ออกตัวก่อนว่าเป็นบันทึกที่ผมตั้งใจเขียนไว้เตือนความจำตัวเอง อาจจะยาวไปสำหรับคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่เชื่อผมเถอะ มันใกล้ตัวเราทุกคนมากกว่าที่คิด
วันที่ 8 มี.ค 2564
08.49 : เช้าวันจันทร์ ผมตื่นนอนทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ วันนี้ตื่นสายไปนิด เนื่องจากเมื่อคืนเข้านอนเกือบตีสามเพราะดูบอลทีมรักเตะดาร์บี้แมตช์ ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ดูแลร่างกายตัวเองได้อย่างดีมาตลอด เช่น
-ไม่กินอาหารมัน, หมูติดมัน มันหมูจะโดนเขี่ยออกก่อนที่จะเอาเข้าปาก, หนังไก่ที่หลายๆคนโปรดปราน ไม่มีทางได้ผ่านลงคอผม
-บุหรี่ไม่แตะ
-เหล้า เบียร์มีอาทิตย์ละครั้ง หนักบ้างเบาบ้าง แต่ส่วนมากจะเบา
-คุมอาหารด้วยการทำ if16/8 มาตลอดเกือบสองปี
-ใส่นาฬิกาสุขภาพบันทึกการนอน, การออกกำลัง และอัตราการเต้นหัวใจตลอดเวลา
-ตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด ความดัน ไขมัน เบาหวานอยู่ในค่าปกติหมด ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ
ก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่าสิบปีผมออกกำลังด้วยการเตะฟุตบอล สัปดาห์ละสองครั้งๆละ 1-2 ชม. เรียกว่าวิ่งสบายๆไม่มีหมด จนเดือนก.ย.2563 ผมต้องหยุดเล่น เนื่องจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดก้น ปลายเท้าชาเป็นบางครั้งเวลายืนหรือเดิน ทำให้ต้องเปลี่ยนมาออกกำลังด้วยการว่ายน้ำแทนสัปดาห์ละสองครั้งๆละประมาณ 1.5 km.มาตลอด
11.08 : อากาศปกติ ออกมาว่ายน้ำที่สระเทศบาลหนองปรือซึ่งมาเป็นประจำ ก่อนออกมามีอิดออดกับภรรยานิดหน่อยเพราะเขาติดงาน เลยจะมาคนเดียว แต่ที่สุดก็มาด้วยกัน สระเป็นสระในร่ม มีคนว่ายอยู่ประมาณ3-4คน ผมลงว่ายตามปกติ วันนี้ว่ายได้ดีคุมลมหายใจ คุมหัวใจอยู่ในช่วงเผาผลาญไขมัน ได้ระยะ 400 เมตร เริ่มรู้สึกชาที่ปลายเท้า ข้างเดียวกับที่เป็นหมอนรองฯ. แต่เอ อาการนี้ไม่เคยเป็นตอนว่ายน้ำเลยนี่หว่า ขยับแข้งขายืดหลังเสร็จสรรพ ว่ายต่อไปอีก 50 เมตร คราวนี้สะบักหลัง, ปลายนิ้วมือ, ริมฝีปาก เริ่มมีอาการชานิดๆ. รู้สึกเหมือนโดนยาชาหรือโดนพิษอะไรสักอย่าง เลยคิดว่าขึ้นมานั่งพักก่อนดีกว่า
11.25 : ขึ้นจากสระเดินมาที่เก้าอี้ที่ภรรยารออยู่ ระยะทางประมาณสิบเมตร พื้นหมุนไปหมด เวียนหัวอย่างแรง เกือบล้มหลายครั้ง พอนั่งได้ เล่าอาการให้ภรรยาฟัง คิดกันว่าอาจเกิดจากการไม่ได้กินข้าวแล้วมาออกกำลังหรือปล่าว. แต่ผมก็ทำแบบนี้มาตลอด เพราะผมทานข้าวมื้อแรกประมาณ 12.00 -13.00 เป็นปกติจากการทำ if ที่บอกข้างต้น ลองจิบน้ำหน่อยดีกว่าเผื่อจะดีขึ้น หยิบขวดน้ำมากินน้ำ มือมีอาการเกร็ง บีบขวดจนยุบ กรอกน้ำเข้าปากน้ำไหลออกมามุมปากหมดทั้งๆที่เรากลืน. เวลาผ่านไปเริ่มชามากขึ้น มีอาการอาเจียนพุ่งแบบบังคับไม่ได้ พูดโต้ตอบช้าลง ต้องใช้เวลาคิดนาน. ทุกคนที่สระไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นผมนึกขึ้นมาได้ว่ามือถือลงแอพ fast track ไว้จึงให้ภรรยาเปิดดูแล้วเรียก1169 ตอนเวลา 12.06 น.
