเป็นมาและเหตุการณ์สลดที่เด็กคนนี้ต้องพบเจอให้หลวงตาจิตฟัง เมื่อทราบเรื่องท่านก็ส่ายหน้าเบาๆอย่างสังเวช
       
        ท่านทำการฉีกเอาชายจีวรที่ขาดวิ่นออกม้วนเป็นเส้นมัดขมวดปมหัวท้ายอย่างแน่นหนา จากนั้นก็นำไปผูกข้อมือให้เด็กน้อยที่นอนไม่ได้สติอยู่
       
        "ตั้งแต่นี้ไป เอ็งจะมีชีวิตใหม่ เอ็งเป็นลูกของข้าแล้ว ไอ้ถวิล" หลวงตาจิตกล่าวพลางเป่าลมลงบนหัวเด็กน้อยที่มีชื่อใหม่ว่าถวิล 3 ครั้ง
       
        ตลอดการเดินทางที่ใช้เวลาร่วมเดือน แก้วและสีได้เรียนรู้วิทยาคมจากหลวงตาจิตพอสมควร แก้วนั้นเป็นเด็กหัวไวจึงสามารถจดจำพระคาถาต่างๆที่ร่ำเรียนได้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนสีนั้นค่อนข้างหัวช้า แต่ทุกครั้งก็จะได้แก้วคอยช่วยเหลือ ทั้ง 2 เกื้อกูลกันราวกับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด
       
        ส่วนทางฝั่งถวิลจากที่เคยเป็นเด็กเงียบขรึมไม่ยอมคุยกับใคร พอได้ชื่อใหม่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ที่สำคัญถวิลยังมีแววว่าจะมีอนาคตไกลด้านไสยเวทย์อีกด้วย
       
        มีครั้งหนึ่งแก้วได้รับบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยางออก ตัวสีนั้นเมื่อมองเห็นว่าแก้วเลือดท่วมขาแถมดูแล้วกระดูกน่าจะหักอีกด้วย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ถามแก้วซ้ำๆเพราะสติเตลิดไปแล้ว
       
        "พี่แก้วๆ เจ็บมากไหมผมจะทำยังไงดี"
       
        จู่ๆถวิลเด็กน้อยวัยเพียง 2 ขวบที่พูดจายังไม่ชัดถ้อยชัดคำดี เดินมาถึงก็เอามือน้อยๆกดปากแผลที่เลือดกำลังทะลักออกมาอย่างน่าหวั่นใจ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ

      "วะโรวะรัญญู วะระโทวะราหะโร" จากนั้นก็เอามือที่ปิดปากแผลรูดลงไปจนถึงตาตุ่ม ปรากฏว่าเลือดหยุดไหลปากแผลปิดสนิทเหลือเพียงรอยจางๆ

       เท่านั้นยังไม่พอ ถวิลเอามือทั้ง 2 ข้างจับขาที่หักของแก้วไว้ แล้วพูดขึ้นเบาๆราวบ่นกับตนเอง
"เถโร โมคคัลลาโน อันตะระธายิตะวา ภูมิสุขุมัง" จากนั้นกระตุกมือทั้ง 2 ข้างเบาๆ มีเสียงดัง กึก!! ผลปรากฏว่าขาที่เคยหักของแก้วกระดูกต่อกันสนิท สามารถลุกเดินเหินได้สะดวกดังเดิม

       เหตุการณ์นั้นสร้างความแตกตื่นระคนยินดีให้ทั้งแก้วและสีเป็นอันมาก ทั้งคู่พากันถามเซ็งแซ่ว่าไปจำคาถาทั้ง 2 บทนี้มาจากไหน ถวิลไม่ตอบแต่ยิ้มกว้างออกมา หันหน้าไปทางหลวงตาจิตที่นั่งสมาธิอยู่
       
       "ไอ้ถวิลมันยังเป็นเด็ก จิตใจมันยังบริสุทธิ์นัก ไม่แปลกหรอกที่มันจะท่องจำคาถาได้ แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือมันเอาไปใช้ได้ยังไง แถมยังได้ผลซะด้วย ฮ่าๆ" หลวงตาจิตเอ่ยขึ้นหลังจากแก้วและสีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทั้ง 3 หันไปมองเด็กน้อยที่กำลังนั่งปั้นช้างจากดินเหนียวเล่นจนหน้าตาเสื้อผ้ามอมแมม
       
       จู่ๆเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสือโคร่งตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ มันยืนจังก้าอยู่ห่างจากถวิลไม่ถึง 2 วา ทั้ง 3 ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก หากจะพุ่งตัวเข้าไปช่วยก็ดูจะไม่ทันการณ์เพราะพวกตนอยู่ห่างจากถวิลพอสมควร
       
       เด็กน้อยหันไปมองเสือโคร่งแล้วทำหน้านิ่ง จู่ๆเขาก็โยนช้างจากดินเหนียวไปทางเสือร้ายตัวนั้น มันกระโดดเหยงแล้วเตลิดเข้าป่าไป เสียงไม้หักระเนระนาดตามทางที่มันวิ่งผ่านดังระงม ถวิลหันมาหัวเราะร่าให้กับทั้ง 3 แล้วเอ่ยขึ้นเสียงสดใส "ม้าวไปแย้วมม้าวโดดไปแย้ว"
       
       แก้วรีบวิ่งไปอุ้มเอาถวิลขึ้นมากอด ลูบหัวพลางเอ่ยขึ้น "อืมๆ ม้าวไปแล้วนะม้าวไปแล้ว" ม้าวที่ถวิลเอ่ยหมายถึงแมวนั่นเอง

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่