ปล. แอพ fast track เป็นแอพที่ให้ความรู้และสังเกตุอาการที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ ซึ่งผมลงไว้คิดว่าอาจจะได้ใช้กับผู้สูงอายุในบ้าน ไม่คิดว่าจะได้ใช้กับตัวเอง ทุกท่านควรมีติดเครื่องไว้นะครับ มีประโยชน์มาก
12.20 รถพยาบาลของรพ.กรุงเทพพัทยาพร้อมทีมแพทย์เกี่ยวกับ stroke มาตรวจเช็คอาการพร้อมนำส่งต่อให้ทีมรถพระราชทานที่มีเครื่องCT Scanในรถของรพ.ม.บูรพา. ออกจากสระว่ายน้ำเวลา 12.33 ไปจุดนัดพบที่ปั๊มน้ำมันหน้าม.เกษตร อ่าวอุดม หมอบอกผมเป็นคนที่สองที่ได้ใช้รถคันนี้ . ซึ่งระหว่างนำส่ง แพทย์โทรสอบถามอาการเพื่อวางแผนการรับมือต่อตลอด
12.51 ถึงปั๊มซึ่งรถของม.บูรพาจอดรออยู่แล้ว จากนั้นนำตัวผมขึ้นรถและทำการสแกนประมาณสิบนาที ผลออกมาเห็นจุดเลือดออกไม่ชัด แพทย์จึงตัดสินใจส่งไปสแกนเพิ่ม+ฉีดสี ที่รพ.ม.บูรพา
13.40 รถพยาบาลถึงม.บูรพานำตัวผมเข้าCT scan ผลออกมาว่ามีเลือดออกบริเวณก้านสมองด้านขวา ทำให้มีอาการชาที่ครึ่งซีกซ้ายและเสียการควบคุม แต่ยังดีที่จุดเลือดออกมีขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณ 0.9 cm.แต่ดันไปอยู่ตรงก้านสมองที่มีขนาดประมาณ 4 cm. คิดแบบบ้านๆก็ 22% ซึ่งแนวทางการรักษาคือให้ยาลดสมองบวม และดูอาการว่ามีอาการทางสมองเพิ่มเติมไหม แพทย์เห็นว่ายังไม่ควรผ่าตัด เพราะตำแหน่งที่เลือดออก เสี่ยงต่อการผ่าตัดแล้วสมองจะเสียหายหนักกว่าเดิม จากนั้นส่งตัวต่อมาที่รพ.พญาไทศรีราชาตามสิทธิ์การรักษา เวลา 16.09 น. ซึ่งถึงตรงนี้มีค่าใช่จ่ายประมาณ 32,000 บาท แต่เข้าข่าย6 อาการฉุกเฉินวิกฤตของ UCEP ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่คนไทยทุกคนมีในการรักษา 72 ชม.แรก ฟรีทุกโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2560 ซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะไม่รู้ถึงสิทธิ์นี้ ลองศึกษาดูนะครับ
16.32 : ถึงพญาไท พบหมอศัลยกรรมประสาท ให้ยาลดสมองบวม พร้อมแอดมิท ICU ซึ่งญาติเยี่ยมไม่ได้ ระยะเวลา 1คืน 1วันที่อยู่ใน ICU เป็นช่วงที่จิตตก กลัวพิการ ลูก เมีย แม่ จะอยู่ยังไง จะต้องมาลำบากเพราะเราไหม คิดไปไกล ดีที่ยังใช้โทรศัพท์ได้ มีเพื่อนๆโทรมาถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง คุยกับใครน้ำตาก็ไหลออกมาเอง นอนหลับๆตื่นๆ ระหว่างนั้นก็มีคนไข้ที่มีอาการหลอดเลือดสมองรับเข้าไอซียูมาอีก 3-4 คน มีกระทั่งคนที่เป็นซ้ำรอบสอง ทำให้รู้ว่าโรคนี้มันใกล้ตัวมาก ที่ผ่านมาไม่เคยคิดเลยว่าเราจะเป็น วันรุ่งขึ้นได้ออกจาก ICU ตอน 17.45 น. เนื่องจากทานอาหารเองได้ ไม่มีอาการสำลัก เป็นข้าวต้มมื้อแรกในรอบ 42 ชม. จากนั้นมาอยู่ห้องปกติอีก 4 คืน ได้กลับบ้านวันเสาร์ที่ 13 มี.ค. ระหว่างที่อยู่รพ.ก็ได้เริ่มทำกายภาพด้วยการหัดใช้มือหยิบจับ หัดเดิน ซึ่งกว่าจะทรงตัวได้ยากมาก อาการที่ผมเป็นคือมีแรง ไม่มีอาการอ่อนแรง แต่ควบคุมหรือบังคับไม่ค่อยได้ ความรู้สึกเหมือนเหน็บกินทั้งฝั่งซ้าย ไฟช็อตวูบวาบทั้งมือทั้งเท้าตลอดเวลา บางครั้งเหมือนถูกดึงยืด เวลาหลับตา มือซ้ายหายไปจากหัว ใช้มือขวาคลำเจอเหมือนก้อนเนื้ออุ่นๆ หยิบจับอะไรลำบาก ไม่รู้สึกถึงพื้นผิวเช่นความคม ความสาก ฝั่งซ้ายของตัวเองลอยสูงกว่าฝั่งขวา นั่งก็เอียง ยืนก็เอียง เดินต้องใช้ไม้เท้าพยุง กลับมาพักที่บ้าน ด้วยความเกรงใจภรรยา ไม่อยากรอ ใส่กางเกงเองในห้องน้ำ ล้มไปกระแทกชักโครก เจ็บซี่โครง ไอจามไม่ได้ ลุกจากการนอนไม่ได้เข้าไปอีก. ดีที่หัวไม่ฟาดแทน. ทั้งเจ็บทั้งโดนด่า
วันนี้ 8 เม.ย. ครบหนึ่งเดือน เดินเองได้ แต่ยังไม่ปกติ นิ้วมือยังมีเกร็งๆ หยิบจับอะไรต้องมองตลอดเวลา ไม่งั้นหลุดมือหรือหยิบไม่ได้ อาการเหมือนเหน็บชา อาการไฟช็อตยังคงอยู่ อาจจะลดลงสัก 10% คงต้องใช้เวลานานกว่านี้กว่าจะดีขึ้น หมอแจ้งว่าสมองถ้าเสียหายไปแล้วจะเสียเลย แต่สมองใกล้ๆจะมาช่วยทำงานแทน
อาการหลอดเลือดสมองตีบพบประมาณ 80% รักษาด้วยการให้ยาสลายลิ่มเลือดถ้าถึงมือหมอภายใน 270 นาที จะลดโอกาสพิการไปได้สูงถึง50% แต่หลอดเลือดสมองแตกพบประมาณ 20% รักษาได้ตามอาการถ้าออกมากต้องผ่าตัด ถ้าน้อยรอให้ร่างกายสลายเลือดที่ออกมาไปเองและกายภาพ ตำแหน่งก้านสมองที่ผมเลือดออกนี้เป็นจุดเสี่ยงมาก. 80%ของคนที่เลือดออกที่จุดนี้จะพิการติดเตียงหรือเสียชีวิต เปรียบเทียบเป็นจุดมัดรวมสายไฟจากสมองที่จะส่งต่อไปที่ไขสันหลัง นับเป็นโชคดีที่ผมรอดมาได้ โดยแพทย์ลงความเห็นว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ เส้นเลือดในสมองผิดปกติแต่กำเนิด ทุกคนมีโอกาสเป็นได้โดยไม่มีสัญญาณเตือน เหมือนเราขับรถอยู่ดีๆแล้วเกิดอุบัตเหตุ น่ากลัวมั้ยล่ะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทีมแพทย์กู้ชีพทุกท่านทุกทีมที่นำส่งผมในวันนั้น.
ขอบคุณเพื่อนๆที่เป็นธุระช่วยรับผมกลับบ้าน ทั้งที่ช่วยส่งกำลังใจมาเยี่ยม รวมถึงร่วมกันช่วยสมทบค่าใช้จ่ายส่วนต่างในการรักษาตัว. ซึ่งผมใช้สิทธิ์ประกันสังคม ไม่มีประกันชีวิตที่เคยมีแต่ขาดส่งเนื่องจากความจำเป็นบางประการและประมาทคิดว่าตัวเองแข็งแรงดี มีแค่ประกันอุบัติเหตุคงเพียงพอ เป็นบทเรียนว่าทำประกันและส่งให้จบเถอะครับตอนที่ยังแข็งแรงกันอยู่ อย่าพลาดเเบบผม .
ขอบคุณกัลยาณมิตรที่ให้รถผมมาใช้แบบไม่มีกำหนดเพราะช่วงนี้ยังขับรถตัวเองที่ต้องเหยียบคลัชท์ไม่ได้
ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงครับ
8 เม.ย. 2564
บันทึกเตือนความจำครบ 1 เดือนแห่งการเฉียดพิการจากเส้นเลือดในสมองแตก
วันที่ 8 มี.ค 2564
08.49 : เช้าวันจันทร์ ผมตื่นนอนทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ วันนี้ตื่นสายไปนิด เนื่องจากเมื่อคืนเข้านอนเกือบตีสามเพราะดูบอลทีมรักเตะดาร์บี้แมตช์ ผมคิดว่าผมเป็นคนที่ดูแลร่างกายตัวเองได้อย่างดีมาตลอด เช่น
-ไม่กินอาหารมัน, หมูติดมัน มันหมูจะโดนเขี่ยออกก่อนที่จะเอาเข้าปาก, หนังไก่ที่หลายๆคนโปรดปราน ไม่มีทางได้ผ่านลงคอผม
-บุหรี่ไม่แตะ
-เหล้า เบียร์มีอาทิตย์ละครั้ง หนักบ้างเบาบ้าง แต่ส่วนมากจะเบา
-คุมอาหารด้วยการทำ if16/8 มาตลอดเกือบสองปี
-ใส่นาฬิกาสุขภาพบันทึกการนอน, การออกกำลัง และอัตราการเต้นหัวใจตลอดเวลา
-ตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด ความดัน ไขมัน เบาหวานอยู่ในค่าปกติหมด ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ
ก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่าสิบปีผมออกกำลังด้วยการเตะฟุตบอล สัปดาห์ละสองครั้งๆละ 1-2 ชม. เรียกว่าวิ่งสบายๆไม่มีหมด จนเดือนก.ย.2563 ผมต้องหยุดเล่น เนื่องจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดก้น ปลายเท้าชาเป็นบางครั้งเวลายืนหรือเดิน ทำให้ต้องเปลี่ยนมาออกกำลังด้วยการว่ายน้ำแทนสัปดาห์ละสองครั้งๆละประมาณ 1.5 km.มาตลอด
11.08 : อากาศปกติ ออกมาว่ายน้ำที่สระเทศบาลหนองปรือซึ่งมาเป็นประจำ ก่อนออกมามีอิดออดกับภรรยานิดหน่อยเพราะเขาติดงาน เลยจะมาคนเดียว แต่ที่สุดก็มาด้วยกัน สระเป็นสระในร่ม มีคนว่ายอยู่ประมาณ3-4คน ผมลงว่ายตามปกติ วันนี้ว่ายได้ดีคุมลมหายใจ คุมหัวใจอยู่ในช่วงเผาผลาญไขมัน ได้ระยะ 400 เมตร เริ่มรู้สึกชาที่ปลายเท้า ข้างเดียวกับที่เป็นหมอนรองฯ. แต่เอ อาการนี้ไม่เคยเป็นตอนว่ายน้ำเลยนี่หว่า ขยับแข้งขายืดหลังเสร็จสรรพ ว่ายต่อไปอีก 50 เมตร คราวนี้สะบักหลัง, ปลายนิ้วมือ, ริมฝีปาก เริ่มมีอาการชานิดๆ. รู้สึกเหมือนโดนยาชาหรือโดนพิษอะไรสักอย่าง เลยคิดว่าขึ้นมานั่งพักก่อนดีกว่า
11.25 : ขึ้นจากสระเดินมาที่เก้าอี้ที่ภรรยารออยู่ ระยะทางประมาณสิบเมตร พื้นหมุนไปหมด เวียนหัวอย่างแรง เกือบล้มหลายครั้ง พอนั่งได้ เล่าอาการให้ภรรยาฟัง คิดกันว่าอาจเกิดจากการไม่ได้กินข้าวแล้วมาออกกำลังหรือปล่าว. แต่ผมก็ทำแบบนี้มาตลอด เพราะผมทานข้าวมื้อแรกประมาณ 12.00 -13.00 เป็นปกติจากการทำ if ที่บอกข้างต้น ลองจิบน้ำหน่อยดีกว่าเผื่อจะดีขึ้น หยิบขวดน้ำมากินน้ำ มือมีอาการเกร็ง บีบขวดจนยุบ กรอกน้ำเข้าปากน้ำไหลออกมามุมปากหมดทั้งๆที่เรากลืน. เวลาผ่านไปเริ่มชามากขึ้น มีอาการอาเจียนพุ่งแบบบังคับไม่ได้ พูดโต้ตอบช้าลง ต้องใช้เวลาคิดนาน. ทุกคนที่สระไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นผมนึกขึ้นมาได้ว่ามือถือลงแอพ fast track ไว้จึงให้ภรรยาเปิดดูแล้วเรียก1169 ตอนเวลา 12.06 น.
ปล. แอพ fast track เป็นแอพที่ให้ความรู้และสังเกตุอาการที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ ซึ่งผมลงไว้คิดว่าอาจจะได้ใช้กับผู้สูงอายุในบ้าน ไม่คิดว่าจะได้ใช้กับตัวเอง ทุกท่านควรมีติดเครื่องไว้นะครับ มีประโยชน์มาก
12.20 รถพยาบาลของรพ.กรุงเทพพัทยาพร้อมทีมแพทย์เกี่ยวกับ stroke มาตรวจเช็คอาการพร้อมนำส่งต่อให้ทีมรถพระราชทานที่มีเครื่องCT Scanในรถของรพ.ม.บูรพา. ออกจากสระว่ายน้ำเวลา 12.33 ไปจุดนัดพบที่ปั๊มน้ำมันหน้าม.เกษตร อ่าวอุดม หมอบอกผมเป็นคนที่สองที่ได้ใช้รถคันนี้ . ซึ่งระหว่างนำส่ง แพทย์โทรสอบถามอาการเพื่อวางแผนการรับมือต่อตลอด
12.51 ถึงปั๊มซึ่งรถของม.บูรพาจอดรออยู่แล้ว จากนั้นนำตัวผมขึ้นรถและทำการสแกนประมาณสิบนาที ผลออกมาเห็นจุดเลือดออกไม่ชัด แพทย์จึงตัดสินใจส่งไปสแกนเพิ่ม+ฉีดสี ที่รพ.ม.บูรพา
13.40 รถพยาบาลถึงม.บูรพานำตัวผมเข้าCT scan ผลออกมาว่ามีเลือดออกบริเวณก้านสมองด้านขวา ทำให้มีอาการชาที่ครึ่งซีกซ้ายและเสียการควบคุม แต่ยังดีที่จุดเลือดออกมีขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณ 0.9 cm.แต่ดันไปอยู่ตรงก้านสมองที่มีขนาดประมาณ 4 cm. คิดแบบบ้านๆก็ 22% ซึ่งแนวทางการรักษาคือให้ยาลดสมองบวม และดูอาการว่ามีอาการทางสมองเพิ่มเติมไหม แพทย์เห็นว่ายังไม่ควรผ่าตัด เพราะตำแหน่งที่เลือดออก เสี่ยงต่อการผ่าตัดแล้วสมองจะเสียหายหนักกว่าเดิม จากนั้นส่งตัวต่อมาที่รพ.พญาไทศรีราชาตามสิทธิ์การรักษา เวลา 16.09 น. ซึ่งถึงตรงนี้มีค่าใช่จ่ายประมาณ 32,000 บาท แต่เข้าข่าย6 อาการฉุกเฉินวิกฤตของ UCEP ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่คนไทยทุกคนมีในการรักษา 72 ชม.แรก ฟรีทุกโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2560 ซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะไม่รู้ถึงสิทธิ์นี้ ลองศึกษาดูนะครับ
16.32 : ถึงพญาไท พบหมอศัลยกรรมประสาท ให้ยาลดสมองบวม พร้อมแอดมิท ICU ซึ่งญาติเยี่ยมไม่ได้ ระยะเวลา 1คืน 1วันที่อยู่ใน ICU เป็นช่วงที่จิตตก กลัวพิการ ลูก เมีย แม่ จะอยู่ยังไง จะต้องมาลำบากเพราะเราไหม คิดไปไกล ดีที่ยังใช้โทรศัพท์ได้ มีเพื่อนๆโทรมาถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง คุยกับใครน้ำตาก็ไหลออกมาเอง นอนหลับๆตื่นๆ ระหว่างนั้นก็มีคนไข้ที่มีอาการหลอดเลือดสมองรับเข้าไอซียูมาอีก 3-4 คน มีกระทั่งคนที่เป็นซ้ำรอบสอง ทำให้รู้ว่าโรคนี้มันใกล้ตัวมาก ที่ผ่านมาไม่เคยคิดเลยว่าเราจะเป็น วันรุ่งขึ้นได้ออกจาก ICU ตอน 17.45 น. เนื่องจากทานอาหารเองได้ ไม่มีอาการสำลัก เป็นข้าวต้มมื้อแรกในรอบ 42 ชม. จากนั้นมาอยู่ห้องปกติอีก 4 คืน ได้กลับบ้านวันเสาร์ที่ 13 มี.ค. ระหว่างที่อยู่รพ.ก็ได้เริ่มทำกายภาพด้วยการหัดใช้มือหยิบจับ หัดเดิน ซึ่งกว่าจะทรงตัวได้ยากมาก อาการที่ผมเป็นคือมีแรง ไม่มีอาการอ่อนแรง แต่ควบคุมหรือบังคับไม่ค่อยได้ ความรู้สึกเหมือนเหน็บกินทั้งฝั่งซ้าย ไฟช็อตวูบวาบทั้งมือทั้งเท้าตลอดเวลา บางครั้งเหมือนถูกดึงยืด เวลาหลับตา มือซ้ายหายไปจากหัว ใช้มือขวาคลำเจอเหมือนก้อนเนื้ออุ่นๆ หยิบจับอะไรลำบาก ไม่รู้สึกถึงพื้นผิวเช่นความคม ความสาก ฝั่งซ้ายของตัวเองลอยสูงกว่าฝั่งขวา นั่งก็เอียง ยืนก็เอียง เดินต้องใช้ไม้เท้าพยุง กลับมาพักที่บ้าน ด้วยความเกรงใจภรรยา ไม่อยากรอ ใส่กางเกงเองในห้องน้ำ ล้มไปกระแทกชักโครก เจ็บซี่โครง ไอจามไม่ได้ ลุกจากการนอนไม่ได้เข้าไปอีก. ดีที่หัวไม่ฟาดแทน. ทั้งเจ็บทั้งโดนด่า
วันนี้ 8 เม.ย. ครบหนึ่งเดือน เดินเองได้ แต่ยังไม่ปกติ นิ้วมือยังมีเกร็งๆ หยิบจับอะไรต้องมองตลอดเวลา ไม่งั้นหลุดมือหรือหยิบไม่ได้ อาการเหมือนเหน็บชา อาการไฟช็อตยังคงอยู่ อาจจะลดลงสัก 10% คงต้องใช้เวลานานกว่านี้กว่าจะดีขึ้น หมอแจ้งว่าสมองถ้าเสียหายไปแล้วจะเสียเลย แต่สมองใกล้ๆจะมาช่วยทำงานแทน
อาการหลอดเลือดสมองตีบพบประมาณ 80% รักษาด้วยการให้ยาสลายลิ่มเลือดถ้าถึงมือหมอภายใน 270 นาที จะลดโอกาสพิการไปได้สูงถึง50% แต่หลอดเลือดสมองแตกพบประมาณ 20% รักษาได้ตามอาการถ้าออกมากต้องผ่าตัด ถ้าน้อยรอให้ร่างกายสลายเลือดที่ออกมาไปเองและกายภาพ ตำแหน่งก้านสมองที่ผมเลือดออกนี้เป็นจุดเสี่ยงมาก. 80%ของคนที่เลือดออกที่จุดนี้จะพิการติดเตียงหรือเสียชีวิต เปรียบเทียบเป็นจุดมัดรวมสายไฟจากสมองที่จะส่งต่อไปที่ไขสันหลัง นับเป็นโชคดีที่ผมรอดมาได้ โดยแพทย์ลงความเห็นว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ เส้นเลือดในสมองผิดปกติแต่กำเนิด ทุกคนมีโอกาสเป็นได้โดยไม่มีสัญญาณเตือน เหมือนเราขับรถอยู่ดีๆแล้วเกิดอุบัตเหตุ น่ากลัวมั้ยล่ะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทีมแพทย์กู้ชีพทุกท่านทุกทีมที่นำส่งผมในวันนั้น.
ขอบคุณเพื่อนๆที่เป็นธุระช่วยรับผมกลับบ้าน ทั้งที่ช่วยส่งกำลังใจมาเยี่ยม รวมถึงร่วมกันช่วยสมทบค่าใช้จ่ายส่วนต่างในการรักษาตัว. ซึ่งผมใช้สิทธิ์ประกันสังคม ไม่มีประกันชีวิตที่เคยมีแต่ขาดส่งเนื่องจากความจำเป็นบางประการและประมาทคิดว่าตัวเองแข็งแรงดี มีแค่ประกันอุบัติเหตุคงเพียงพอ เป็นบทเรียนว่าทำประกันและส่งให้จบเถอะครับตอนที่ยังแข็งแรงกันอยู่ อย่าพลาดเเบบผม .
ขอบคุณกัลยาณมิตรที่ให้รถผมมาใช้แบบไม่มีกำหนดเพราะช่วงนี้ยังขับรถตัวเองที่ต้องเหยียบคลัชท์ไม่ได้
ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงครับ
8 เม.ย. 2564